กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 697

สรุปบท บทที่ 697.4 ฝ่าทะลุขอบเขตไม่จำเป็นต้องรอ: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 697.4 ฝ่าทะลุขอบเขตไม่จำเป็นต้องรอ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 697.4 ฝ่าทะลุขอบเขตไม่จำเป็นต้องรอ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ทุกวันนี้ในร่มใบถงเล็กๆ คันนี้กลับรองรับชาวบ้านประสบภัยที่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่มากถึงล้านกว่าคน

ถึงอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจำนวนผู้ฝึกตนก็มีน้อยกว่า บวกกับพวกคนไม่เกี่ยวข้องที่ติดตามผู้ฝึกลมปราณมา รวมๆ กันแล้วก็แค่หกพันกว่าคนเท่านั้น

ท่ามกลางขั้นตอนนี้การเลือกระหว่างชีวิตและเงินเทพเซียนเป็นอย่างไร ความใกล้ชิดห่างเหินมีความต่างอย่างไร ความเห็นแก่ตัวความใจดำสารพัดรูปแบบของใจคน ล้วนมองเห็นได้ชัดเจนในปราดเดียว

ไม่ว่าจะอย่างไรการกระทำนี้ของเจียงซ่างเจินก็เป็นการช่วยเหลือคน เมื่อเทียบกับที่ชุยตงซานคาดการณ์ไว้ในจดหมายลับยังช่วยไว้ได้มากกว่าสามแสนคน ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เจียงซ่างเจินยังอาศัยเงินค่าผ่านทางจากการสังหารคนรวยไร้คุณธรรมไปช่วยเหลือคนจน ก็ทำให้พื้นที่มงคลรากบัวที่เป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง ไม่เพียงแต่ขอบเขตไม่ถดถอยกลายเป็นพื้นที่มงคลระดับล่าง รอกระทั่งกระบี่นำเงินเทพเซียนก้อนนั้นมาหล่อหลอมแล้ว ต่อให้จะเป็นคนทำการค้าที่พูดภาษาการค้า หักค่าใช้จ่ายที่สกุลเจียงสร้างตราผนึกขุนเขาออกแล้ว ปราณวิญญาณของพื้นที่มงคลก็ยังสามารถเพิ่มขึ้นมาได้อีกส่วนหนึ่ง

แล้วนับประสาอะไรกับที่เจียงซ่างเจินก็ไม่ได้ใช้วิธีคนทำการค้าพูดภาษาการค้า เงินมากเกินไปก็มีแต่จะเป็นปัญหายุ่งยาก ความสนุกของเขาอยู่แค่ที่การหาเงินมาได้เท่านั้น

ส่วนพวกผู้สูงศักดิ์มากมายในโลกมนุษย์ที่แฝงตัวอยู่ข้างกายผู้ฝึกตนบนยอดเขา หลังจากย้ายบ้านแล้วนั่นก็ต้องเรียกว่ามีเงินจริงๆ ตระกูลเศรษฐีชนชั้นสูงมากมายล่างภูเขาล้วนมีเงินไม่เป็นรองถุงเงินของเซียนดินโอสถทองบางท่านเลย แล้วนับประสาอะไรกับที่เจียงซ่างเจินยังมีช่องทางการหาเงินมากมาย มีสารพัดวิธี หลังจากที่ลงหลักปักฐานอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัวได้ ยังจะอยากอยู่ดีกินดีต่อไปหรือไม่? ต้องการจะพักอาศัยอยู่ในจวนเทพเซียนหรือไม่? ทุกวันหากไม่ได้กินอาหารเลิศรสหายากจะไม่ผิดต่อสถานะอันสูงศักดิ์ที่สืบทอดมาหลายยุคหลายสมัยของพวกเจ้าหรือ? จากนั้นก็หาหญิงงามกระดาษยันต์ที่ร้องรำทำเพลงได้เก่งมาช่วยผ่อนคลายอารมณ์ด้วยดีหรือไม่?

