ผู้เฒ่าคิดตามก็นึกออก “หมายถึงคนสองคนที่สะพายหีบไม้ไผ่หรือ?”
เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง “ภายหลังพวกเราเดินเร็ว พี่สาวคนนั้นเดินช้ากว่าเล็กน้อย ข้าหันไปมองนาง นางยังยิ้มให้ข้าด้วย”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เป็นบัณฑิตที่สะพายหีบตำราออกทัศนศึกษา”
เด็กน้อยถาม “ท่านปู่ ไม้ไผ่อันนั้นคือไม้เท้าหรือ? ข้าว่าทั้งพี่สาวและพี่ชายต่างก็เดินได้ปกตินะ”
ผู้เฒ่าอดหัวเราะไม่ไหว อธิบายอย่างอดทนว่า “นั่นไม่ใช่ไม้เท้าของคนแก่ มันมีชื่อ คือไม้เท้าเดินป่า ยามที่บัณฑิตออกจากบ้านเดินทางไกล มักจะต้องขึ้นเขาลงห้วย บางคนที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ก็หวังให้ตัวเองมีความรู้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ข้างกายไม่มีบ่าวรับใช้ติดตามจึงจำต้องสะพายสัมภาระเดินขึ้นเขาลงน้ำด้วยตัวเอง ถึงต้องใช้ไม้เท้าเดินป่าอย่างไรล่ะ”
เด็กน้อยยิ้มเอ่ย “ฮ่า บ้านพวกเราก็ไม่มีเงินเหมือนกัน ดูท่าวันหน้าข้าก็ต้องการไม้เท้าเดินป่าอันหนึ่งแล้วล่ะ”
ผู้เฒ่าลูบศีรษะของหลาน เอ่ยว่า “อ่านตำราหมื่นเล่มต้องใช้เงินมากมาย เดินทางเหมือนลี้กลับกลายเป็นว่าแค่ทนความลำบากได้ก็พอแล้ว ตอนที่ปู่ยังหนุ่มก็เคยเดินทางไกลไปกับสหายเหมือนกัน ไปเยือนหอเก็บหนังสือของพวกตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง หรือไม่ก็ตระกูลปัญญาชน ทุกวันจะยืมหนังสือมาคัดตัวอักษร คืนแล้วก็ยืมมาใหม่ บัณฑิตบางคนไม่ถือสาอะไร ทั้งยังกระตือรือร้นอย่างมาก ยินดีต้อนรับลูกหลานตระกูลยากจนอย่างพวกเราให้ไปคัดตัวอักษร อย่างมากสุดก็กำชับพวกเราประโยคหนึ่งว่าอย่าทำหนังสือเสียหายก็พอแล้ว ทุกวันยังมีอาหารดีๆ ให้กิน แต่บางครั้งก็มีพวกบ่าวรับใช้บางคนที่บ่นเบาๆ อย่างไม่พอใจ ยกตัวอย่างเช่นทุกวันต้องจุดตะเกียงคัดตัวอักษรตอนกลางคืน พวกเขาก็จะต้องเยาะเย้ยด้วยคำพูดทำนองว่า ทุกวันนี้น้ำมันตะเกียงขึ้นราคาอีกแล้ว แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่นับเป็นอะไรได้”
เด็กน้อยฟังจนอ้าปากหาว
ผู้เฒ่ากอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมกอด เด็กน้อยรู้สึกง่วงงุนเล็กน้อย เมื่อความแปลกใหม่ผ่านไป อีกทั้งยังต้องเดินทางไกล จึงค่อยๆ หลับลึกไป ผู้เฒ่าพึมพำเบาๆ ว่า “อายุยี่สิบกว่าปี รีบร้อนแสดงฝีมือเขียนบทความของตนเอง จะขัดขวางก็ขวางไม่อยู่ หลังสามสิบถึงค่อยๆ เริ่มโรยรา ได้แต่ค่อยๆ กลั่นกรอง พออายุมากขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะตรงกันข้าม เขียนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่ก็เหมือนเชื้อเชิญเหล่าสหายสนิทมาบนกระดาษ เอ่ยทักทายกัน เล่าเรื่องราวบางอย่างให้กันฟัง”
สารถีผู้นั้นพลันเอ่ยว่า “พกตำราและกระบี่ออกเดินทางไกลอีกครั้ง”
ผู้เฒ่าในรถรู้สึกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด สารถีคนนั้นไม่ควรจะเอ่ยถ้อยคำเป็นภาษาทางการอย่างนี้ได้ถึงจะถูก จึงวางเด็กน้อยลงเบาๆ แล้วเลิกผ้าม่านขึ้น
สารถีหนุ่มหันหน้ามาถามว่า “นายท่านผู้เฒ่ามีอะไรหรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มถาม “เหตุใดถึงได้เอ่ยคำว่า ‘พกตำราและกระบี่ออกเดินทางไกลอีกครั้ง’ ล่ะ?”
