เว่ยจิ้น หมี่อวี้ เซียนกระบี่คอขวดขอบเขตหยกดิบสองคน บวกกับผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งที่รู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้คนทั้งสองไม่ได้ เหวยเหวินหลง
พวกเขาโดยสารเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่าออกจากภูเขาห้อยหัวไปด้วยกัน
เรือนชุนฟานทั้งหลังหายวับไปภายในค่ำคืนเดียว
เรือนส่วนตัวขนาดใหญ่สี่แห่งของภูเขาห้อยหัว ทุกวันนี้จวนหยวนโหรวถูกรื้อจนเหลือแต่โครงเปล่าๆ สวนดอกเหมยและเรือนชุนฟานต่างก็ไม่อยู่แล้ว เหลือแค่ตำหนักสุ่ยจิ่งที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง อีกทั้งบรรพจารย์อวิ๋นเชียนที่เดิมทีเฝ้าพิทักษ์จวนตระกูลเซียนแห่งนี้ก็พาลูกศิษย์อายุน้อยกลุ่มใหญ่ออกเดินทางไกลไปเยี่ยมเยือนเซียนนานแล้ว
เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของเหวยเหวินหลงล้วนติดตามเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนไปอยู่ที่ทักษินาตยทวีป
ก่อนหน้านี้ติดตามหมี่อวี้มา เหวยเหวินหลงจึงได้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นครั้งแรก ครั้งนี้ออกจากภูเขาห้อยหัวก็ยังติดตามหมี่อวี้ไปเช่นกัน
เยี่ยนหมิงลงสนามรบ น่าหลันไฉ่ฮ่วนโดยสารเรือข้ามฝากหนันฉีของถ้ำซานสุ่ยมุ่งหน้าไปยังใบถงทวีป ไม่แน่เสมอไปว่าจะไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น มีความเป็นไปได้ว่าจะไปเกราะทองทวีปที่ขยับไปทางเหนือยิ่งกว่า หรืออาจถึงขั้นไปยังหลิวเสียทวีป
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘หาวเหลียง’ ลูกนั้นยังคงถูกอิ่นกวานหนุ่มแอบนำไปมอบให้เส้าอวิ๋นเหยียนแล้วส่งต่อให้หมี่อวี้อีกที
หมี่อวี้คิดจะมอบให้แม่หนูถ่านดำชื่อเผยเฉียนในนามของอิ่นกวานหนุ่ม เพราะแท้จริงแล้วเดิมทีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของพี่ชายเขาลูกนี้ก็ควรต้องเป็นของเฉินผิงอันอยู่แล้ว
คนทั้งสามพักในเรือนเล็กกุยม่ายที่เป็นของอิ่นกวานหนุ่ม
ตอนที่เรือข้ามฟากผ่านสำนักอวี่หลง มองสำนักแห่งนั้นอยู่ไกลๆ หมี่อวี้ก็กระตุกมุมปาก
บนเกาะกุ้ยฮวา ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารที่เดินทางกลับบ้านเกิดซึ่งมีน้อยเพียงหยิบมือ หรือสมาชิกของเรือข้ามฟากที่มีมากยิ่งกว่า ทุกคนต่างก็หวาดกลัวกุ้ยฮูหยินที่มีบุคลิกเรียบร้อยสำรวมคนนั้น
เว่ยจิ้นปรึกษากับคนทั้งสอง การเดินทางกลับแจกันสมบัติทวีปที่เป็นบ้านเกิดของเขาในครั้งนี้ ขึ้นฝั่งที่นครมังกรเฒ่าแล้วจะต้องไปที่หอเทพเซียนของศาลลมหิมะก่อนรอบหนึ่ง เขาต้องเอาสุราไปเซ่นไหว้ที่หลุมศพอาจารย์ จากนั้นค่อยตรงไปที่ภูเขาลั่วพั่ว หลังจากนั้นเหวยเหวินหลงจะอยู่ต่อที่ภูเขาลั่วพั่ว หมี่อวี้ไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยของอุตรกุรุทวีป เหวยเหวินหลงไม่มีความเห็นต่าง แต่หมี่อวี้กลับบอกว่าหากสำนักกระบี่ไท่ฮุยยินดีรับตนเป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อย่อมดีที่สุด ถือว่าไว้หน้าตน หากไม่ยินดีก็ช่างเถิด ถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะมาเกาะภูเขาลั่วพั่วกิน
บนยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวาเหมาะแก่การชมทัศนียภาพเป็นที่สุด แสงอาทิตย์อัสดงอาบย้อมขอบฟ้าดุจผ้าแพรต่วน
เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตชื่อ ‘เสียหม่านเทียน’ (แสงเรืองรองเต็มฟากฟ้า) ผู้นี้ เวลานี้นั่งอยู่บนราวรั้วเพียงลำพัง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘หาวเหลียง’ ในมือถือเหล้าหมักกุ้ยฮวาหนึ่งกา กลิ่นสุราหอมโชยมาปะทะจมูก
ไม่รู้ว่าเหตุใดกวอจู๋จิ่วถึงไม่สามารถตามเขาไปที่แจกันสมบัติทวีปได้
เป็นผู้ฝึกตนสายอิ่นกวานเหมือนกัน และกวอจู๋จิ่วยังเป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าอิ่นกวานอย่างเป็นทางการ อีกทั้งหมี่อวี้เองก็คาดหวังอย่างถึงที่สุดว่าจะมีคนบ้านเดียวกันไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองด้วยกัน สามารถพูดคุยกันด้วยภาษาถิ่นของบ้านเกิดได้
เคยได้ยินอิ่นกวานหนุ่มเล่าให้ฟังว่าหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่โอสถทองผู้ดูแลเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาลำนี้ คือผู้อาวุโสที่มีค่าพอให้ผูกมิตรด้วย
ส่วนลูกศิษย์เพียงคนเดียวของกุ้ยฮูหยิน แม่นางกุ้ยฮวาอย่างจินซู่นั่น
หมี่อวี้เคยได้ยินเรื่องของอีกฝ่ายมาเช่นกัน
เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาแค่อยากจะดื่มเหล้าเท่านั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คร้านจะคิดแล้ว
เนื่องจากหลายปีมานี้การค้าของเรือข้ามทวีปยิ่งนานวันก็ยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้นทุกที คนที่เดินทางมาท่องเที่ยวภูเขาห้อยหัวลดน้อยลงเรื่อยๆ เป็นเหตุให้กิจการของจิตรกรเกาะกุ้ยฮวาก็ซบเซาลงไปด้วย นานวันเข้าแผงวาดภาพใต้ต้นกุ้ยฮวาจึงเหลือเพียงแห่งเดียว จิตรกรหลายคนของตระกูลฟ่านล้วนไปจากเกาะกุ้ยฮวาแล้ว ไปหาเส้นทางทำมาหากินอย่างอื่นอยู่ที่นครมังกรเฒ่า
คนที่ยังอยู่ต่อคือจิตรกรวัยกลางคนผู้หนึ่ง คุณสมบัติในการฝึกตนไม่ได้เรื่อง เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง หากอยู่ในแคว้นเล็กใต้อาณัติของแจกันสมบัติทวีป คิดจะไปเป็นจิตรกรในวังหลวงก็ไม่ยาก เพียงแต่ว่าต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคนคนอื่น เงินที่ได้มามีไม่มาก วาดภาพหนึ่งก็ขายได้แค่ไม่กี่ร้อยไม่กี่พันเหรียญตำลึงเงินเท่านั้น ในวงการภาพวาดของราชวงศ์ล่างมนุษย์ถือว่าเป็นราคาที่สูงเทียมฟ้าแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเงินเทพเซียนกลับไม่ถือเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาอะไรได้เลย
เห็นบุรุษคนนั้นนั่งเหม่ออยู่บนรั้ว เพราะซื้อเหล้าหมักกุ้ยฮวาไม่ไหว จิตรกรท่านนี้จึงหยิบเอาสุราดีในหมู่ชาวบ้านของนครมังกรเฒ่ากาหนึ่งเดินเข้าไปหาคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใครผู้นั้น
ใช้สุราแสดงความเป็นมิตร ไม่แน่ว่าอาจได้รายได้เพิ่มมาอีกก้อนหนึ่ง แผงวาดภาพไม่มีลูกค้ามานานหลายวันแล้ว ยากที่จะใช้ชีวิตผ่านไปได้
หมี่อวี้หันหน้าไปมองจิตรกรตระกูลฟ่านที่มายืนอยู่ข้างกายเขานานแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะเปิดปากพูดอย่างไร ถามว่า “ได้ยินมาว่าวาดภาพที่นี่ หนึ่งภาพสามสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากวาดสามภาพสามารถลดราคาได้ เก็บแค่ยี่สิบห้าเหรียญเท่านั้นหรือ?”
