หลินจวินปี้ผายมือเอ่ยกับจินเจินเมิ่งว่า “ตามสัญญา เอาสุราดีมา”
จินเจินเมิ่งที่เวลาปกติไม่ชอบพูดคุยแย้มยิ้มกลับเอ่ยสัพยอกว่า “ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองผู้ยิ่งใหญ่ ผู้อาวุโสเซียนดินของเจ้ามาเยี่ยมเจ้าก็ถือว่าให้หน้าเจ้ามากแล้ว ควรเป็นเจ้าต่างหากที่ต้องเอาสุราดีมารับรองแขก”
หลินจวินปี้พยักหน้ารับ “มีสุราๆ เหล้าทะเลสาบคนใบ้ที่ไม่รังแกเด็กสตรีและคนชรา มีขายแค่ที่ร้านนี้เท่านั้น ไม่มีสาขาอื่น!”
จูเหมยอารมณ์ดีอย่างมาก ทุกคนต่างก็เป็นคนราชวงศ์เส้าหยวนบ้านเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับระหว่างที่เดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาอันที่จริงต่างกันราวฟ้ากับเหว แตกต่างกันมากแล้ว
ดังนั้นจูเหมยเองก็ยิ้มพูดอย่างมีความสุขว่า “จวินปี้ แม่นางที่พี่หญิงอวี้ช่วยแนะนำให้เจ้า ฝีมือการเล่นหมากล้อมเป็นอย่างไรบ้างล่ะ? นางงดงามหรือไม่? เจ้าอยากจะเอาชนะหมากล้อมเลยลืมมองรูปโฉมของนาง หรือว่าเอาแต่มองรูปโฉมของแม่นางจนพ่ายแพ้ให้นางล่ะ?”
หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฝีมือเล่นหมากล้อมไม่เลว งดงามกว่าเจ้า”
จูเหมยยกนิ้วโป้ง “พี่จวินปี้ เป็นคนซื่อสัตย์!”
จูเหมย หลินจวินปี้และจินเจินเมิ่งพากันมานั่งลงในระเบียง จูเหมยกวาดตามองรอบด้านแล้วเอ่ยว่า “ทัศนียภาพของที่แห่งนี้ไม่เลวเลยจริงๆ เหมาะแก่การสงบจิตใจฝึกตน”
หลินจวินปี้ชี้ไปยังสวนหินเฟิงสุ่ยสูงขนาดเท่าตัวคนที่มีไอหมอกแสงเรืองรองล้อมวนแล้วเอ่ยว่า “หินก้อนนี้ขุดมาจากก้นทะเลสาบเซิ่นหู มันทำให้กระเป๋าเงินของอาจารย์ข้าฟีบแบนเลยล่ะ”
อาจารย์ของหลินจวินปี้ผู้นี้คือราชครูแห่งราชวงศ์ใหญ่อันดับที่หกของใต้หล้าไพศาล เคยมีบุญคุณความแค้นที่ไม่เล็กกับสายเหวินเซิ่ง
ส่วนพวกบัณฑิตทั้งหลายในราชวงศ์เส้าหยวนก็เคยจับมือกันเดินทางข้ามผ่านขุนเขาสายน้ำยาวไกลไปเยือนที่ตั้งของศาลบุ๋นแล้วทุบทำลายเทวรูปของเหวินเซิ่งที่ถูกย้ายออกมานอกศาลบุ๋นกับมือตัวเอง หลังกลับคืนสู่บ้านเกิด เส้นทางการเป็นขุนนางก็ราบรื่นเหมือนเดินขึ้นสู่สวรรค์ เพียงแต่ว่าส่งเทียบมายังจวนราชครูหลายครั้งล้วนไม่ได้รับการต้อนรับจากท่านราชครู กลับกลายเป็นว่าถูกซีหลูเซียนเซิงนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นที่เขียน ‘ตำราหมากล้อมศาลาแห่งความชื่นมื่น’ เป็นผู้ชี้แนะวิชาหมากล้อมให้ด้วยตัวเอง
จินเจินเมิ่งรับเอากาเหล้าที่หลินจวินปี้นำกลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มา หลังดื่มเหล้าไปหนึ่งคำก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ต่อให้กลับบ้านเกิดมานานขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังมักจะรู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลคนละโลกอยู่ดี ทุกครั้งที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาก็จะเรียกกระบี่บินมาไว้ข้างตัวเสมอ เป็นเหตุให้การพัฒนาในการฝึกกระบี่เป็นไปอย่างเชื่องช้า ยากจะฝ่าคอขวดไปได้ ผิดต่อปณิธานกระบี่เก่าแก่ที่ได้รับมาจากหัวกำแพงเมืองแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ของราชวงศ์เส้าหยวนกลุ่มนี้ ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คนที่ได้รับปณิธานกระบี่อันที่จริงมีไม่มาก จินเจินเมิ่งได้รับมาหนึ่งส่วน เหยียนลวี่เองก็ได้รับหนึ่งส่วน จูเหมยไม่ได้โชควาสนานี้ แต่หลินจวินปี้คนเดียวกลับทยอยได้รับมาถึงสามกลุ่ม นี่ยังเป็นเพราะว่าภายหลังหลินจวินปี้ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนแล้วโอกาสที่จะได้ออกจากหัวกำแพงเมืองมาเข่นฆ่ามีไม่มากด้วย ไม่อย่างนั้นไม่แน่ว่าอาจจะได้รับปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์มาอีกหนึ่งเสี้ยว
จูเหมยเขินอายเล็กน้อย “ข้ายังดี มีแค่บางครั้งที่จะฝันร้ายแล้วสะดุ้งตื่น ภายหลังคนที่บ้านช่วยหาธูปหอมสงบใจมาให้ข้า ฝันร้ายก็เลยลดน้อยลง”
