กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 687

ในที่สุดเกาะกุ้ยฮวาก็กลับมาถึงนครมังกรเฒ่า ค่อยๆ จอดเทียบท่าบนเกาะนอกเมืองช้าๆ การเดินทางกลับครั้งนี้นับว่าค่อนข้างราบรื่น ทำให้คนโล่งใจ

คนกลุ่มหนึ่งสามคนออกมาจากเรือนเล็กกุยม่าย เว่ยจิ้นสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง หมี่อวี้พกกระบี่ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าลูกหนึ่ง เหวยเหวินหลงสองมือว่างเปล่า ลงเรือมาแล้วก็มุ่งหน้ากันไปที่นครมังกรเฒ่า บนเส้นทางเหนือมหาสมุทรเส้นทางหนึ่งที่ปูระหว่างเกาะกับนครมังกรเฒ่า จินซู่แม่นางกุ้ยฮวาที่ได้รับคำสั่งมาจากอาจารย์จึงเดินทางมาส่งแขกผู้มีเกียรติทั้งสามท่านตลอดทาง พาพวกเขาไปส่งยังท่าเรืออีกแห่งหนึ่งของนครมังกรเฒ่า ถึงเวลานั้นจะต้องเปลี่ยนเรือโดยสารเลียบเส้นทางมังกรเดินไปยังภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป

ระหว่างท่าเรือสองแห่งที่ตั้งอยู่บนมหาสมุทรและบนแผ่นดินของนครมังกรเฒ่านี้ ล้วนเป็นถนนยาวร้อยลี้เส้นที่บรรพบุรุษตระกูลซุนเป็นผู้ปูขึ้น

ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหม่าจื้อที่เดิมทีเป็นควบทั้งผู้ดูแลเกาะกุ้ยฮวาและผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลฟ่านคิดจะเรียกรถม้ามาคันหนึ่ง แต่กลับถูกเว่ยจิ้นปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม บอกว่าแค่เดินเท้าก็พอแล้ว

จินซู่เลื่อมใสนับถือเซียนกระบี่หนุ่มจากหอเทพเซียนศาลลมหิมะผู้นี้จากใจจริง ก่อนหน้านั้นอีกฝ่ายเคยไปถามกระบี่กับเทียนจวินเซี่ยสือที่อุตรกุรุทวีป จากนั้นก็เดินทางไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนี้ถึงเพิ่งกลับมา

ในฐานะเทพเซียนห้าขอบเขตบนที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป เว่ยจิ้นอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างสมเกียรติ จินซู่กล้าพูดเลยว่า ครั้งนี้ที่เว่ยจิ้นเดินทางกลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ พอกลับไปถึงศาลลมหิมะ จะต้องสร้างชื่อเสียงบารมีที่ยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดให้แก่ศาลลมหิมะได้แน่นอน

จากข่าวลือเล็กๆ บางอย่างที่แพร่มาในอดีต ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ แต่กลับบอกเล่ากันปากต่อปากอย่างเลื่อนลอย บอกว่าเว่ยจิ้นได้สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขามุ่งมั่นตั้งใจหล่อเลี้ยงกระบี่ ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างไปจากผู้อื่น เป็นเพื่อนบ้านกับเทพเซียนผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่เวทกระบี่สูงที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ กระท่อมเล็กใหญ่สองหลังตั้งอยู่ใกล้กัน ยังลือกันอีกว่าเว่ยจิ้นมักจะได้รับการชี้แนะเวทกระบี่จากผู้เฒ่าท่านนั้นเสมอ

นี่คือหัวข้อพูดคุยที่ได้รับความสนใจจากผู้ฝึกลมปราณแจกันสมบัติทวีปมากที่สุด ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ผู้คนล้วนรู้สึกเป็นเกียรติ ผู้ฝึกตนในทวีปของทุกวันนี้ ทุกครั้งที่พูดถึงผู้ฝึกกระบี่ล้วนหนีไม่พ้นเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะทั้งนั้น