สารถีอึ้งตะลึง “นายท่านผู้เฒ่าหมายความว่าอย่างไร?”
ผู้เฒ่าอึ้งงัน เพียงยิ้มเอ่ยว่าไม่มีอะไร แล้วถอยกลับไปในห้องโดยสารรถม้า คิดแค่ว่าตนหูฝาดไป
ส่วนสารถีที่หยาบกระด้างไม่รู้จักตัวอักษรผู้นั้น อยู่ดีๆ ก็มีความคิดหนึ่งว่า ไปหาเฉินหลิงจวินดีไหม?
นาทีถัดมา สารถีก็ลืมเรื่องนี้ไปอีกครั้ง
บนภูเขามู่อี ในขณะที่เผยเฉียนกับหลี่ไหวเดินขึ้นเรือ บรรพจารย์น่าหลันก็เก็บม้วนภาพขุนเขาสายน้ำ จมสู่ภวังค์ความคิด
บุรุษสุยย่วนเอ่ย “การสืบทอดของหนึ่งสาย มีอาจารย์อย่างไรย่อมมีศิษย์อย่างนั้น มีศิษย์อย่างไรย่อมมีอาจารย์เช่นนั้น”
สตรีเฉิงซินพยักหน้าคล้อยตาม
ครู่หนึ่งต่อมาผู้ฝึกตนเฒ่าก็คิดจะดูต่ออีกสักหน่อย ดังนั้นจึงร่ายเวทอภินิหารอีกครั้ง ก่อนจะร้องเอ๊ะหนึ่งที ข้างกายเด็กสองคนนั้นมีภูตจิ้งจอกน้อยขอบเขตโอสถทองตนหนึ่งโผล่มาได้อย่างไร?
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมม้วนภาพนั้นถึงได้พร่าเลือนด้วยตัวเอง
คู่รักเทพเซียนก็หันหน้ามามองกันเอง
บรรพจารย์น่าหลันยิ้มพลางเก็บวิชาอภินิหาร
ตรงร้านน้ำชาริมลำคลองเหยาเย่
ลูกค้าบางตา ใกล้จะได้เวลาปิดร้านแล้ว
เถ้าแก่หยิบขนนกออกมาสองชิ้น เป็นขนนกที่มาจากฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊
เขาพูดกับเด็กหนุ่มลูกจ้างร้านที่นอนฟุบโต๊ะงีบหลับว่า “มีเรื่องให้ทำแล้ว”
หญิงสาวคนหนึ่งพลันปรากฏกายแล้วนั่งลง “แนะนำพวกเจ้าว่าอย่าทำ”
……
ท่ามกลางม่านราตรี หลี่ไหวเดินอยู่ข้างกายเผยเฉียน เอ่ยเสียงเบาว่า “เผยเฉียน เจ้าสอนวิชาหมัดให้ข้าเถอะนะ?”
เผยเฉียนทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป สีหน้าปั้นยาก นางออกเดินทางไกลครั้งนี้ ไปเยือนยอดเขาสิงโต แท้จริงแล้วก็ไปเพื่อโดนต่อยโดยเฉพาะ
เผยเฉียนลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “เรียนวิชาหมัดยากลำบากเกินไป”
หยุดชะงักไปครู่ เผยเฉียนก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็สอนวิชาหมัดไม่เป็นด้วย”
นึกไม่ถึงว่าหลี่ไหวได้ฟังแล้วจะอารมณ์ดี ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ว่าข้าเรียนอะไรก็ช้าไปหมด เจ้าสอนหมัดไม่เป็นก็ยิ่งดีน่ะสิ เรียนวิชาหมัดไม่ได้ ข้าไม่เสียใจ เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถ่วงเวลาของลูกศิษย์คอื่น หากเปลี่ยนเป็นเฉินผิงอัน ข้าคงไม่เรียนแล้ว ด้วยนิสัยของเขา หากสอนหมัดขึ้นมา ข้าคิดจะแอบอู้ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ…เผยเฉียน ข้าแค่พูดตามความจริง เจ้าห้ามโกรธนะ”
เผยเฉียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ท่าหมัดสองท่านั้นของอาจารย์พ่อข้า เจ้าได้เห็นมาเร็วกว่าข้าอีกไม่ใช่หรือ? ไม่ได้เรียนยากสักหน่อย เจ้าน่าจะเรียนเป็นสิ”
หลี่ไหวเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้าแค่เรียนท่านอนนิ่ง ‘เชียนชิว’ มาอย่างส่งเดช อันที่จริงเฉินผิงอันพูดอะไร ข้าล้วนจำไม่ได้ แค่คิดว่าตัวเองได้เรียนมาแล้วเท่านั้น ท่าเดินนิ่งหกก้าวกับท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ข้ายิ่งไม่กล้าเรียน กลัวพวกหลี่เป่าผิงจะหัวเราะเยาะ”
เผยเฉียนส่ายหน้า “ข้าไม่สอนหมัด ตัวข้าเองก็ไม่เป็นวิชาหมัดอะไรทั้งนั้น”
หลี่ไหวกล่าว “เจ้าเป็นสิ! ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะถามหมัดกับเทพลำคลองเซวียหรอกหรือ?”
ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ไม่ตอบตกลง
วิชาหมัดของข้า หมัดหล่นลงตรงไหน
เผยเฉียนแหงนหน้ามองม่านฟ้า
บนพื้นดินกว้างใหญ่ รอบด้านมีแต่เสียงแมลงกลางคืนร้องระงม
……
ห่างจากนอกอารามป๋ายอวิ๋นไปไม่ไกลมีภิกษุเฒ่าคนหนึ่งเดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้แล้วเช่าเรือนแห่งหนึ่งพักอาศัย ทุกวันจะต้องต้มน้ำแกงกิน ทั้งๆ ที่เป็นอาหารเจ แต่กลับมีรสชาติเหมือนน้ำแกงไก่
ดังนั้นจึงได้ฉายาว่าพระน้ำแกงไก่
ไม่อธิบายคำทำนายเซียมซี แค่ดูลายมือ บางครั้งก็ดูดวงให้ ส่วนใหญ่จะคอยไขข้อข้องใจให้คนอื่น ครั้งละหนึ่งตำลึงเงิน เข้าประตูมาก็ต้องจ่ายเงินให้ หากไขข้อข้องใจให้แล้วไม่พอใจก็ล้วนไม่มีการคืนเงินให้
วันนี้มีบัณฑิตคนหนึ่งเพิ่งจะแวะเวียนมา ถามว่าตนสามารถสอบติดได้หรือไม่
ภิกษุเฒ่าดูลายมือให้บัณฑิตแล้วก็ส่ายหน้า
บัณฑิตเดือดดาลอย่างหนัก เริ่มพูดว่าการสอบเคอจวี่ทำให้คนเสียเวลา ร่ายหลักการเหตุผลออกมาเป็นกระบุงโกย หนึ่งในนั้นคือพูดว่าจ้วงหยวนในโลกจะมีสักกี่คนที่สามารถเขียนบทกวีที่ทิ้งชื่อเสียงไว้ได้นานเป็นพันปี?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!