กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 701

สรุปบท บทที่ 701.2 เหล้าใหม่รอคนเก่า: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 701.2 เหล้าใหม่รอคนเก่า – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 701.2 เหล้าใหม่รอคนเก่า ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ซิ่วไฉเฒ่าพลันลุกขึ้นยืน กระโดดเหยงแล้วถ่มน้ำลายไปด้านนอก “วิชาความรู้ทั่วร่างฟ้าดินขานรับ ชายแขนเสื้อสองข้างมีเพียงลมเย็นไร้สิ่งใดอื่น โหยวหนางดึงน้ำจากธารสวรรค์ ปากอมบัญชาฟ้าสร้างทะเลสาบใหญ่…ถุย!”

ความประทับใจที่ซิ่วไฉเฒ่ามีต่อคนที่เหมาเสี่ยวตงกับหลี่เป่าผิงพูดถึงก่อนหน้านี้นับว่ายังพอใช้ได้ เพียงแต่ว่าสำหรับปัญญาชนคนรุ่นหลังที่แต่งกวีมาประจบเอาใจคนผู้นี้ นั่นก็ต้องบอกว่านึกอยากจะเอาบทกวีมารวบรวมให้เป็นเล่มแล้วโยนเข้าไปยังศาลบุ๋นในท้องถิ่นแคว้นใดแคว้นหนึ่ง แล้วค่อยถามเจ้าคนที่ถูกอวยยศย้อนหลังให้เป็นเหวินเจินกงว่ารู้สึกอับอายบ้างหรือไม่ แต่ยามที่คนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นฝีมือด้านการสร้างสรรงานศิลปะหรือบทความเสนอแนวทางปรับปรุงแก้ไขการปกครองให้กับราชสำนักก็ล้วนไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

เหมาเสี่ยวตงตามองจมูก จมูกมองใจ นั่งนิ่งไม่ขยับ จิตใจสงบนิ่งดุจผืนน้ำ

ถึงอย่างไรไม่ว่าอาจารย์พูดอะไรทำอะไรก็ล้วนถูกต้องทั้งหมด

ซิ่วไฉเฒ่ากลับมานั่งที่เดิม เอ่ยว่า “แต่ว่าเหล้าล่านสูของทะเลสาบโหยวหนางรสชาติดีจริงๆ ราคานับว่ายุติธรรม ก็แค่กฎที่วิญญูชนกับนักปราชญ์ซื้อเหล้าลดครึ่งราคากลับไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร เป็นซิ่วไฉแล้วอย่างไร ซิ่วไฉไม่ใช่ยศอย่างหนึ่งหรอกหรือ”

เหมาเสี่ยวตงไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่เงี่ยหูตั้งใจฟังคำสั่งสอนของอาจารย์

ซิ่วไฉเฒ่ารออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินลูกศิษย์เป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องที่ศาลบุ๋นถกเถียงกันช่วงล่าสุดนี้เสียที เขารู้สึกเสียดายอยู่มาก เรื่องแบบนี้หากให้ตนเป็นคนเปิดประเด็นก็ออกจะน่าเบื่อเกินไปแล้ว

เหมาเสี่ยวตงเพียงแค่นั่งตัวตรงอยู่ฝั่งตรงข้าม รู้สึกจากใจจริงว่าอาจารย์ของตนไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กน้อย แต่กลับสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ไว้ทั่วหล้า

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “เมื่อหลายปีก่อนไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าในกำแพงเมืองปราณกระบี่กับจั่วโย่วและศิษย์น้องเล็กของเจ้า เฉินผิงอันบอกว่าเรื่องการสั่งสอนถ่ายทอดมรรคาของเจ้านั้น เหมือนข้ามากที่สุด แท้เข้มข้นและเป็นกลาง ยังบอกด้วยว่าเจ้าศึกษาหาความรู้อย่างระมัดระวัง สั่งสอนลูกศิษย์อย่างรอบคอบ”