แจกันสมบัติทวีปของพวกเราคือน้องเล็กสุดของเก้าทวีปในใต้หล้าไพศาล ทว่าเว่ยจิ้นคนบ้านเดียวกันกับพวกเรา ยามที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งมีเซียนกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆก็ยังเป็นบุคคลที่โดดเด่นอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

ถึงขั้นที่ว่ามีเซียนซือบางคนเริ่มรู้สึกว่าหากเทียนจวินฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพบินทะยานเมื่อไหร่ หรือปิดด่านไม่ให้ความสนใจเรื่องทางโลกเป็นเวลายาวนาน ถ้าอย่างนั้นผู้นำตระกูลเซียนของทวีปคนถัดไปก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเว่ยจิ้น หากเว่ยจิ้นเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่คนแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป เมื่อโชควาสนามาเยือนทั้งฟ้าและดินล้วนร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือ เท่ากับว่าโชคชะตาวิถีกระบี่ของหนึ่งทวีปจะไปรวมตัวกันบนร่างของเขา ผลสำเร็จบนมหามรรคาจะยิ่งไร้ขีดจำกัด

ส่วนสหายสองคนของเว่ยจิ้นที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมานั้น จินซู่เพียงแค่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีมารยาทเท่านั้น ว่ากันว่าต่างก็เป็นผู้ฝึกตนที่ห่างจากเซียนดินโอสถทองอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ตอนอยู่ในเรือนเล็กกุยม่าย บางครั้งจินซู่ก็จะไปต้มชาพูดคุยกับคนทั้งสามเป็นเพื่อนกุ้ยฮูหยิน แล้วก็สังเกตเห็นความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง ลูกค้าแซ่เหวยค่อนข้างสำรวมระมัดระวังตัว พูดไม่ค่อยเก่ง แต่สนใจในขนบธรรมเนียมประเพณีของแจกันสมบัติทวีปอย่างมาก นานๆ ทีที่เป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยคำถาม ล้วนจะถามถึงทิศทางการดำเนินกิจการ เส้นทางการหาเงินของตระกูลใหญ่ทั้งหลายในนครมังกรเฒ่า ดูคล้ายลูกศิษย์สำนักการค้า

หันกลับมามองคุณชายหมี่ที่เนื้อหนังมังสางดงามจนคล้ายเจ๋อเซียนในตำรา ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเก็บเรื่องใดมาใส่ใจ

สองฝั่งของถนนถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาสร้างสถานที่ท่องเที่ยวคล้ายคลึงกับสระดอกบัวขึ้นมาแห่งหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้ผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด นักท่องเที่ยวมีเยอะมากเป็นพิเศษ

หมี่อวี้ที่เดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนก็ราวกับเจ๋อเซียนที่หล่นจากฟ้าลงมาเดินอยู่ท่ามกลางหมู่มวลบุปผาของโลกมนุษย์

ต่อให้จินซู่จะมีคนในใจมานานแล้ว แล้วก็ยิ่งรักซุนเจียซู่หัวปักหัวปำ แต่ก็จำต้องยอมรับว่า หากพูดกันถึงเรื่องหน้าตา คุณชายหมี่ท่านนี้คือเทพเซียนในกลุ่มเทพเซียนจริงๆ

บนถนนมีสาวน้อยสาวใหญ่อยู่มากมาย ดวงตาของพวกนางฉายประกายวิบวับ อดหันมามองหมี่อวี้หลายครั้งไม่ได้ โดยไม่ทันรู้ตัวคนที่ชมทัศนียภาพอันงดงามของสระดอกบัวก็น้อยลงแล้ว ทว่ากลับหันมามองคุณชายเจ้าเสน่ห์ผู้นั้นมากกว่า

