กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 701

ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สถานศึกษาหลี่จี้

ท่ามกลางหิมะใหญ่อันหนาวเหน็บ ฉวยโอกาสที่อาจารย์และปัญญาชนของสถานศึกษากำลังถกปัญหาสร้างวิชาความรู้ เหมาเสี่ยวตงจึงมานั่งชมหิมะอยู่ในศาลาเพียงลำพัง เขาถูมือเข้าด้วยกันเบาๆ ท่องบทร้อยแก้วผลงานชิ้นเล็กซึ่งเป็นที่ติดปากของผู้คนไปด้วย เมฆานภากาศขุนเขาสายน้ำก่อกั้นด้วยขาว ชาวประมงนักร่ำสุราเรือจอดเทียบท่าดั่งจุดเล็กจ้อย

ตอนนี้อารมณ์ของเหมาเสี่ยวตงไม่ได้ผ่อนคลายนัก เพราะเรื่องที่สำนักศึกษาซานหยาจะได้หวนกลับมาเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักอีกครั้งกลับถูกถ่วงเวลามานานหลายปีขนาดนี้ ทุกวันนี้ขนาดการขุดเจาะลำน้ำใหญ่และการสร้างเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีในแจกันสมบัติทวีปต่างก็ดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว จึงดูเหมือนว่าเขาเหมาเสี่ยวตงคือคนที่อืดอาดชักช้าที่สุด หากไม่เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างตนกับซิ่วหู่แห่งต้าหลีย่ำแย่เกินไป อีกทั้งเขายังไม่ยินดีจะมีการไปมาหาสู่ใดๆ กับชุยฉาน ไม่อย่างนั้นป่านนี้เหมาเสี่ยวตงก็คงเขียนจดหมายส่งไปให้ชุยฉาน บอกว่าความสามารถน้อยนิดแค่นี้ของตน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวแล้ว เจ้ารีบเปลี่ยนคนที่มีความสามารถมาควบคุมงานใหญ่ที่นี่โดยด่วน ขอแค่ให้สำนักศึกษาซานหยาได้กลับสู่ระบบสืบทอดดั้งเดิมของศาลบุ๋น ข้าก็จะเห็นแก่น้ำใจของเจ้าแล้วกัน

เพียงแต่เหมาเสี่ยวตงเองก็รู้ดีว่า ไม่ว่าจะเขียนจดหมายหรือไม่ ล้วนไม่มีความหมายอะไร เจ้าตะพาบชุยฉานผู้นั้นไม่ใช่คนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนเลย ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ล้วนมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์อย่างเดียวเท่านั้น ในเมื่อชุยฉานเลือกให้ตนเป็นคนนำขบวนพาทุกคนออกเดินทางไกล หลังจากนั้นกลับไม่เคยถามไถ่อะไรอีก ก็น่าจะเป็นเพราะว่าชุยฉานมีแผนการเป็นของตัวเองตั้งแต่แรกแล้ว

ชุยฉานสามารถรอได้ แต่เหมาเสี่ยวตงกลับร้อนใจจนควันแทบจะผุดออกจากลำคออยู่แล้ว

ใบถงทวีปเละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งไปแล้ว ทางฝ่ายสถานศึกษาหลี่จี้แห่งนี้ยังมีรายงานข่าวส่งมาทุกวัน เมื่อเทียบกับสงครามเลียบมหาสมุทรระหว่างฝูเหยาทวีปกับกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่ต่างฝ่ายต่างมีแพ้มีชนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของฝูเหยาทวีปทั้งหลายยังพยายามเลือกสนามรบไว้ที่นอกมหาสมุทร หลีกเลี่ยงไม่ให้เวทคาถาชนิดต่างๆ ที่ใช้เข่นฆ่ากับเผ่าปีศาจไปโดนกองกำลังของราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ บนบกโดยไม่ทันระวัง นอกจากผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่มีความกล้าหาญนี้แล้ว ยังเกี่ยวพันกับการที่ฉีถิงจี้ เสินโจวจือและยังมีผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งของฝูเหยาทวีปร่วมมือกันลอบโจมตีเผ่าปีศาจอย่างกะทันหันครั้งหนึ่งอย่างมาก

