คนกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านยอดเขาแสงทองและภูเขาแสงจันทร์ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป คือยอดเขาคู่รักที่หาได้ยากคู่หนึ่ง
ยอดเขาแสงทองมีห่านหลังทองสัตว์วิเศษบินเข้าออกในบางครั้ง เพียงแต่ว่ายากที่จะตามหาร่องรอยของมันได้พบ หากผู้ฝึกตนคิดจะจับมันก็เป็นเรื่องยากยิ่งกว่ายาก ส่วนภูเขาแสงจันทร์นั้น ทุกๆ วันขึ้นสิบห้าค่ำที่พระจันทร์เต็มดวงก็มักจะมีกบยักษ์สีขาวหิมะตัวใหญ่เท่ายอดเขาตัวหนึ่งนำพาพวกลูกหลานขึ้นเขามาดึงดูดแก่นแสงจันทร์ ดังนั้นจึงได้ฉายาว่าภูเขาฟ้าผ่า
ตามเส้นทางที่พวกเขาวางแผนเอาไว้ ไม่เพียงแต่จงใจอ้อมผ่านท่าเรือตระกูลเซียน ขึ้นเขาลงห้วยอาศัยการเดินเป็นหลัก ดูเหมือนว่าหลี่ไหวเองก็ไม่รีบร้อนไปเยือนยอดเขาสิงโต และเผยเฉียนก็ไม่รีบกลับไปยังแจกันสมบัติทวีป
หากเอ่ยตามคำพูดของหลี่ไหวที่กล่าวเป็นการส่วนตัวก็คือ เผยเฉียนหวังว่าเมื่อตัวเองกลับไปถึงจะได้พบเจอกับอาจารย์พ่อแล้ว
ใช่ว่าหลี่ไหวจะไม่อยากไปเจอท่านพ่อท่านแม่ที่เมืองเล็กตีนเขาของยอดเขาสิงโตเร็วๆ เพียงแต่ว่าบางครั้งคิดถึงสภาพการณ์ของเผยเฉียนก็คิดว่าช่างมันเถอะ เขาทำใจเอ่ยโน้มน้าวนางไม่ได้แม้แต่คำเดียว
นอกจากจะตัดใจไม่ลงแล้ว ประเด็นสำคัญคือยังไม่กล้าอีกด้วย เผยเฉียนไม่ใช่หลี่เป่าผิง ฝ่ายหลังตีคนแล้วยังพอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง หลี่ไหวรู้ดีว่าเผยเฉียนซ่อนสมุดบัญชีเล่มเล็กเอาไว้หลายเล่ม ว่ากันว่ามีกันแทบทุกคน เป็นสมุดบัญชีแบบที่ว่ามีกันเฉพาะคนละเล่ม หลี่ไหวมักจะรู้สึกว่าสมุดบัญชีเล่มบางของตน มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นเล่มที่หนาที่สุดแล้ว
เหวยไท่เจินเองก็ไม่ถือสาที่ต้องเดินทางอย่างเชื่องช้า แต่ต่อให้นางจะเห็นเรื่องประหลาดมาจนชินตา เหตุการณ์ประหลาดไม่คาดฝันก็ยังมีมาให้เห็นติดๆ กันอยู่เรื่อย
ยกตัวอย่างเช่นเผยเฉียนเลือกวันที่อากาศอึมครึมขึ้นไปบนยอดเขาแสงทองที่มีก้อนหินประหลาดเยียบเย็นตั้งเรียงราย เหมือนว่านางไม่ได้ขึ้นเขาเพื่อไปเสี่ยงดวงหวังได้เจอห่านหลังทอง กลับกันคือทั้งอยากจะขึ้นเขาไปชมขุนเขาสายน้ำ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ยินดีจะได้เห็นห่านหลังทองที่นิสัยดุร้ายพวกนั้นด้วย นี่ยังไม่นับว่าประหลาดเท่าไร ที่ประหลาดคือพอขึ้นเขามาแล้วก็มานอนพักค้างแรมกันบนยอดเขา หลังจากเผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จแล้วก็เริ่มเดินนิ่งฝึกวิชาหมัด ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในตลาดด่านไน่เหอของชายหาดโครงกระดูกได้ซื้อตำรา ‘รวมเล่มวางใจ’ ของสำนักพีหมาและ ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ ของสวนน้ำค้างวสันต์ที่ราคาถูกอย่างถึงที่สุดมาสองเล่ม เผยเฉียนมักจะหยิบเอามาเปิดอ่านบ่อยๆ ทุกครั้งที่อ่านเจอคำบรรยายเกี่ยวกับเซียนกระบี่หนุ่มสองคนและหน้าผาอวี้อิ๋งใน ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ นางก็จะต้องคลี่ยิ้ม ราวกับว่าเวลาที่อารมณ์ไม่ดี เพียงแค่ได้อ่านเนื้อหาในบทที่ไม่ยาวนั้นก็สามารถช่วยคลายความกลัดกลุ้มให้นางได้แล้ว
และเผยเฉียนก็ยังถามข้อสงสัยบางอย่างในเรื่องวิชาความรู้กับหลี่ไหว หลี่ไหวจึงได้แต่แข็งใจช่วยตอบคำถามให้นาง เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เผยเฉียนได้คำตอบซึ่งหลี่ไหวยกเอามาจากตำราอริยะปราชญ์ นางกลับไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร
เหวยไท่เจินมั่นใจว่าพวกเขาต้องกลับไปมือเปล่า ไม่ได้เห็นห่านหลังทองอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรสัตว์วิเศษบนภูเขาประเภทนี้ก็มักจะปรากฎตัวภายใต้แสงตะวันสาดส่อง ร้อยปีถึงจะพานพบได้สักครั้ง
คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่ม่านราตรีหนาหนัก เหวยไท่เจินเลือกสถานที่หนึ่งแสร้งทำเป็นหลอมลมปราณเหมือนเทพเซียนทั่วไป ส่วนหลี่ไหวที่ปลุกความกล้าหาญด้วยการบอกว่าจะเฝ้ายามตอนกลางคืนกำลังก่อกองไฟ เพราะไม่มีอะไรทำจึงเขี่ยกิ่งไม้เล่น แล้วพูดชวนคุยประโยคหนึ่งว่านกในกรงบางส่วนนั้นขังไว้ไม่อยู่ แสงอาทิตย์ก็คือขนของพวกมัน
ครู่หนึ่งต่อมาทะเลเมฆดำทะมึนก็เหมือนดวงตาสวรรค์ที่เปิดออก อันดับแรกก็มีสีทองจุดหนึ่งปรากฏขึ้นก่อน แต่ยิ่งนานแสงนั้นก็ยิ่งสว่างเจิดจ้า ลากเอาเส้นยาวสีทองมาเส้นหนึ่ง ราวกบว่าพุ่งตรงมายังยอดเขาแสงทองที่เหวยไท่เจินอยู่
ในฐานะเทพเซียนโอสถทองแห่งยอดเขาสิงโตและศิษย์พี่หญิงร่วมสำนักของนายหญิงในนาม เมื่อหลายปีก่อนเหวยไท่เจินก็ได้ใช้สถานะสาวใช้ติดตามหลี่หลิ่วเดินทางมาท่องเที่ยวยังที่แห่งนี้
เหวยไท่เจินเป็นภูตกลางเขาที่เกิดและเติบโตมาในอาณาเขตของภูเขากระจกวิเศษ อันที่จริงการที่นางจำแลงร่างได้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว การฝ่าทะลุขอบเขตหลังจากนั้นก็ยิ่งไม่ต้องเพ้อฝัน แต่พอเจอกับนายหญิง เหวยไท่เจินแทบจะใช้ความเร็วหนึ่งปีในการฝ่าทะลุขอบเขตหนึ่งขั้น กระทั่งเลื่อนเป็นโอสถทองถึงได้หยุดนิ่ง นายหญิงบอกให้นางชะลอเอาไว้หน่อย บอกว่าทัณฑ์สวรรค์จากการที่พยายามฝ่าคอขวดโอสถทองไปเป็นก่อกำเนิดนั้น หากจะให้นางช่วยขวางไว้ให้ก็ไม่เป็นปัญหา แต่หลังจากที่เหวยไท่เจินมีหางแปดหาง ทั้งรูปโฉมและบุคลิกจะยิ่งกลมกลืนกับธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ ย่อมมีความเย้ายวนมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากให้ทำหน้าที่เป็นสาวใช้คอยส่งน้ำยกชาให้น้องชาย ย่อมง่ายที่จะทำให้น้องชายของนางเสียสมาธิยามที่ต้องศึกษาเล่าเรียน
นางติดตามเจ้านายอย่างหลี่หลิ่วไปพบเจอโลกกว้างมามากมาย พูดถึงแค่เซียนจับปลาของหินพักมังกรก็เป็น ‘เสมียนตำหนักนอกเมือง’ ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งแล้ว ยิ่งมีหลุมน้ำลู่ที่มีปีศาจขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์ เป็นวัตถุที่ต้องผ่านการหล่อหลอมอย่างยากลำบาก ทว่าที่นั่นกลับเป็นเพียงแค่สถานที่พักร้อนในอดีตแห่งหนึ่งของนายหญิงเท่านั้น ผลคือปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานกลับกลายมามีสถานะแทบไม่ต่างจากนางเหวยไท่เจิน ยามที่สตรีโตเต็มวัยที่สวมชุดชาววังยิ้มเอ่ยกับโอสถทองเล็กๆ อย่างเหวยไท่เจินกลับมีแววของการประจบสอพลอ แล้วยังมีเจ้านครจักรพรรดิขาวแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางนั่นอีก…ดังนั้นเหวยไท่เจินจึงไม่ถึงขั้นหวาดกลัวห่านหลังทองที่ขอบเขตไม่สูงตัวหนึ่งนัก ก่อนที่นายหญิงจะปรากฎตัวที่ชายหาดโครงกระดูกก็ได้มอบสมบัติหนักด้านการโจมตีและการป้องกันให้กับเหวยไท่เจินอย่างละชิ้นแล้ว หากพูดตามคำกล่าวของนายหญิงก็คือ ขอแค่ใช้ได้อย่างเหมาะสม เหวยไท่เจินก็สามารถแลกเปลี่ยนชีวิตกับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างสบายๆ เพียงแต่ว่าปากของน้องชายนายหญิงนี่ก็ช่าง…พวกเซียนซือบนภูเขาอดทนรอคอยเฝ้าปรารถนาอย่างลำบากยากแสนมานานหลายปีหลายสิบปี หลี่ไหวที่เอ่ยถ้อยคำด้วยความเบื่อหน่ายง่ายๆ ประโยคเดียวกลับเรียกให้ห่านหลังทองตัวหนึ่งปรากฏตัวแล้ว?