เหมาเสี่ยวตงรีบลุกขึ้นยืน “ศิษย์ละอายใจนัก มิกล้ารับคำกล่าวนี้”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้าว่า “หากศิษย์สู้อาจารย์ไม่ได้ แล้วสั่งสอนลูกศิษย์ที่สู้ลูกศิษย์ไม่ได้อีก ในเรื่องของการถ่ายทอดมรรคาจะไม่กลายเป็นว่าต้องอาศัยปรมาจารย์มหาปราชญ์ให้ทุ่มเทลงมือทำเพียงคนเดียวหรอกหรือ? หากเจ้ารู้สึกละอายใจมิกล้ารับจากใจจริง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จะละอายใจมิกล้ารับไว้จริงๆ แล้ว การให้ความเคารพครูบาอาจารย์อย่างแท้จริง นั่นคือทำให้พวกลูกศิษย์ได้บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ โดดเด่นไม่เหมือนใครในด้านวิชาความรู้ นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าเคารพครูบาอาจารย์จริงๆ เหมาเสี่ยวตงในใจของข้า เมื่อพบข้าแล้วควรปฏิบัติตามหลักมารยาทของลูกศิษย์ แต่เมื่อปฏิบัติตามมารยาทเสร็จสิ้นแล้ว ก็ต้องกล้าพูดถึงความไม่เหมาะสมบางอย่างในด้านวิชาความรู้กับอาจารย์ เหมาเสี่ยวตง ศึกษาหาความรู้อย่างยากลำบากมาร้อยปี เคยมีจุดใดที่คิดว่ามีความรู้สูงกว่าอาจารย์ หรือสามารถช่วยตรวจสอบหาช่องโหว่ให้กับความรู้ของอาจารย์บ้างหรือไม่? ต่อให้มีแค่จุดเดียวก็ยังดี”

เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืนแล้วก็ไม่ได้นั่งลง ในใจเต็มไปด้วยความละอาย ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังไม่มี”

ซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่มีโทสะ กลับกันสีหน้ายิ่งเมตตาอ่อนโยน “รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ก็ไม่ถือว่าไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด พยายามให้มากขึ้นก็พอ”

ซิ่วไฉเฒ่าหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เพราะถึงอย่างไรความรู้ของอาจารย์เจ้าก็สูงอย่างมาก”

เหมาเสี่ยวตงที่ยืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกตัดสินใจไม่ถูก ทั้งอยากนั่งลง หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการยืนค้ำหัวอาจารย์ ไม่สอดคล้องกับมารยาท แต่ก็อยากยืนกุมมืออยู่อย่างนี้เพื่อรับฟังคำถ่ายทอดของอาจารย์ เหมาะสมกับพิธีการ

ซิ่วไฉเฒ่าเงยหน้ามองเหมาเสี่ยวตง ยิ้มกล่าว “ยังไม่ฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดอีกหรือ แบบนี้ไม่ค่อยประเสริฐเท่าไรแล้ว ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ ด้วยนิสัยและความรู้ของเจ้าเหมาเสี่ยวตง ควรจะฝ่าขอบเขตตั้งนานแล้วถึงจะถูก”

เหมาเสี่ยวตงรู้สึกละอายใจอีกครั้ง

ซิ่วไฉเฒ่าถามว่า “สามรากฐานของมารยาทพิธีการคือสิ่งใด?”

เหมาเสี่ยวตงกำลังจะตอบ

ซิ่วไฉเฒ่ากลับชี้นิ้วไปที่หัวใจ “ถามเองตอบเอง”

เหมาเสี่ยวตงที่เรือนกายสูงใหญ่ยืนเหม่อลอยอยู่ในศาลา

ซิ่วไฉเฒ่าพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ศาลาเหมือนที่พักผ่อนของใจคน วิถีทางโลกบางอย่างก็เหมือนลมหิมะนี้ หอบเอาตำราอริยะปราชญ์หลายเล่มไว้ในอ้อมอก รู้หลักการเหตุผลแล้ว ยามเดินออกไปจากศาลาก็จะไม่หนาวแล้วอย่างนั้นหรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าก็ถามเองตอบเองเช่นกัน “ข้ากลับรู้สึกว่าช่วยให้หายหนาวได้หลายส่วน สามารถทำให้คนเดินไปบนเส้นทางลมพายุได้อีกหลายก้าว”

เหมาเสี่ยวตงมองหิมะใหญ่นอกศาลา หลุดปากเอ่ยไปว่า “วิญญูชนเล่าเรียนเพื่อให้ตนมีความประพฤติและคุณธรรมอันดีงาม มารยาทและพิธีการคือบรรทัดฐานแห่งพฤติกรรมที่คนควรปฏิบัติตาม ปากเอ่ยมารยาทพิธีการ ตัวปฏิบัติตามมารยาทพิธีการ เรียนรู้ถึงแก่นแล้วจงลงมือปฏิบัติ อย่าได้หยุดเพียงการเรียนรู้ นี่คือจุดสูงสุดแห่งการฝึกอบรมบ่มเพาะตนของวิญญูชน”

ซิ่วไฉเฒ่าตบเข่าฉาด “ประเสริฐ!”