สถานที่แห่งเทพเซียน หลอมโอสถข้างบ่อน้ำ จุ่มพู่กันแต้มหมึกข้างสระ ปทุมมาสิบลี้ ลมเย็นพัดผ่านผิวน้ำ แสงจันทร์ดุจภูษาสวรรค์

หมี่อวี้พึมพำสองประโยคที่อ่านเจอมาจากหน้าพัดของร้านตระกูลเยี่ยน บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลช่างมีผลงานการประพันธ์ที่ดีจริงๆ

อีกทั้งใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ หากไม่พูดถึงผู้คน พูดถึงแค่ทัศนียภาพของพื้นที่ต่างๆ ก็ดีกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มากจริงๆ

นี่ยังไม่ทันไปถึงนครมังกรเฒ่าก็มีภาพบรรยากาศเช่นนี้แล้ว

เวลานี้เดินอยู่บนถนน เหวยเหวินหลงใช้เสียงในใจเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ที่นี่ก็คือบ้านเกิดของใต้เท้าอิ่นกวานและเซียนกระบี่เว่ยสินะ”

ไม่จำเป็นต้องให้เว่ยจิ้นเอ่ยเตือน สองคำว่าอิ่นกวานนี้ได้กลายเป็นข้อห้ามที่ไม่เล็กไม่ใหญ่อย่างหนึ่งไปแล้ว ไม่เหมาะที่จะพูดติดปากบ่อยๆ ต่อให้เหวยเหวินหลงจะอดพูดถึงไม่ได้ ก็ยังได้แต่ใช้เสียงในใจพึมพำเอาเท่านั้น

เว่ยจิ้นยิ้มกล่าว “หากไม่เป็นเพราะเดินทางไกลไปอยู่ทวีปอื่น ตอนอยู่ในทวีปที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ก็ยากที่จะคิดถึงบ้านเกิดได้จริงๆ”

และเว่ยจิ้นก็ไม่เพียงแต่ไร้ความผูกพันกับแจกันสมบัติทวีปเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วต่อให้เป็นศาลลมหิมะ เขาก็ยังไม่มีความรู้สึกว่าเป็นบ้านที่อยากกลับไปเช่นกัน

จินซู่ยื่นนิ้วชี้ไปยังท้องฟ้าของนครมังกรเฒ่า อธิบายให้คนต่างถิ่นทั้งสองฟังว่า “เมื่อก่อนนครมังกรเฒ่าของพวกเรามีทะเลเมฆอยู่แห่งหนึ่งที่เล่าลือกันว่าน่าจะเป็นของที่เซียนยุคบรรพกาลทิ้งไว้ซึ่งระดับขั้นอย่างต่ำสุดก็ต้องเป็นอาวุธกึ่งเซียน ยามโดยสารเรือข้ามฟากอยู่บนเมฆ แค่ก้มหน้าลงมาก็มองเห็นได้แล้ว ทว่าหากอยู่ในนครจะมองไม่เห็น เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อหลายปีก่อนจู่ๆ ทะเลเมฆก็หายวับไป ตอนนี้ยังกลายเป็นหัวข้อพูดคุยที่น่าประหลาดใจของคนบนภูเขา ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาหลายคนถึงขั้นเดินทางมาที่นี่เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าเป็นจริงหรือเท็จ”

เหวยเหวินหลงเริ่มคิดคำนวณตามจิตใต้สำนึกว่าอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งจะมีมูลค่าเท่าใดในแจกันสมบัติทวีป

หมี่อวี้มีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ใช้เสียงในใจยิ้มกล่าวกับเว่ยจิ้นว่า “แจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้ามีคนที่กินอิ่มว่างงานเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?”