ดังนั้นนี่จึงเป็นรายรับก้อนใหญ่ของพื้นที่มงคลรากบัว อีกทั้งคนกลุ่มนี้ยังจ่ายเงินอย่างรวดเร็วฉับไวอีกด้วย

บนเรือวิเศษหลิวเสีย ยาเอ๋อร์เอ่ยว่า “พี่หญิงสุย พวกเราแค่ต้องไปที่ท่าเรือทางทิศเหนือกันอีกรอบ ท่านก็สามารถนำร่มใบถงกลับไปที่แจกันสมบัติทวีปได้แล้ว”

สุยโย่วเปียนพยักหน้ารับ

เฉาจวิ้นที่อยู่ตรงท้ายเรือเดินมาหาพวกนาง เอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็จัดการธุระได้พอสมควรแล้ว ข้าคงไม่ไปที่ท่าเรือแล้วล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า”

สุยโย่วเปียนกล่าว “ตามใจ”

เฉาจวิ้นก้าวออกไปจากเรือหลิวเสีย แล้วทะยานลมเดินทางไกล ดูจากทิศทางคร่าวๆ น่าจะไปที่สำนักใบถง

การที่เฉาจวิ้นไม่ได้ตรงกลับแจกันสมบัติทวีป แต่เลือกจะแยกทางกับพวกเว่ยเซี่ยน สุยโย่วเปียน เดินทางไปเยือนสำนักใบถงเพียงลำพังก็เพราะต้องการไปเจอกับเจ้าตัวการร้ายที่ทำให้จิตแห่งกระบี่ของเขาแหลกสลายผู้นั้น

หากไม่เป็นเพราะจั่วโย่ว ในฐานะตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของทักษินาตยทวีป มีหรือที่เฉาจวิ้นจะหยุดชะงักอยู่ที่คอขวดของโอสถทองตลอดมา?

ทะเลสาบหัวใจของเฉาจวิ้น เดิมทีก็มีภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่อลังการอยู่แล้ว

หลังจากที่จิตแห่งกระบี่ถูกทำลาย เพียงไม่นานเฉาจวิ้นก็กลายเป็นตัวตลกของคนทั้งทวีป และจากนั้นมาเฉาจวิ้นก็เก็บตัวเงียบ ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาล้วนไม่ใส่ใจ ปิดบังชื่อแซ่ออกพเนจรไปทั่วยุทธภพ ภายหลังมีผู้ฝึกกระบี่วัยเดียวกันคนหนึ่งที่เป็นผู้มาทีหลังแต่ตามมาทันยิ้มกล่าวว่า ไม่เสียแรงที่จั่วโย่วผู้นั้นเป็นบัณฑิต ยังรู้จักทิ้งใบบัวแห้งเหี่ยวไว้ให้ฟังเสียงฝนด้วย

คำพูดประโยคนี้เขาพูดมันต่อหน้าเฉาจวิ้น

ปีนั้นเฉาจวิ้นฟังแล้วก็ยิ้มตาหยีพยักหน้ารับตอบว่าใช่

กระท่อมริมลำคลองของสำนักใบถง เฉาจวิ้นได้เจอกับบุรุษที่ว่ากันว่าเพิ่งจะเก็บกระบี่กลับมาจากมหาสมุทร

เล่าลือกันว่าตลอดทั้งแนวเส้นเลียบชายหาดทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ถูกจั่วโย่วกับแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นใครตีกันจนแหลกเละไปหมด

เฉาจวิ้นมองบุรุษคนนั้นแล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่จั่ว โชคดีที่ได้พบ โชคดีที่ได้พบ”

จั่วโย่วถาม “เจ้าคือ?”

เฉาจวิ้นบื้อใบ้พูดไม่ออก

มารดาเจ้าเถอะ ปีนั้นเจ้าทำลายจิตแห่งกระบี่ของข้าผู้อาวุโสเสียแหลกยับ แล้วดันจำไม่ได้ว่าข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ?

เฉาจวิ้นกล่าว “เฉาจวิ้น ผู้ฝึกกระบี่แห่งทักษินาตยทวีป”

จั่วโย่วคิดแล้วก็นึกออก “มีธุระอะไร?”