จากนั้นลมหิมะนอกศาลาก็หยุดนิ่ง

เหมาเสี่ยวตงนั่งลงช้าๆ ยามที่หิมะหยุดตก เขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ตัวอักษรคำโคลงคู่นอกศาลายังส่องประกายแสงวับวาม หิมะใหญ่ถึงได้ตกลงมาบนโลกมนุษย์ต่ออีกครั้ง

ซิ่วไฉเฒ่าพลันถามว่า “นอกศาลา เจ้าใช้จิตใจที่เร่าร้อนออกเดินทางไกล ข้างทางยังมีคนที่มือเท้าแข็งหนาวจนตัวสั่นมากมายขนาดนั้น เจ้าควรทำอย่างไร? คนเหล่านี้อาจไม่เคยอ่านตำรามาก่อน ยามถึงเหมันต์ที่หนาวเหน็บ แต่ละคนสวมเสื้อเนื้อบาง แล้วจะเอาตำราจากไหนมาอ่าน? อาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่งที่ไม่ต้องกลัดกลุ้มกับอากาศหนาวร้อน มัวมาพร่ำพูดอยู่ข้างหูคนอื่นจะไม่ทำให้คนรังเกียจเอาหรอกหรือ?”

เหมาเสี่ยวตงจมสู่ภวังค์ความคิด ถึงขั้นที่ว่าไม่รู้ตัวสักนิดว่าอาจารย์ของตนจากไปอย่างเงียบเชียบแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่ามาปรากฏตัวอยู่ข้างกายผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาแล้วหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ว่ายังไง?”

ผู้อำนวยการใหญ่เอ่ย “นับแต่นี้ไป ชุยฉานเคยกล่าวไว้ในจดหมาย ขอแค่เหมาเสี่ยวตงฝ่าทะลุขอบเขตเมื่อไหร่ก็เปลี่ยนให้เขาชุยฉานมาเป็นเจ้าขุนเขาคนใหม่ของสำนักศึกษาซานหยาทันที”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “อย่าลืมทำให้สำนักศึกษาซานหยากลับสู่อันดับเจ็ดสิบสองสำนักด้วยเล่า”

ฝ่ายหลังประสานมือคารวะน้อมรับคำสั่ง

ซิ่วไฉเฒ่าพลันเอ่ยว่า “ขอยืมคำว่า ‘ภูเขา’ จากเจ้าหน่อย หากเจ้าจะปฏิเสธก็สมเหตุสมผลดีแล้ว ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่ ข้าไม่ได้เจอหน้าอาจารย์ของเจ้ามานานมากแล้ว…”

เดิมทีผู้อำนวยการใหญ่ยังลังเลอยู่บ้าง พอได้ยินมาถึงตรงนี้ก็ตอบตกลงอย่างเด็ดขาดทันที

ซิ่วไฉเฒ่าตบไหล่ของอีกฝ่าย เอ่ยชื่นชมว่า “เรื่องเล็กไม่เลอะเลือน เรื่องใหญ่ยิ่งเด็ดขาด อาจารย์หลี่เซิ่งรับลูกศิษย์แค่ด้อยกว่าข้าเล็กน้อยเท่านั้นเอง”

ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาท่านหนึ่งถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ขอวิชาความรู้จากเหวินเซิ่ง กับพูดคุยสัพเพเหระกับซิ่วไฉเฒ่า นั่นคือฟ้ากับดินโดยแท้

พวกหลี่เป่าผิงเพิ่งจะเดินออกมาจากประตูใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้

หลี่เป่าผิงก็พลันยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง”

ซิ่วไฉเฒ่าที่เผยกายให้เฉพาะพวกเขาเห็นโบกมือบอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าไม่ต้องทักทายตน หลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นตกอกตกใจกันไปด้วย แต่สามารถพูดคุยกันได้ปกติไม่ต้องปิดบัง

จ้งชิว เฉาฉิงหล่างและเตี๋ยจ้างจึงไม่ได้คารวะทักทาย เฉาฉิงหล่างเพียงแค่เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์ปู่ ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน

ซิ่วไฉเฒ่าเดินทางไปทะเลสาบโหยวหนางกับพวกเขา ตลอดทางไม่มีใครสังเกตเห็น

พวกหลี่เป่าผิงเดินย่ำอยู่ในหิมะส่งเสียงกรอบแกรบ

มีเพียงซิ่วไฉเฒ่าที่ยามเดินร่างล่องลอยไร้รอยเท้า

เฉินหน่วนซู่หิ้วถังน้ำไปที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่อีกครั้งเพื่อช่วยเก็บกวาดห้องให้กับนายท่านที่ออกเดินทางไกลยังไม่กลับคืนมา