เดิมทีเว่ยจิ้นก็ไม่ได้มีความทรงจำแย่ๆ ต่อหมี่อวี้ บวกกับที่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ฮู่และเยว่ชิงต่างก็เป็นสหายรักที่ถูกชะตากับเขาอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุให้ยามอยู่กับหมี่อวี้ เว่ยจิ้นไม่เคยพูดจาห่างเหิน เขาตอบว่า “คำพูดประเภทนี้ ไม่ว่าเซียนกระบี่คนใดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ล้วนสามารถพูดได้ มีเพียงเจ้าหมี่อวี้เท่านั้นที่ไม่มีสิทธิ์มาพูดจาเหน็บแนมคนอื่น ดื่มเหล้านอนเมาอยู่บนเมฆเรืองรอง แสร้งทำตัวเป็นคนในกลุ่มเทพเซียนหลอกลวงผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่น ก่อหนี้รักเลอะเลือนบานเบอะ”

หมี่อวี้หัวเราะฮ่าๆ “พูดเรื่องไหนไม่พูด ดันมาพูดเรื่องที่จี้ใจดำคน สมควรแล้วที่เซียนกระบี่เว่ยอย่างเจ้าเป็นชายโสด ทุกวันนี้แจกันสมบัติทวีปเพิ่งจะมีเซียนกระบี่สักกี่คนกันเชียว? เป็นถึงเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ แล้วยังหนุ่มแน่นถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่มีสาวงามคนรู้ใจเลยสักคน ข้าล่ะไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพราะพวกเทพธิดาของแจกันสมบัติทวีปตาไม่ดี หรือว่าเจ้าเว่ยจิ้นหัวทึบ หรือว่าทุกครั้งที่เดินขึ้นเขาลงเขาจะต้องแปะกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนคำว่า ‘ไม่ชอบสตรี’ ไว้บนหน้าผากกันแน่ มาๆๆ เซียนกระบี่เว่ยอย่าได้เขินอาย พวกเราล้วนเป็นคนกันเอง รีบหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมา ให้ข้ากับพี่น้องเหวยได้เปิดโลกทัศน์ ได้มีความรู้เพิ่มขึ้นสักหน่อย…”

เว่ยจิ้นยิ้มกล่าว “ไม่มีกระดาษแผ่นนี้จริงๆ ทำให้เซียนกระบี่หมี่ผิดหวังแล้ว”

จินซู่รู้แค่ว่าคนทั้งสามใช้เสียงในใจพูดคุยกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าพูดคุยถึงเรื่องอะไรถึงได้อารมณ์ดีกันขนาดนี้

รถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่กลางถนน หลังจากที่เกาะกุ้ยฮวาจอดเทียบท่าก็มีบุรุษอายุน้อยสวมกวานสูง ตรงเอวห้อยแผ่นหยกสลักคำว่า ‘มังกรเฒ่าโปรยพิรุณ’ เดินลงมาจากรถม้า

คือนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่า ฝูหนันหัว

พอเจอกลุ่มของเว่ยจิ้นก็ก้มหน้ากุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยฝูหนันหัวคารวะเซียนกระบี่เว่ย”

เว่ยจิ้นพยักหน้ารับ “คงไม่ไปเป็นแขกในนครแล้ว ต้องรีบเดินทางต่อ”

หากไม่เป็นเพราะข้างกายยังมีจินซู่แห่งเกาะกุ้ยฮวายืนอยู่ เว่ยจิ้นอาจไม่ยินดีเปิดปากพูดแม้แต่ครึ่งคำด้วยซ้ำ อยู่ในยุทธภพ เว่ยจิ้นสามารถพูดคุยกับพวกนักสู้ในยุทธภพอย่างถูกคอ มีเพียงกับคนบนภูเขาเท่านั้นที่ไม่เคยสวมหน้ากากเสแสร้ง คร้านจะคบค้าสมาคมด้วย

ฝูหนันหัวเบี่ยงตัวเปิดทางให้ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่กล้ารบกวนเซียนกระบี่เว่ยอย่างแน่นอน ผู้น้อยเดินทางมาครั้งนี้ก็เพราะได้ยินชื่อเสียงและเลื่อมใสท่านมานาน อันที่จริงนี่ก็ถือว่าเสียมารยาทมากแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!