สรุปตอน บทที่ 689.6 พบเจอในยุทธภพทักทายว่าลำบาก – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 689.6 พบเจอในยุทธภพทักทายว่าลำบาก ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนนั้นเท้าข้างหนึ่งของสตรีเหยียบอยู่บนแผ่นหลังของเทพภูเขาองค์หนึ่งที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เทพภูเขาที่น่าสงสารกำลังบอกเล่าเรื่องลับของเซียนซือท่านหนึ่งในอาณาเขตการปกครอง ส่วนสตรีก็แหงนหน้าร่ำสุรา เห็นผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักฉางชุนก็เช็ดปาก โยนกาเหล้าที่ว่างเปล่าทิ้งไปนอกหน้าผา นางใช้นิ้วโป้งชี้ไปยังที่อื่น ความหมายนั้นชัดเจนยิ่ง สถานที่แห่งนี้มีเจ้าของแล้ว รบกวนทุกท่านจงไปที่อื่น
หญิงชราขมวดคิ้วมุ่น ตำหนักฉางชุนมีวิชาตระกูลเซียนบทหนึ่งที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ สามารถหล่อหลอมแสงอรุโณทัยและแสงจันทร์ได้ ทุกๆ วันที่สิบห้า โดยเฉพาะในช่วงยามจื่อ (ห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง) จะต้องเลือกยอดเขาของภูเขาสูงที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณมาหล่อหลอมแสงจันทร์
และสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมที่สุดในการฝึกตนของค่ำคืนนี้
ไปที่อื่น การหลอมแสงจันทร์และการหลอมแสงตะวันของเช้าวันพรุ่งนี้ก็จะถูกลดทอนไปเกินครึ่ง
สตรีผู้ฝึกตนยกเท้าถีบเทพภูเขาที่เพิ่งได้เข้าสู่ทำเนียบวงศ์ตระกูลของกรมพิธีการได้ไม่นาน ฝ่ายหลังรีบมุดดินหนีไปทันที จะไม่เข้าร่วมคลื่นมรสุมบนภูเขาอย่างเทพเซียนตีกันเช่นนี้เด็ดขาด
สิ่งที่ทำให้หญิงชราไม่ยอมถอยให้อย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่ประโยคหนึ่งของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนนั้น สตรีจากตำหนักฉางชุนอย่างพวกเจ้า ยามอยู่บนสนามรบไม่เคยเห็นสักคน ตอนนี้กลับพากันโผล่หัวออกมา เป็นหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิที่ผุดขึ้นหลังฝนตกกันหรือ?
ไม่เพียงเท่านี้ สตรียังเงยหน้าขึ้น เอ่ยพึมพำกับตัวเองอีกประโยคหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ไม่มีฝนนี่นา
หมี่อวี้ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแต่ในใจกลับรู้สึกรื่นหูยิ่งนัก ฟังเข้าสิ คำพูดคำจาช่างคล้ายใต้เท้าอิ่นกวานยิ่งนัก ใกล้ชิด รู้สึกใกล้ชิดอย่างยิ่ง
สุดท้ายสาเหตุที่คลื่นมรสุมครั้งนี้ไม่ได้ก่อตัวขึ้นเป็นหายนะใหญ่ก็เรียบง่ายมาก สตรีผู้ฝึกตนคนนั้นเห็นหญิงชราหน้าเขียวก็ไม่พูดพล่าม บอกว่าให้สองฝ่ายมาประลองฝีมือกันดู นางจะไม่ใช้สถานะของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลี แล้วก็ไม่พูดถึงสถานะลูกศิษย์ของยอดเขาเหวินชิง ไม่แบ่งเป็นตาย ไม่มีความจำเป็น นั่นจะทำลายความปรองดองมากเกินไป ขอแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลุกไม่ขึ้นเป็นพอ จำไว้ว่าใครก็ห้ามกลับไปร้องไห้ฟ้องสำนักเด็ดขาด น่าเบื่อจะตายไป
พอหญิงชราได้ยินว่าอีกฝ่ายมาจากยอดเขาเหวินชิงของศาลลมหิมะ ไฟโทสะก็มอดดับลงทันที เป็นฝ่ายเอ่ยขออภัยด้วยตัวเอง
หญิงสาวผู้นั้นคงจะรู้สึกหมดสนุกจึงทะยานลมออกไปจากศาลาโดยตรง
หมี่อวี้มองตามไป สตรีแบบนี้จึงจะมีรสชาติของสุราบ้านเกิดอยู่บ้าง
หลังจากนั้นหญิงชราก็นำพาสตรีทั้งหลายที่มีจงหนันเป็นหนึ่งในนั้นฝึกตนเข้าฌานอยู่ในศาลา