โต๊ะหนังสือไม่เคยมีฝุ่นเกาะ เช็ดแท่นฝนหมึก กระบอกใส่พู่กัน ที่ทับกระดาษ ฯลฯ ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างละเอียดไปรอบหนึ่งแล้ว เฉินหน่วนซู่ก็ชำเลืองตามองหนังสือปึกหนึ่งที่วางทับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ นางเม้มปาก ยื่นสองมือออกไปมองดูคล้ายจะจัดหนังสือให้เป็นระเบียบ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้กองหนังสือเอียงกว่าเดิม

รอกระทั่งเฉินหน่วนซู่เดินก้าวธรณีประตูออกมา ปิดประตูลงเบาๆ สองตาของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็มีแต่รอยยิ้มแล้ว

กระทั่งเฉินหน่วนซู่ไปที่ชั้นสอง บนพื้นในห้องชั้นหนึ่งก็มีคนจิ๋วดอกบัวกระโดดผลุงออกมาทันที มันป่ายปีนขาโต๊ะข้างหนึ่งขึ้นมาบนโต๊ะแล้วเริ่มวิ่งกลับไปกลับมาสำรวจโต๊ะหนังสือ พบว่าที่ทับกระดาษบนโต๊ะเอียงเล็กน้อย เมื่อวานข้าวของบนชั้นมากสมบัติไม่ได้วางให้เป็นระเบียบ วันนี้หนังสือกลับเอียงโดยไม่ทันระวังอีก เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคิก จากนั้นก็รีบปิดปากตัวเอง เบามือเบาเท้าเดินไปอยู่ข้างหนังสือ เดี๋ยวก็เขย่งเท้าเดี๋ยวก็ฟุบตัวคว่ำอยู่บนพื้น ช่วยพี่หญิงหน่วนซู่จัดวางกองหนังสือให้ดี คนจิ๋วดอกบัวยังคงไม่วางใจ วิ่งวนรอบภูเขาหนังสือนี้อีกหนึ่งรอบ พอมั่นใจว่าไม่เอียงแม้แต่น้อยแล้ว มันถึงได้นั่งลงบนโต๊ะด้วยความพึงพอใจ โชคดีที่วันนี้ตนได้ช่วยเหลือพี่หญิงหน่วนซู่เล็กๆ น้อยๆ อีกแล้ว

สุดท้ายคนจิ๋วดอกบัวมานั่งอยู่ริมโต๊ะ แกว่งสองขาเบาๆ มันอยากพบเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นอีกครั้ง จะได้ถามอีกฝ่ายว่าตนสามารถเป็นฝ่ายทักทายพี่หญิงหน่วนซู่กับพี่หญิงหมี่ลี่ด้วยตัวเองได้หรือไม่ จะไม่รบกวนพวกนาง ผ่านไปหลายวันหน่อยค่อยทักทายสักทีหนึ่ง หรือไม่ก็สิบวัน หรือจะทักทายเดือนละครั้งก็ยังได้ แต่เขาไม่ได้มานานแล้ว อาจารย์ของเด็กหนุ่มก็ยิ่งไม่ได้กลับบ้านมานานยิ่งกว่า

ดังนั้นเจ้าตัวน้อยที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงลุกขึ้นวิ่งไปที่กระบอกเก็บพู่กัน ใช้แขนเล็กๆ ที่เหลือเพียงข้างเดียวเช็ดผนังของกระบอก

นอกเรือนไม้ไผ่ วันนี้มีคนสามคนกลับจากตรอกฉีหลงมาบนภูเขา สหายนักพรตฉางมิ่งไปเป็นแขกที่ห้องบัญชีของเหวยเหวินหลง ส่วนจางเจียเจินกับเจี่ยงชวี่มาที่เรือนไม้ไผ่แห่งนี้ด้วยกัน ทุกวันนี้พวกเขาได้ย้ายออกมาจากแท่นบูชากระบี่แล้ว มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ชุยเหวยที่ยังคงฝึกตนอยู่ที่นั่น

