กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 686

หลิวชาที่สะพายกระบี่พกดาบมองดูคล้ายจอมยุทธพเนจรเคราดกคนหนึ่ง เขามาหยุดยืนอยู่ข้างกายของผู้เฒ่าชุดเทา ถามว่า “ตัวอักษรบนกำแพงเมืองเหล่านั้น จะไม่ไปแตะต้องพวกมันหรือ?”

กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งตกมาอยู่ในมือของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว อีกไม่นานก็ต้องถูกบรรพบุรุษใหญ่แห่งภูเขาทัวเยว่ผู้นี้หล่อหลอมอย่างสมบูรณ์แบบ นั่นจะชดเชยมหามรรคาของเขาได้อีกหนึ่งส่วน

ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “ปล่อยมันไว้เถอะ พวกเทพเซียนบนภูเขาของใต้หล้าไพศาลไม่รู้จักเคารพพวกผู้แข็งแกร่ง ก็ให้พวกเราทำหน้าที่นี้กันเอง”

เซียนกระบี่โซ่วเฉินขี่กระบี่มาถึง เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ร้อยเซียนกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่ล้วนจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว ผู้ฝึกกระบี่บางคนที่ไม่ได้อยู่บนทำเนียบวงศ์ตระกูล เนื่องจากมีคุณความชอบในการสู้รบอยู่บ้างจึงไม่พอใจกับเรื่องนี้ ถูกข้าสังหารทิ้งไปสามคนถึงได้ยอมหยุดแต่โดยดี”

ตัวอ่อนเซียนกระบี่จากกระโจมเจี่ยเซินหลายคนซึ่งรวมถึงหลีเจินเป็นหนึ่งในนั้นก็มาร่วมวงความครึกครื้นที่นี่ด้วย

หลีเจินยิ้มเอ่ย “นิสัยแย่ๆ จะปล่อยให้กลายเป็นความเคยชินไม่ได้ เซียนกระบี่โซ่วเฉินฆ่าได้ดี”

นอกจากหลีเจินแล้วก็ยังมีจู๋เชี่ย อวี่ซื่อ จวินทานและผู้ฝึกกระบี่หญิงที่เปลี่ยนเนื้อหนังมังสาร่างใหม่อย่างหลิวป๋ายมารวมตัวกันที่นี่ด้วย

บนหัวกำแพงเมืองที่ตกเป็นของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์ที่คุณสมบัติดีที่สุดอย่างพวกเขาแยกย้ายกันตามหาตำแหน่งเหมาะในการบำรุงกระบี่บินด้วยความอบอุ่น พยายามที่จะช่วงชิงเอาปณิธานกระบี่อันบริสุทธิ์ของเซียนกระบี่บรรพกาลส่วนหนึ่งมาเพิ่มโชคชะตากระบี่บนร่างของตน ปณิธานจากเซียนกระบี่ที่ไร้ร่องรอยให้ตามหาเหล่านั้นบริสุทธิ์ที่สุด หากผู้ฝึกกระบี่รุ่นหลังมีวิถีกระบี่ที่สอดคล้องก็จะได้รับโชควาสนาไป หมื่นปีที่ผ่านมา ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่สามารถได้รับไปครอบครอง ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนสนามรบก็โชคดีได้ไปครองเช่นกัน

เพื่อช่วยเหลือร้อยเซียนกระบี่จากภูเขาทัวเยว่กลุ่มนี้ ปีศาจใหญ่ก็ได้เริ่มจัดการกับสนามรบ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกโชคชะตากระบี่อาบย้อมมากเกินไปจนเป็นการขัดขวางเส้นทางอนาคตบนมหามรรคาของเหล่าลูกรักแห่งสวรรค์กลุ่มนี้

แล้วนับประสาอะไรกับที่ซากสนามรบที่เกิดการเข่นฆ่าอย่างอำมหิตด้านล่างหัวกำแพงเมืองนี้ยังมีประโยชน์ใหญ่หลวง สามารถย้ายไปยังที่ตั้งเก่าของภูเขาห้อยหัวเพื่อใช้ปรับเปลี่ยนฟ้าดินของใต้หล้าไพศาลได้

หลีเจินเอ่ยเตือนว่า “หากมีใครสังหารขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งของใต้หล้าไพศาลได้ ก็สามารถแกะสลักตัวอักษรหนึ่งลงบนกำแพงทางฝั่งทิศเหนือได้ ดีไหม?”