หมี่อวี้จากมาเพียงลำพังอีกครั้ง
เขามาเอนตัวนอนอยู่บนกิ่งไม้ท่ามกลางป่าเขาของภูเขาลูกอื่น ดื่มเหล้าเพียงลำพัง
หยิบเอายันต์กระดาษเหลืองที่สามารถออกคำสั่งแก่ขุนเขาสายน้ำได้ออกมาแผ่นหนึ่ง ใช้ปราณกระบี่เล็กน้อยจุดไฟเผายันต์แล้วโยนมันทิ้งไป
เพียงไม่นานเทพภูเขาน้อยองค์นั้นก็ปรากฏกายอยู่ใต้ต้นไม้ เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าเซียนซือ
หมี่อวี้ถามต้นสายปลายเหตุแล้วก็หลุดหัวเราะพรืด ที่แท้จวนวารีของพ่อปู่ลำคลองแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงมีนิสัยชอบบังคับเอาผีหญิงมาเป็นอนุภรรยา มีผีหญิงเอาเรื่องไปฟ้องศาลเทพเจ้าที่แต่ไม่ได้ผล กลับกันเทพเจ้าที่ยังเอาความลับไปแพร่งพรายให้พ่อปู่ลำคลองฟัง นางจึงเกือบจะโดนโบยตายคาที่ ผีหญิงเอาเรื่องไปฟ้องศาลเทพอภิบาลเมืองของอำเภอต่อ พ่อปู่ลำคลองผู้นั้นทำตัวกำเริบเสิบสานมาจนชินแล้ว ถึงขั้นกระชากผมของผีสาวลากไปถึงในศาลเทพอภิบาลเมือง ต้องการโบยผีสาวให้ตายต่อหน้าเทพอภิบาลเมืองที่เป็นสหายรัก ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นผ่านทางมาเจอเข้าพอดี บางทีอาจเป็นเพราะติดที่กฎเกณฑ์แห่งขุนเขาสายน้ำซึ่งต้าหลีเป็นผู้กำหนด นางจึงได้แต่รายงานเรื่องนี้ไปยังกรมพิธีการ ไม่อาจสังหารพ่อปู่ลำคลอง เทพเจ้าที่และเทพอภิบาลเมืองด้วยมือตัวเองได้ ดังนั้นคืนนี้นางถึงได้ออกมาผ่อนคลายอารมณ์ที่ภูเขาลูกนี้ ลากเอาเทพภูเขาที่น่าสงสารมาระบายอารมณ์ เหตุผลก็คือเขาบกพร่องต่อหน้าที่
หมี่อวี้นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามว่า “หากมีคุณความชอบทางการทหารติดกาย ตามกฎของกองทัพต้าหลี ไม่ใช่ว่าสามารถเอามาแลกเปลี่ยนเป็นหัวคนได้หรอกหรือ? ดูจากท่าทางแล้วสตรีผู้นั้นก็น่าจะสะสมคุณความชอบเอาไว้ไม่น้อย”
เทพภูเขาน้อยผู้นั้นใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวัง “เซียนซือหญิงท่านนั้นมีคุณความชอบเยอะจริง สั่งสมชื่อเสียงยิ่งใหญ่ไว้บนสนามรบ ดูเหมือนว่าทูตผู้ตรวจการของต้าหลีท่านหนึ่งยังเคยเอ่ยปากชมเชยนาง เรื่องนี้แม้แต่ข้าน้อยยังเคยได้ยินมา แต่ดูเหมือนว่านางจะยกคุณความชอบให้สหายไปแล้ว”
หมี่อวี้ที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้โบกมือยิ้มเอ่ย “นายท่านเทพภูเขาไประงับความตกใจให้ตัวเองก่อนเถอะ”
หมี่อวี้พึมพำ “เป็นแม่นางที่ดีจริงๆ”
หมี่อวี้ทำท่าขนลุกขนชัน หันขวับไปมอง
บนกิ่งไม้ที่ห่างไปไม่ไกลมีสตรีพกดาบยืนตระหง่านอยู่คนหนึ่ง
หมี่อวี้เงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้มถามว่า “ผีสาวตนนั้น?”
สตรีไม่เอ่ยอะไรสักคำ
หมี่อวี้จึงได้แต่ดื่มเหล้าของตัวเองต่อไป
นางหัวเราะหยันเอ่ยว่า “คนที่ร่วมเดินทางมาพร้อมกับผู้ฝึกตนหญิงตำหนักฉางชุนก็กล้าสะพายกระบี่ไว้บนร่าง แสร้งทำตัวเป็นมือกระบี่ เป็นจอมยุทธพเนจรอย่างนั้นรึ?”
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “บอกตามตรง ข้าเคยเจอเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยมาก่อน ยังเคยดื่มเหล้าร่วมกันด้วย”
สตรีผู้นั้นอึ้งตะลึง เอามือกดด้ามดาบ เอ่ยอย่างเดือดดาล “พูดจาเหลวไหล กล้าหมิ่นเกียรติอาจารย์อาเว่ย อยากตายรึ?!”
หมี่อวี้ระอาใจยิ่งนัก เว่ยจิ้นผู้นั้นตาบอดหรือไร? สตรีแบบนี้ก็ยังมองไม่เห็น?