เฉาจวิ้นเอ่ยเสียงหนัก “จั่วโย่ว เจ้าอย่าตายล่ะ วันหน้าข้ายังต้องถามกระบี่กับเจ้า”

จั่วโย่วชำเลืองตามองเฉาจวิ้น ถามสองคำถามว่า “กล้าอยู่ที่นี่ต่อหรือไม่? อยากจะใช้สถานะของเซียนกระบี่หวนกลับคืนสู่ทักษินาตยทวีปหรือไม่?”

เฉาจวิ้นลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนพยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ทำไมจะไม่กล้า ทำไมจะไม่อยาก”

จั่วโย่วผงกศีรษะ “ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ต่อ ในที่สุดก็พอจะมีลักษณะของผู้ฝึกกระบี่บ้างแล้ว”

เฉาจวิ้นกัดฟันกรอด อดทนอยู่นานก็ยังทนไม่ไหว เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “จั่วโย่ว! เจ้าเลิกทำท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์แบบนี้เสียทีเถอะ! ข้าผู้อาวุโสถูกเจ้าเล่นงานจนอนาถนัก!”

จั่วโย่วถามอีกสองคำถาม “อาศัยว่าไม่ได้บาดเจ็บก็เลยจะถามกระบี่กับข้า? ข้ายืนนิ่งไม่ขยับ ให้เจ้าออกกระบี่ไม่หยุด ใครจะตายก่อน?”

เฉาจวิ้นหมุนตัวเดินไปที่อื่น ตาไม่เห็นใจจะได้ไม่ต้องหงุดหงิด

หวังซือจื่อกับอวี๋ซินขี่กระบี่มาที่นี่พอดี เพราะมีเรื่องจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสจั่วโย่ว

ทั้งสองต่างก็มีการคาดเดาสถานะของผู้ฝึกกระบี่จากทักษินาตยทวีปท่านนั้นอยู่บ้าง

อวี๋ซินเอ่ยเสียงเบาว่า “ในเมื่อสามารถถามกระบี่กับผู้อาวุโสจั่วโย่วได้ ก็น่าจะเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งกระมัง?”

หวังซือจื่อพยักหน้า “ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้ แต่มองดูแล้วไม่ค่อยเหมือนเท่าไร อาจเป็นเพราะผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนั้นเก็บภาพบรรยากาศของเซียนกระบี่ไป เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกกระบี่ทุกคนจะกล้าถามกระบี่ต่อผู้อาวุโสจั่วโย่ว โดยทั่วไปแล้วขนาดขอบเขตหยกดิบยังไม่กล้า ต้องเริ่มที่ขอบเขตเซียนเหรินขึ้นไป ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่สำรองสิบอันดับบนยอดเขาก็ยังไม่ค่อยกล้าออกกระบี่เลย”

หลายปีมานี้เฉาจวิ้นฝึกฝนจิตใจจนประสบความสำเร็จ ไม่ง่ายเลยที่ไม่ถูกจั่วโย่วทำให้โมโหตาย แต่กลับเกือบต้องโมโหตายเพราะตะพาบสองคนนี้

แต่ตอนที่เฉาจวิ้นหันไปมองคนทั้งสอง เขากลับคลี่ยิ้มบางๆ

เซียนกระบี่กับท่านปู่พวกเจ้าสิ

รอกระทั่งเฉาจวิ้นจากไปแล้ว หวังซือจื่อเล่าธุระของตัวเองให้ผู้อาวุโสจั่วโย่วฟัง พอได้คำตอบแล้วก็เตรียมจะจากไปทันที เห็นเพียงว่าแม่นางอวี๋ซินยังอยู่ที่เดิม หวังซือจื่อก็นึกว่ายังมีเรื่องอะไรที่ตกหล่นลืมรายงาน จึงยังรั้งรออยู่ต่อเป็นเพื่อนนาง

อวี๋ซินมองเขาแวบหนึ่ง หวังซือจื่อจึงยิ้มบางๆ ตอบกลับอย่างมีมารยาท

อวี๋ซินอับอายจนพานเป็นโกรธ รีบทะยานลมจากไปทันที หวังซือจื่อจึงได้แต่ตามไปด้วยความประหลาดใจ

จั่วโย่วมองบุรุษหญิงสาวสองคนที่มีท่าทางแปลกประหลาดแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ พวกเขาคงจะเป็นคู่รักเทพเซียนกันสินะ?