ผู้เฒ่าชุดเทาพยักหน้ารับ “ได้สิ”

หลิวชายิ้มกล่าว “คงจะไม่น่าดูสักเท่าไร”

หลีเจินกระทืบเท้าเบาๆ “ท่านบรรพบุรุษได้แค่หล่อหลอมมันเท่านั้น ไม่อาจเก็บของสิ่งนี้ไว้ในกระเป๋าตัวเองได้จริงหรือ?”

เล่าลือกันว่าปีนั้นมรรคจารย์เต๋าเคยขี่วัวผ่านด่านแห่งนี้แล้วไปท่องเที่ยวที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

ผู้เฒ่าชุดเทาส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ขนาดเฉินชิงตูยังทำไม่ได้ ข้าย่อมทำไม่ได้ กำแพงเมืองปราณกระบี่จะแตกจะล่มสลายยังไงก็ได้ มีเพียงไม่อาจเก็บใส่ชายแขนเสื้อ ก็เหมือนเซียนกระบี่ที่ตายได้ แต่ไม่อาจถูกหมิ่นเกียรติ แน่นอนว่าในเรื่องนี้ยังมีเรื่องเล่าเก่าแก่อีกมากซุกซ่อนอยู่ แต่สรุปก็คือหากไม่เป็นเพราะเฉินชิงตูใช้กระบี่เปิดม่านฟ้ายกทั้งเมืองขึ้นบินทะยาน ส่งพวกผู้ฝึกกระบี่จากไป ต่อให้ข้าลงมืออย่างเต็มกำลังเล่นงานเฉินชิงตูและกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างสุดความสามารถ ก็ยังต้องสูญเสียขุนเขาสายน้ำและโชคชะตาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปมหาศาล นั่นจะได้ไม่คุ้มเสีย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ข้าปรารถนา”

หลีเจินสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ทอดสายตามองไปยังหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม เพียงแต่ว่าไอ้หมอนั่นจากไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องทักทายใต้เท้าอิ่นกวานสักคำ ผูกสัมพันธ์กับเขาดีๆ สักครั้ง “ไม่เป็นไร พวกเราฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ แต่ละคนพากันเลื่อนขอบเขตแล้วค่อยไปถามกระบี่ที่ใต้หล้าไพศาล”

โซ่วเฉินเอ่ยว่า “ภูเขาห้อยหัวลูกนั้นก็บินทะยานจากไปแล้ว เพียงแค่มีโองการหนึ่งของเต๋าเหล่าเอ้อร์เปิดทาง จากนั้นเจ้านครสามท่านของป๋ายอวี้จิงก็ลงมือชักนำไปด้วยตัวเอง ศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อก็ไม่ขัดขวาง จึงราบรื่นอย่างมาก”

หลิวชาเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “กระบี่ของเฉินชิงตูก็ไม่เคยร่วงลงบนสนามรบเช่นกัน ไม่อย่างนั้นต่อให้ท่านบรรพบุรุษลงมือ ความเสียหายด้านการรบฝ่ายพวกเราก็ยังต้องมากมหาศาลอยู่ดี”

หลีเจินทอดถอนใจ “ผู้อาวุโส นี่ท่านกำลังเอาปณิธานของผู้อื่นมาดับทำลายบารมีของตัวเองอยู่นะ”

หลิวชาคร้านจะพูดจากับคนประเภทนี้แม้แต่ครึ่งคำ

หลิวป๋ายมาหยุดอยู่ข้างกายศิษย์พี่โซ่วเฉิน ถามเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหมอนั่นกันแน่?”

โซ่วเฉินส่ายหน้า “ต้องถามท่านบรรพบุรุษใหญ่”

ผู้เฒ่าชุดเทามองหลิวป๋าย ยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว อีกทั้งยังใช้วิธีการเย็บผ้าแบกรับชื่อจริงมากมายที่อยู่บน ‘ภาพค้นภูเขา’ ช่วงต้น ดังนั้นเขากับใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างฝ่ายจึงสยบกำราบกันและกัน สภาพการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างจะน่าสงสาร ต่อจากนี้จะไม่อาจเอาจิตหยินออกเดินทางและไม่มีจิตหยางกายนอกกายอีกแล้ว เพราะทั้งสามฝ่ายล้วนถูกหลอมรวมเข้าไว้ในเตาหลอมเดียวกัน พูดง่ายๆ ก็คือจ่ายด้วยชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่ง ในฐานะลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งก็ไม่ต้องหวังว่าจะได้รับชื่อแห่งชะตาชีวิตของลัทธิขงจื๊อแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดตอนนี้ถึงมีสภาพเช่นนี้ นั่นก็เพราะเฉินชิงตูบังคับให้เขาต้องผสานมรรคา ร่างกายไม่แข็งแกร่งพอ แต่ปัญหากลับไม่ใหญ่นัก เลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้เมื่อไหร่ก็มีหวังว่าจะกลับคืนมามีรูปโฉมดังเดิม นอกจากนี้ตัวของเฉินผิงอันเองก็น่าจะได้รับการยอมรับบางอย่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่สามารถแบกรับชื่อจริงได้เท่านั้น เซียนกระบี่ทั่วไปหากมีแค่ขอบเขตกลับกลายเป็นว่าไม่อาจผสานกับมรรคาได้”