หมี่อวี้จึงได้แต่โบกมือเอ่ยวิงวอน “ถือเสียว่าข้าถูกผีบดบังจิตใจ พี่สาวอย่าโกรธเลย ข้าหรือจะรู้จักเซียนกระบี่ใหญ่เว่ย ข้าก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระที่ดื่มเหล้าหมักข้าวของชาวบ้านคนหนึ่ง…”
สตรีเอ่ยเสียงเย็นชา “อาจารย์อาเว่ยไม่มีทางใช้ตบะสูงต่ำ ชาติกำเนิดดีเลวมาแบ่งแยกสหายเด็ดขาด เจ้าพูดจาระวังปากให้มากหน่อย!”
เห็นได้ชัดว่าสตรีไม่ยินดีจะพูดคุยกับคนผู้นี้ต่ออีก ร่างของนางจึงทะยานวูบหายไปประหนึ่งนกที่บินผ่านกิ่งไม้
หมี่อวี้เอนตัวนอนลงบนกิ่งไม้ อารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วน
บรรพบุรุษสกุลฉินร่องต้าหนียิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มีอนาคตนะนี่”
บรรพจารย์หญิงจากยอดเขาเหวินชิงแค่นเสียงในลำคอ
บรรพจารย์ศาลลมหิมะที่รูปโฉมเหมือนเด็ก ขี่กระบี่หยุดลอยตัวใช้เสียงในใจเอ่ยกับบรรพจารย์ของศาลบรรพจารย์ทั้งสองท่านว่า “คนผู้นี้เป็นเซียนกระบี่อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”
หลังจากหมี่อวี้แอบหนีออกมาจากศาลลมหิมะก็บอกว่าหน้าตาตัวเองไม่ใหญ่มากพอ แต่ก่อนที่เรือข้ามฟากที่พวกเขาโดยสารมาจะจอดเทียบท่าที่ภูเขาหนิวเจี่ยว เขากลับแอบยื่นต้นสนหมื่นปีแผ่นหนึ่งให้กับหานปี้ยา บอกว่าเก็บมาได้ระหว่างทาง ไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่แน่ว่าอาจเป็นต้นสนหมื่นปีก็ได้
แม่นางน้อยเอ่ยว่าท่านหลอกกันเล่นกระมัง?
แต่เมื่อต้นสนโบราณแผ่นนั้นมาอยู่ในมือนางกลับมีน้ำหนักมาก
หมี่อวี้ยิ้มตาหยีเอ่ยว่าหลอกเรื่องไม่ต้องจ่ายเงิน หรือหลอกเรื่องต้นสนหมื่นปีล่ะ?
เด็กสาวชอบพูดคุย แต่กลับไม่ค่อยชอบยิ้ม เพราะว่าตัวเองมีฟันกระต่าย นางจึงรู้สึกว่าเวลาตัวเองยิ้มไม่ค่อยน่ามอง
ดังนั้นพอบอกลากับผู้อาวุโสอวี๋หมี่ มองแผ่นหลังสง่างามที่จากไปไกล นางถึงได้แอบยิ้มกับตัวเอง
……
ริมตลิ่งลำน้ำที่ยังขุดเจาะไม่เสร็จสมบูรณ์ของภาคกลางแจกันสมบัติทวีป เด็กหนุ่มชุดขาวขี่อยู่บนหลังของเด็กชายคนหนึ่ง ข้างกายมีหลินโส่วอีที่เร่งเดินทางมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนติดตามมาด้วย
ชุยตงซานกระโดดลงพื้น รับเอาแผ่นไม้ไผ่ยี่สิบสี่แผ่นมาจากมือของหลินโส่วอี กวาดตามองรอบด้าน พึมพำเบาๆ ว่า “ลำบากแล้ว”
ก่อนหน้านี้ตัวอักษร ‘ฉี’ เหล่านั้นได้มาถึงมือของเขาแล้ว
และจดหมายคลายพันธะสัญญาฉบับหนึ่งก็ส่งจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาถึงแจกันสมบัติทวีปแล้วเช่นกัน
ชุยตงซานตะเบ็งเสียงตะโกนดังลั่น “ลำบากแล้ว!”
เขาเคยเอ่ยสัพยอกการพบเจอกันอีกครั้งระหว่างหลิ่วชิงเฟิงกับหลี่เป่าเจินว่า พบหน้าเอ่ยคำว่าลำบาก ล้วนเป็นคนในยุทธภพ (คนในยุทธภพยามเจอหน้ากันจะไม่เอ่ยคำว่าสวัสดี จะเอ่ยว่าลำบากแล้ว เพราะรู้ดีว่าทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพอย่างไม่ง่าย ภายหลังคำว่าลำบากแล้วนี้จึงกลายมาเป็นสัญญาณลับอย่างหนึ่งในยุทธภพ)
ตอนนี้ต่อให้ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนถือเป็นยุทธภพ (คำว่ายุทธภพยังแปลตามตัวว่าแม่น้ำและทะเลสาบได้ ดังนั้นประโยคนี้จึงอาจใช้ความหมายว่าแม่น้ำทะเลสาบได้ด้วย) แห่งหนึ่ง แต่อาจารย์เล่าอยู่ที่ใด?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!