ทุกวันนี้ตรอกฉีหลงครึกครื้นกว่าเดิมมาก นอกจากร้านฉ่าวโถวที่มีอาจารย์และศิษย์สามคนอย่างพวกเจี่ยเฉิงรับหน้าที่คอยดูแลแล้ว สือโหรวเถ้าแก่ร้านยาสุ้ยที่อยู่ติดกันก็มี ‘แม่ทัพใหญ่สองนาย’ อย่างจางเจียเจินและเจี่ยงชวี่ไปช่วย บวกกับสตรีอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าฉางมิ่งที่มักจะไปช่วยงานทั้งสองร้านเป็นประจำ

ไม่รู้ว่าเหตุใด จางเจียเจินกับเจี่ยงชวี่ต่างก็ยำเกรงสตรีที่ชอบแย้มยิ้มผู้นั้นมาก ไม่รู้ว่านางไปเอาเงินมาจากไหนถึงสามารถซื้อเรือนสองหลังที่ตั้งอยู่เหนือขั้นบันไดของตรอกฉีหลงไปเล็กน้อยมาได้ในรวดเดียว

ทุกครั้งที่เจี่ยงชวี่ขึ้นเขาจะชอบมามองดูผนังด้านนอกของเรือนไม้ไผ่

จางเจียเจินมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ทว่าเจี่ยงชวี่บอกว่าบนนั้นเขียนตัวอักษรและวาดอักขระยันต์เอาไว้มากมาย

วันนี้เจี่ยงชวี่ยังคงมายืนมองตัวอักษรและอักขระยันต์อยู่เหมือนเดิม

ส่วนจางเจียเจินไปนั่งแทะเมล็ดแตงกับเซียนกระบี่หมี่ข้างโต๊ะหิน

หมี่อวี้ยิ้มถาม “อิจฉาเจี่ยงชวี่หรือไม่?”

จางเจียเจินพยักหน้ารับ “อิจฉา”

เจี่ยงชวี่ฉลาดและร่าเริงกว่าตนเยอะมาก อยู่ที่ตรอกฉีหลงก็ปรับตัวได้เป็นอย่างดี มักจะชอบออกไปข้างนอกเพียงลำพัง ทุกครั้งที่กลับมาร้านจะได้ของหลากหลายอย่างติดมือกลับมา จางเจียเจินกลับทำไม่ได้ ได้แต่ทำงานที่เถ้าแก่สือโหรวมอบหมายให้เขาอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ไปเท่านั้น

หมี่อวี้ตอบรับอย่างไม่คิดมาก “ไม่มีอะไรให้ต้องอิจฉา ต่างคนต่างชะตา”

จางเจียเจินเอ่ย “อาจารย์เฉินเคยบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน ทั้งฝึกกระบี่แล้วก็ฝึกวรยุทธด้วย”

หมี่อวี้บังเกิดความสนใจทันใด “อัดอั้นมากหรือ? ยังคงไม่เชื่อในสายตาของใต้เท้าอิ่นกวานใช่ไหม?”

จางเจียเจินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เชื่อมากๆ แล้วก็ไม่อัดอั้น ดังนั้นข้าจึงคิดว่าวันหน้าหากมีโอกาสจะขอเรียนวิชาคำนวณมาจากอาจารย์เหวย ให้ตัวเองได้มีความสามารถติดตัวบ้าง แต่ต่อให้เรียนรู้วิชาคำนวณอย่างตื้นเขิน คิดบัญชีเป็นแล้ว คาดว่าข้าเองก็คงทำได้แต่เรื่องที่ตายตัวเท่านั้น พยายามจะเป็นนักบัญชีอยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ได้แต่คบค้ากับเหรียญทองแดงและเงินทอง ชั่วชีวิตนี้อาจไม่เคยได้เห็นเงินเทพเซียน แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ว่างไปวันๆ ไม่มีอะไรทำ ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร”

หมี่อวี้ไม่เห็นด้วย คบค้าสมาคมกับสตรีเป็นสิ่งที่เขาถนัด แต่หากจะให้มาพูดคุยเรื่องในใจกับเด็กๆ หมี่อวี้ไม่เชี่ยวชาญจริงๆ แล้วก็ไม่สนใจด้วย เพราะถึงอย่างไรตนก็ไม่ใช่ใต้เท้าอิ่นกวาน

จางเจียเจินเองก็ไม่กล้ารบกวนการฝึกตนของเซียนกระบี่หมี่ จึงขอตัวจากไป คิดว่าจะไปที่บริเวณใกล้เคียงกับศาลเทพภูเขาบนยอดเขา ไปดูทัศนียภาพของขุนเขาสายน้ำรอบด้าน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!