หลินจวินปี้จิบเหล้าหนึ่งอึก เอ่ยว่า “การที่ข้าอ้างว่าปิดด่านอยู่ที่นี่ก็หนีไม่พ้นเป็นวิธีการนั่งเก็บเกี่ยวชื่อเสียงอย่างหนึ่ง นี่ค่อนข้างจะน่าเบื่อ แต่หากจะให้ข้าออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปเข่นฆ่าอีกครั้งก็ไม่ค่อยกล้าเท่าไรแล้วจริงๆ”
จินเจินเมิ่งถอนหายใจโล่งอก วันนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว หลินจวินปี้ยังคงเป็นหลินจวินปี้ในใจของเขา สุรานี้ดื่มได้อย่างสบายใจแล้ว จินเจินเมิ่งจึงแหงนหน้ากระดกดื่มอึกใหญ่ เช็ดปากแล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “น่าเสียดายที่อวี้เจวี้ยนฟูไปฝูเหยาทวีป ไม่อย่างนั้นก็คงนัดมาเจอเจ้าพร้อมกันแล้ว”
จูเหมยเอ่ยเบาๆ “ไหวเฉียนที่ชอบยิ้มหัวเราะทั้งวันผู้นั้น ดูเหมือนจะติดตามไจ้ซีไจ้ซีของข้าไปยังสถานที่ที่เรียกว่าถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีปด้วย”
หลินจวินปี้คือผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคนแรกที่ออกมาจากคฤหาสน์หลบร้อนก่อนใคร
เติ้งเหลียง เฉากุ่น เสวียนเซินต่างก็ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ช้ากว่าเขา
เพียงแต่ไม่รู้ว่ายามที่พวกเขากลับคืนสู่บ้านเกิดได้ออกจากภูเขาห้อยหัวมาพร้อมกับผู้อาวุโสเซียนกระบี่คนบ้านเดียวกันหรือไม่ ข้างกายได้นำพาตัวอ่อนเซียนกระบี่คนสองคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาด้วยหรือไม่
น่าเสียดายที่เซียนกระบี่ต่างถิ่นทุกท่านที่พอกลับมาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวหรือคำพูดใด พวกเขาเองก็ไม่ต่างจากหลินจวินปี้ที่เลือกจะไม่พูดถึงสงครามที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แม้แต่ครึ่งคำ
หลินจวินปี้สลายความคิดวุ่นวายในใจทิ้งไป แล้วก็จงใจกดเสียงกระซิบเบาๆ เลียนแบบจูเหมย “ไหวเฉียนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้นรูปโฉมเป็นอย่างไร เจ้าหวั่นไหวหรือไม่?”
จูเหมยแกว่งกาเหล้า ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เห็นหลินจวินปี้มาบ่อยเข้า พอไปมองบุรุษคนอื่นก็ล้วนรูปโฉมธรรมดากันไปหมดแล้ว”
หลินจวินปี้ยิ้มกล่าว “รอเจ้าได้เจอเฉาสือก่อนค่อยพูดประโยคนี้อีกทีนะ”
จูเหมยไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายอย่างสุดแสน “น่าเสียดายที่ไม่ได้เจอ วันหน้าข้าจะต้องลากเอาไจ้ซีไจ้ซีไปเที่ยวที่ราชวงศ์ต้าตวนด้วยกันสักรอบให้ได้ ไปพบเฉาสือชุดขาวผู้นั้นก่อน แล้วค่อยไปพบเทพีสงครามเผย!”
จินเจินเมิ่งพลันรู้สึกลำบากใจ ลังเลอยู่นานก็อดไม่ไหวใช้เสียงในใจถามว่า “จวินปี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าซือถูเหว่ยหรันไปอยู่ที่ไหน? ใต้หล้าแห่งที่ห้าหรือ? หากสามารถพูดได้ เจ้าก็บอกข้าหน่อยเถอะ แต่หากเกี่ยวพันกับความลับของคฤหาสน์หลบร้อน เจ้าก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถาม”
หลินจวินปี้ส่ายหน้า “เกี่ยวกับซือถูเหว่ยหรัน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาไปที่ไหนกันแน่ แต่ข้าสามารถลองถามแทนเจ้าได้ ก่อนหน้านี้ไม่นานอาจารย์พูดถึงเรื่องหนึ่ง ทุกวันนี้เฉินซานชิวกับเตี๋ยจ้างต่างก็อยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพิ่งจะไปเยือนสถานศึกษาหลี่จี้มา”
จินเจินเมิ่งชูกาเหล้า เอ่ยขอบคุณหลินจวินปี้
จูเหมยเอ่ย “จวินปี้ แล้วใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเจ้าล่ะ? ก่อนหน้านี้เกิดภาพปรากฎการณ์ของโชคชะตาบู๊ ความเคลื่อนไหวนั้นยิ่งใหญ่มาก พวกมันต่างก็พากันพุ่งไปยังที่ตั้งเก่าของภูเขาห้อยหัว ดังนั้นตอนนี้จึงมีข่าวลือมากมาย บ้างก็บอกว่าตอนนี้ทั้งสองใต้หล้าเชื่อมโยงถึงกัน หากผู้ฝึกยุทธคิดอยากจะฝ่าทะลุขอบเขตด้วยคำว่าแข็งแกร่งที่สุดก็จะยิ่งยากมากขึ้น เฉินผิงอันผู้นั้นก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งไม่ใช่หรือ? คงไม่ใช่เขาหรอกกระมัง แต่นี่ก็ฟังไม่ขึ้นเลยนะ กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตกไปแล้วแท้ๆ”
หลินจวินปี้เงียบไปนาน ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!