……

บนภูเขาลั่วพั่วมีบ่อโบราณแห่งหนึ่งที่ถูกย้ายมาจากเมืองเล็ก ถูกนำมาตั้งวางไว้ข้างสระน้ำเล็กด้านหลังเรือนไม้ไผ่

หมี่อวี้ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ หมี่อวี้น้อยฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนปากบ่อ ร้องเรียกไปทางด้านในว่าเฮ้ๆๆ มีคนอยู่ไหม? ได้ยินหรือไม่? ข้าชื่อโจวหมี่ลี่ โจวหมี่ลี่ผู้กล้าหาญ ข้าคือรองหัวหน้าสาขาผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา คือภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ ได้ยินไม่ชัดใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดอีกรอบนะ…

เว่ยป้อเอ่ยเบาๆ “ชุยตงซานบอกแค่ว่านี่คือค่าตอบแทนที่ราชวงศ์ต้าหลีมอบให้จากการคลายพันธะสัญญา ถือว่าเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งได้อย่างถูไถกระมัง รอให้ร่มใบถงคันนั้นกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว ข้าจะลองดูว่าสามารถทำให้ถ้ำสวรรค์กับพื้นที่มงคลเชื่อมโยงถึงกันได้หรือไม่ แต่ว่าความเป็นไปได้มีไม่มาก ได้แต่ลองทำดูเท่านั้นจริงๆ”

หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องดี”

หลี่ไหวเอ่ยรับคำ “รีบเผ่นหนีเร็วเข้า!”

“โอ้โห คล้องจองกันไม่น้อยเลย”

“ชมเกินไปแล้วๆ”

เผยเฉียนพลันหยุดพูด กระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนกิ่งไม้สูง ทอดสายตามองเส้นทางจากเบื้องบนแล้วพลิ้วกายลงบนพื้น “ข้างหน้ามีคน แต่มองดูแล้วคล้ายบัณฑิตกลุ่มหนึ่ง ดูจากฝีเท้าพวกเขาไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธ แล้วก็ไม่ใช่ภูตผีในป่าเขาอะไร”

หลี่ไหวกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีเงินเหมือนพวกเรา ก็เลยนั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนไม่ไหว”

เผยเฉียนหยุดเดินอีกครั้ง เงี่ยหูรับฟัง

เหวยไท่เจินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าในใจกลับอดตื่นตะลึงไม่ได้ เผยเฉียนผู้นี้สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวน้อยนิดแค่นั้นบนภูเขาก่อนตนอีกหรือ?

แม้ว่าเหวยไท่เจินจะไม่เห็นขอบเขตโอสถทองของตัวเองเป็นสำคัญ มักรู้สึกว่าตัวเองก็คือภูตจิ้งจอกที่ไม่เข้าขั้นตนหนึ่ง ทว่าการรับสัมผัสที่เฉียบไวของโอสถทองก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปจะทัดเทียมได้ ดังนั้นนี่จึงไม่มีเหตุผลเลย เพียงแต่พอเหวยไท่เจินลองคิดดูอีกครั้งก็ดูเหมือนว่าไม่มีเหตุผลถึงจะเป็นเหตุผล นางอยู่กับเผยเฉียนและหลี่ไหวนานวันเข้า หากไม่รู้สึกประหลาดใจนั่นแหละถึงจะแปลก

เผยเฉียนเอ่ยกับหลี่ไหวว่า “บนยอดเขามีคนตัดฟืนกำลังตัดต้นไม้ ไม่รู้ว่าด้านล่างมีคนอยู่ ต้นไม้ใหญ่จึงกลิ้งลงมาตามทาง ย่อมทำร้ายให้กลุ่มคนด้านหน้าบาดเจ็บ พวกเจ้าเองก็ระวังหน่อย ไปหลบอยู่ด้านข้างแล้วกัน”