จิตใจของโซ่วเฉินพอจะสงบลงได้เล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าบรรพบุรุษใหญ่ท่านนี้อารมณ์ไม่เลว ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็คงไม่พูดมากขนาดนี้

จวินทานไม่เอ่ยอะไร

เหตุใดดูเหมือนว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องแก้แค้นเจ้าคนน่าสงสารผู้นั้นแล้วล่ะ?

เด็กหนุ่มแอบเหลือบมองพี่หญิงหลิวป๋ายอย่างระมัดระวัง

หลิวป๋ายมีสีหน้าซับซ้อน ถามเสียงเบา “ฆ่าได้หรือไม่?”

หลิวชาส่ายหน้า “ฆ่าไม่หมด ฆ่าไม่สิ้น เพราะศัตรูไม่ใช่แค่เฉินผิงอันแล้ว แต่เป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่ง”

โซ่วเฉินเหลือบตามองภาพที่เงาดำกระชากเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบตนหนึ่งลงมาแล้วถามอย่างสงสัยว่า “ขอบเขตเซียนเหริน?”

หลิวชาส่ายหน้าอีกครั้ง “หลังจากผสานมรรคาก็กลายเป็นหยกดิบปลอม แต่คนผู้หนึ่งได้ยึดครองกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปเพียงลำพัง จึงช่วงชิงเอาฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีไปจนหมด”

ชุดคลุมยาวสีเทาตัวหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผาของหัวกำแพงเมือง ก็คือหลงจวิน

เขาเคยถามกระบี่แก่ภูเขาทัวเยว่ร่วมกับเฉินชิงตูและกวนจ้าว

หลงจวินเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ขอแค่ดึงเอาโชคชะตากระบี่ของที่แห่งนี้มาจนหมด กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหลือครึ่งหนึ่งนั้นก็กลายเป็นน้ำไร้ต้นกำเนิด ไม้ไร้ราก มีโอกาสที่จะถูกโจมตีให้แหลกสลาย”

ผู้เฒ่าชุดเทาพยักหน้ารับ “เหมือนก้างปลาติดคอ ขัดหูขัดตายิ่งนัก”

แม่นางน้อยมัดผมแกละคนหนึ่งกระโดดผลุงขึ้นทีเดียวก็ทะยานจากพื้นดินขึ้นมาบนหัวกำแพง มาหยุดอยู่ข้างกายหลงจวิน

ในมือแม่นางน้อยลากเชือกที่ยาวมากมาเส้นหนึ่ง ผูกหัวของปีศาจใหญ่ที่ปราณดุร้ายเข้มข้นมากเอาไว้สองหัว ดังนั้นระหว่างที่นางขึ้นมาบนหัวกำแพงเมือง ศีรษะสองหัวนั้นจึงกระทบกับผนังกำแพงเหมือนตีกลองหลายที

เซียนกระบี่สองคนของสายอิ่นกวานเก่าอย่างลั่วซานและจู๋อานขี่กระบี่ตามมาด้านหลัง แล้วพลิ้วกายลงบนที่แห่งนี้

หลีเจินหัวเราะร่าเอ่ยว่า “พวกเราจะมาดูละครลิงกันหรือ? เฉินผิงอันผู้นั้นไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”

เด็กหนุ่มเพิ่งพูดขาดคำ

เงาดำนั้นก็พุ่งวูบมาถึง

เซียวสวิ้นจึงปล่อยหมัดหนึ่งต่อยให้เงาดำแหลกสลายคาที่

นาทีถัดมาเงาดำก็รวมตัวกันขึ้นอยู่ที่เดิม แม้จะมองไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริงทั้งหมด แต่กลับพอจะสัมผัสได้ถึงสีหน้าเย้ยหยันที่แสดงออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!