หันกลับไปมองใบถงทวีปที่ตั้งแต่แรกเริ่มก็เลือกที่จะใช้วิธีเฝ้าพิทักษ์ทวีป สถานการณ์ทางการรบก็เรียกได้ว่าเละเทะไม่เป็นท่า นับตั้งแต่ตระกูลเซียนบนภูเขาไปจนถึงราชวงศ์โลกมนุษย์ ไม่ว่าแห่งหนใดเพียงแตะไปโดนก็พังทลาย ทุกวันนี้ได้แต่อาศัยสถานศึกษาใหญ่สามแห่งกับตระกูลเซียนอักษรจงทั้งหลายประคับประคองสถานการณ์ไว้อย่างยากลำบาก สำนักกุยหยกนั้นบอกได้แค่ว่าสถานการณ์การเฝ้าพิทักษ์มั่นคง สำนักใบถงกับสำนักฝูจีมีแววว่าจะเกิดความวุ่นวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักฝูจีที่อยู่ติดทะเล อาณาเขตเริ่มหดเล็กเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีเพียงภูเขาไท่ผิงเท่านั้นที่ทำให้คนต้องมองเสียใหม่ ภายใต้การปกป้องของค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำที่ได้ทั้งพิทักษ์และป้องกันแห่งนั้น กลับมีผู้ฝึกตนถึงหนึ่งพันคนจับมือกันออกจากสำนักมาเข่นฆ่า สร้างวีรกรรมใหญ่ที่ได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาล เทียนจวินผู้เฒ่าแห่งภูเขาไท่ผิงที่เดิมทีขอบเขตถดถอยไปแล้วขั้นหนึ่ง ภายใต้การปลุกเสกเต็มกำลังให้กับค่ายกลใหญ่ซานหยวนซื่อเซี่ยงกับค่ายกลใหญ่บ้านตัวเอง กายธรรมอันยิ่งใหญ่โอฬารถือกระจกใหญ่ประหนึ่งเซียนเหรินประคองจันทราไว้ในมือ แสงพิสุทธิ์สาดกระจายไปสี่ทิศ ทุกที่ที่แสงจันทร์ส่องไปถึง ผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงรุกและถอยได้ดั่งใจปรารถนา สังหารศัตรูได้อย่างง่ายดายดุจบดขยี้มด…

เหมาเสี่ยวตงอยากจะโยนตำแหน่งเจ้าขุนเขานี่ทิ้งแล้วดิ่งไปเฝ้าพิทักษ์ที่นครมังกรเฒ่าเต็มทีแล้ว แทนที่จะให้เบิกตามองดูสถานการณ์อยู่เฉยๆ ที่นี่ทุกวันก็ไม่สู้ให้เขาไปทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันยังดีกว่า

เหมาเสี่ยวตงพาลูกศิษย์ของสำนักศึกษากลุ่มใหญ่เดินทางไกลข้ามทวีปมาถึงที่นี่ เขาที่เป็นเจ้าขุนเขาทั้งต้องปกป้องพวกลูกศิษย์ให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แล้วก็พยายามที่จะไม่ขัดแย้งกับปัญญาชนของสถานศึกษา แล้วยังต้องพยายามทวงคืนยศหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษามาจากศาลบุ๋นด้วย ดังนั้นหลายปีมานี้เหมาเสี่ยวตงจึงไม่ได้สุขสบายนัก ประเด็นสำคัญคือซิ่วหู่ต้าหลีไม่ได้บอกวิธีที่จะทำให้เรื่องสำเร็จแก่เหมาเสี่ยวตง และพอมาถึงสถานศึกษาหลี่จี้แล้ว ผู้อำนวยการใหญ่ก็ไม่ได้บอกกับเหมาเสี่ยวตงว่าทำอย่างไรถึงจะถือว่าผ่านการทดสอบ ได้แต่บอกให้เหมาเสี่ยวตงรอฟังข่าว เหมาเสี่ยวตงจึงได้แต่ให้เมล็ดพันธ์บัณฑิตสามสิบกว่าคนที่มีหลี่เป่าผิงเป็นหนึ่งในนั้นสงบใจศึกษาเล่าเรียนให้ดี

อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง เพราะจะสามารถเลื่อนเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาได้หรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความรู้สูงต่ำตื้นลึกของเจ้าขุนเขา