เผยเฉียนหันกลับไปมองเส้นทางภูเขาที่ใช้กลิ้งไม้ซึ่งพวกเขาเดินผ่านมาแล้วก่อนแวบหนึ่ง พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนถึงได้ค้อมเอวลงน้อยๆ ดีดปลายเท้าเรือนกายพุ่งทะยานดุจสายฟ้าแลบ แต่กลับเงียบเชียบไร้เสียง ไม่นานนางก็มาโผล่ห่างจากเบื้องหน้าบัณฑิตกลุ่มนั้นไปสิบกว่าก้าว เผยเฉียนยืนหันข้าง ส่งปลายเท้าตวัดท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่กลิ้งลงมาจากภูเขาอย่างรวดเร็วรุนแรงให้ลอยขึ้นสูง มันไปตกลงบนเส้นทางเล็กด้านหลังบัณฑิตกลุ่มนั้น ขณะเดียวกันนางก็บิดข้อมือเบาๆ ให้ท่อนไม้นั้นไม่ถึงขั้นตกกระแทกพื้นแรงเกินไป เพราะจะทำให้มันเสียราคา ใช้ปณิธานหมัดดันท่อนไม้ให้สูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยลงบนพื้นเบาๆ แล้วให้มันกลิ้งลงไปเบื้องล่างต่อ ต่อจากนั้นก็มีท่อนไม้กลิ้งลงมาอย่างต่อเนื่อง ล้วนถูกเผยเฉียนเตะให้ลอยขึ้นแล้วตกลงพื้นเบาๆ ทุกท่อน

เมื่อท่อนไม้ท่อนสุดท้ายมาถึงข้างกายเผยเฉียน พอถูกปลายเท้าของนางตวัดลอยขึ้นสูง นางก็ตีหลังกาตลบหลังไปยืนอยู่บนท่อนไม้ ร่วงลงไปบนเส้นทางภูเขาพร้อมกัน พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เห็นเงา

บัณฑิตที่เหมือนเพิ่งไปเดินผ่านประตูผีมารอบหนึ่งกลุ่มนั้น แต่ละคนปากอ้าตาค้าง หันมามองหน้ากันเอง

รอดจากหายนะมาได้ พวกเขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก แต่จากนั้นก็ตามมาด้วยความมึนงง ไยแม่นางคนนั้นจึงบินไปแล้วเล่า ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เอ่ยขอบคุณเลย

เผยเฉียนยืนอยู่บนท่อนไม้กลิ้งไถลจนมาเจอกับหลี่ไหวและเหวยไท่เจิน นางกระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งครั้งหยุดท่อนไม้ไม่ให้กลิ้งไปต่อ เห็นหลี่ไหวกับเหวยไท่เจินยืนอึ้งก็เอ่ยว่า “เดินทางกันต่อสิ”

เผยเฉียนกระโดดลงมาจากท่อนไม้ พึมพำเบาๆ คำหนึ่งว่าเจ้าไปได้ แล้วใช้ไม้เท้าเดินป่าดันเบาๆ กิ่งไม้นั้นก็กลิ้งไปตามทางภูเขาต่อ จากนั้นเผยเฉียนก็พาพวกเขาเปลี่ยนเส้นทางเดิน เพราะไม่อยากไปเจอกับบัณฑิตกลุ่มนั้น

แต่ไหนแต่ไรมาไม่ว่าเผยเฉียนพูดอะไรหลี่ไหวก็เชื่อฟังอยู่แล้ว เวลานี้จึงเดินอยู่ข้างกายเผยเฉียน

เหวยไท่เจินกลับอดไม่ไหวถามว่า “แม่นางเผย เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเท่าไร?”

เผยเฉียนหันหน้ามายิ้มเอ่ย “เทียบกับอาจารย์พ่อของข้าแล้วยังอยู่ห่างไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ ตอนนี้เพิ่งจะขอบเขตหก”

……

บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่

เฉินผิงอันเดินนิ่งหกก้าวต่อไปอีกครั้ง ฝีเท้าของเขาช้ามาก ออกหมัดก็เชื่องช้ายิ่ง

อยู่ดีๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาจึงคลี่ยิ้ม

ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตน ตอนนี้เลื่อนเป็นขอบเขตห้าแล้วหรือยังนะ?

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!