เผยเฉียนสะดุ้งตื่นจากฝัน นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเร็วกว่าเหวยไท่เจินเสียอีก รีบสะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นหลัง ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ชำเลืองตามองห่านหลังทองที่พุ่งมาด้วยท่าทางดุดัน รีบบอกให้เทพธิดาเหวยพาหลี่ไหวจากไป บอกว่าพวกเรามายึดสถานที่ของคนอื่นเขา หากตีกันย่อมเป็นฝ่ายที่ไร้เหตุผล ควรต้องรีบย้ายถิ่นยกพื้นที่กลับคืนให้กับคนเขา
เหวยไท่เจินไม่กล้าละเมิดคำสั่งของเผยเฉียน รีบทะยานลมพาหลี่ไหวออกมาจากยอดเขาแสงทอง ส่วนเผยเฉียนนั้นก็ยิ่งรวดเร็วฉับไว ถอยหลังกรูดห่างไปหลายสิบจั้ง วิ่งตะบึงหันหน้าเข้าหาหน้าผา จากนั้นก็กระโดดตัวขึ้นสูง ทิ้งตัวดิ่งลงไปจากหน้าผา
เหวยไท่เจินก้มหน้ามองเงาร่างที่ร่วงดิ่งลงไปอย่างรวดเร็วนั้น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก ทั้งไม่ได้มีเรือนกายร่างทอง แล้วก็ยิ่งไม่ใช่ขอบเขตเดินทางไกล เผยเฉียนจะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ?
การกระโดดของเผยเฉียนครั้งนี้มีระยะทางไกลมากถึงห้าสิบหกสิบจั้ง มองปราดๆ ก็มีมาดของปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลอย่างยิ่ง
ระหว่างที่ร่างของเผยเฉียนกำลังจะกระแทกลงพื้น นางก็พลันเกิดโทสะที่ตัวเองทำอะไรไม่มีความชำนาญเสียเลย เพราะนางนึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์พ่อขึ้นมาได้ เรื่องสำคัญอันดับแรกในการท่องอยู่ในยุทธภพก็คือ ‘ก่อนถามหมัด ลดขอบเขตลงสองขอบเขต’ ดังนั้นตอนนี้นางจึงกำลังทำตัวน่าอับอาย ควรจะใช้ท่วงท่าของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ในการท่องยุทธภพอย่างระมัดระวัง จากนั้น ‘ภายใต้สถานการณ์อันตรายเร่งด่วน’ บางอย่าง อย่างมากสุดก็แค่ต้องเผยพิรุธของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าอย่างไม่ทันระวัง เมื่อเป็นเช่นนี้หากจำเป็นต้องถามหมัดกับคนอื่น ก็เท่ากับว่านางได้ยึดครองโอกาสได้เปรียบไปก่อนส่วนหนึ่ง
ดังนั้นเผยเฉียนจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะล้อมคอกเมื่อวัวหาย จากที่มีสีหน้านิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านก็จงใจทำให้ลมหายใจของตัวเองวุ่นวาย มือเท้าเปลี่ยนเป็นโบกสะเปะสะปะ เนื่องจากกังวลว่าหากเอาหลังลงจะทำให้หีบไม้ไผ่แตก สุดท้ายนางจึงได้แต่เอาหน้าลงพื้น ตรงตีนเขาของภูเขาแสงจันทร์จึงเกิดเป็นหลุมใหญ่ที่ฝุ่นตลบคละคลุ้งหลุมหนึ่ง
ส่งเสียงร้องโอ้ยๆๆ แล้วก็เริ่มกระโดดเหยงๆ วิ่งขากะเผลกจากไป
อันที่จริงระหว่างที่วิ่งเผยเฉียนยังรู้สึกละอายใจในฝีมือการแสดงที่อ่อนด้อยของตัวเอง หากอาจารย์พ่ออยู่ข้างกาย เกรงว่าตนคงได้กินมะเหงกเป็นแน่
หลี่ไหวหลับตาแน่น เหงื่อเย็นไหลมาตามสันหลัง ความรู้สึกยามขี่เมฆทะยานหมอกนี้ไม่ดีเลยจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!