จิตรกรพยักหน้า “เมื่อก่อนตอนที่กิจการยังดีๆ เงินเกล็ดหิมะยี่สิบห้าเหรียญ พวกเราสามารถเก็บส่วนแบ่งไว้ได้ห้าเหรียญ ตอนนี้การค้าทำได้ยาก ตระกูลฟ่านมีคุณธรรมจึงยกให้จิตรกรอย่างพวกเราทั้งหมด”
ผู้โดยสารท่านนี้พูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปได้ไม่คล่องแคล่วเท่าใดนัก
แต่ได้ยินมาว่าบุรุษหนุ่มที่รูปโฉมงดงามอย่างถึงที่สุดผู้นี้ก็คือสหายของเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ
ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเริ่มต้นที่ขอบเขตเซียนดินกระมัง?
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “เจ้าคงไม่ได้ชื่อซูอวี้ถิงหรอกกระมัง?”
จิตรกรตกตะลึงเล็กน้อย “ลูกค้ารู้ชื่อของข้าได้อย่างไร?”
ซูอวี้ถิงรู้จักตัวเองดี ฝีมือการวาดภาพอันน้อยนิดของตน ต่อให้อยู่ในสายตาของเซียนซือบนภูเขาแล้วจะไม่ถึงขั้นทนมองไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าฝีมือเลิศล้ำอย่างแน่นอน
หมี่อวี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คำบอกที่ว่าทุกอย่างลดเก้าส่วน ยังเหมือนเดิมหรือไม่ หากยังเหมือนเดิม ข้าก็จะขอให้อาจาร์ซูช่วยภาพวาดให้ข้าสามภาพ”
อาจารย์ซู
เพิ่มคำว่า ‘อาจารย์’ ก็เหมือนเพิ่มอักษรคำว่า ‘จื่อ’ ต่อท้ายชื่อ บนภูเขากับล่างภูเขาต่างก็ถือเป็นคำเรียกขานในเชิงบวกอย่างมาก
ซูอวี้ถิงตะลึงพรึงเพริดไปก่อน จากนั้นก็พลันกระจ่างแจ้ง ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาแกว่งเบาๆ เค้นสมองครุ่นคิดอยู่นาน ดูเหมือนจะนึกได้ แต่ก็ดันนึกไม่ออก
หมี่อวี้เอ่ยเตือน “คือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สะพายกล่องกระบี่สวมรองเท้าแตะ”
ซูอวี้ถิงใช้หมัดทุบฝ่ามือ หัวเราะร่าเสียงดัง “จำได้แล้วๆ ตอนแรกคุณชายคนนั้นยังระมัดระวังตัวอยู่บ้าง แต่พอได้ดื่มเหล้าเข้าไปกลับมีชีวิตชีวามากขึ้น”
แต่แล้วซูอวี้ถิงก็พลันรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าคุณชายท่านนั้นจะยังจำข้าผู้แซ่ซูได้ด้วย”
หมี่อวี้พยักหน้ารับ “เขาเคยเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟัง แล้วยังชมเชยเจ้ายกใหญ่ บอกว่าผลงานของอาจารย์ซูมีท่วงทำนองมีชีวิตชีวาเป็นเอกลักษณ์ เลือกใช้สีได้อย่างแม่นยำและระมัดระวัง ภาพวาดที่ออกมาจึงพอเหมาะพอดี ดังนั้นวันหน้าหากข้ามีโอกาสได้ขึ้นมาบนเกาะกุ้ยฮวาจะต้องมาให้ท่านวาดภาพให้ให้จงได้ จะไม่ขาดทุนแน่นอน”
ซูอวี้ถิงยิ่งเขินอาย เอ่ยเสียงแผ่วต่ำว่า “มิกล้าๆ”
หมี่อวี้กระโดดลงมาจากราวรั้ว แล้วเดินไปยังใต้ต้นกุ้ยบรรพบุรุษ
แสงสายันต์ค่อยๆ ลาลับหายไป สีสันยามค่ำคืนเริ่มมาเยือน หมี่อวี้แหงนหน้าขึ้น
รอคอยดวงจันทร์ลอยขึ้นฟ้าอยู่ใต้ต้นไม้
สามารถรอคอยให้ดวงจันทร์กลมดวงจันทร์เสี้ยว ดวงจันทร์สว่างดวงจันทร์มืด แต่คนเล่า?
……
ข้างกายลู่จือติดตามมาด้วยถัวเหยียนฮูหยินที่สวมหมวกม่านบดบังใบหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!