เมื่อก่อนตอนที่ศิษย์พี่ฉีจิ้งชุนยังมีชีวิตอยู่ สำนักศึกษาซานหยาเคยได้รับเกียรตินี้ เหมาเสี่ยวตงไม่รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อย รอกระทั่งเขากลายมาเป็นประมุขด้วยตัวเองกลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเป็นทบทวี เจ้าขุนเขาอย่างตนพึ่งไม่ได้ ตามหลักแล้วก็ได้แต่พึ่งลูกศิษย์เท่านั้น ทว่าในเรื่องของทรัพยากรนักเรียนนั้น ไม่ว่าจะเป็นสำนักศึกษาซานหยาในเมืองหลวงต้าหลีหรือสำนักศึกษาซานหยาหลังจากย้ายไปต้าสุยแล้ว อันที่จริงก็ล้วนไม่อาจเอาชนะสำนักศึกษากวานหูได้ ก่อนจะย้ายไป ทั้งสำนักศึกษาซานหยาและสำนักศึกษากวานหูต่างก็ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา ทว่าเมล็ดพันธ์บัณฑิตระดับหัวกะทิของแจกันสมบัติทวีปกลับยังคงชอบไปเสี่ยงโชคที่สำนักศึกษากวานหูก่อนอยู่ดี หากสอบไม่ผ่านถึงจะเลื่อนมาเลือกในลำดับรอง นั่นคือไปที่สำนักศึกษาซานหยาต้าหลีในเวลานั้น อันที่จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่รองเจ้าขุนเขาหลายคนอย่างพวกเหมาเสี่ยวตงและอดีตฮ่องเต้ของต้าหลีต่างก็รู้สึกไม่พอใจนัก มีเพียงศิษย์พี่ที่นิ่งเฉยปล่อยเลยตามเลยเสมอมา ไม่ว่าในสำนักศึกษาจะมีลูกศิษย์หรือปัญญาชนแบบใดมาขอความรู้ ก็แค่ให้พวกอาจารย์ทั้งหลายตั้งใจสั่งสอนอบรมไปเป็นพอ

แต่ตอนที่ฉีจิ้งชุนเป็นเจ้าขุนเขา เรื่องบางอย่างในสำนักศึกษาซานหยาที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงเลยก็คือ ทุกปีจะต้องเลือกลูกหลานตระกูลยากจนจากอำเภอและเขตปกครองของท้องถิ่นมากลุ่มหนึ่ง ต่อให้พื้นฐานความรู้ของคนเหล่านี้จะย่ำแย่มาก สำนักศึกษาก็ยังจะรับไว้ทุกปี ฉีจิ้งชุนจะเป็นคนถ่ายทอดความรู้ให้พวกเขาด้วยตัวเอง ดังนั้นพวกเมล็ดพันธ์บัณฑิตชั้นยอดที่มีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียว มีชาติกำเนิดดีเยี่ยมมากมายของแจกันสมบัติทวีปจึงไม่ค่อยยินดีมาศึกษาต่อที่สำนักศึกษาซานหยา แล้วก็ไม่ยินดีที่จะเป็นเพื่อนร่วมสำนักร่วมชั้นเรียนกับลูกหลานคนยากจนเหล่านี้

เหมาเสี่ยวตงจำได้อย่างชัดเจนว่า อดีตฮ่องเต้ต้าหลีเคยมาเยือนสำนักศึกษาแล้วได้บอกเตือนศิษย์พี่อย่างลับๆ แสดงท่าทีให้รู้ว่าเมืองหลวงต้าหลียินดีรับปัญญาชนยากจนกลุ่มนี้ รับรองว่าจะไม่ถ่วงรั้งเวลาของเหล่าบัณฑิตหรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรมเด็ดขาด ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น วงการขุนนางต้าหลียังจะบุกเบิกเส้นทางที่ราบรื่นให้แก่พวกเขาโดยเฉพาะ อาจารย์ฉีและสำนักศึกษาก็จะไม่ต้องเหนื่อยใจอีกแล้วไม่ใช่หรือ? ด้วยวิชาความรู้ของอาจารย์ฉีนั้นสามารถคัดเลือกเอาเมล็ดพันธ์ที่ดีที่สุดของสำนักศึกษามาได้เลย

ศิษย์พี่ยิ้มเอ่ยไปตามตรงว่า ต่อให้สกุลซ่งต้าหลีคิดจะลืมกำพืดตัวเอง แต่นี่ก็ออกจะเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่

เรื่องนี้จึงจบลงอย่างค้างคาเช่นนี้

ดังนั้นก่อนที่จะไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู เจ้าขุนเขาฉีจิ้งชุนจึงไม่มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอะไร เขาสอนทั้งลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงที่รากฐานความรู้ค่อนข้างลึกล้ำ กระทั่งลูกหลานคนยากจนจากหมู่บ้านชนบทก็สอนด้วยตัวเองเช่นกัน

อันที่จริงสถานศึกษาหลี่จี้แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่แปลกใหม่สำหรับเหมาเสี่ยวตง เขาเคยเดินทางมาทัศนศึกษาที่นี่พร้อมกับศิษย์พี่สองคนอย่างจั่วโย่วและฉีจิ้งชุน ผลคือศิษย์พี่สองคนไม่ได้อยู่นานนัก แต่ทิ้งเขาไว้ที่นี่คนเดียว ไม่บอกไม่กล่าวก็พากันจากไป ทิ้งจดหมายไว้แค่ฉบับเดียว ศิษย์พี่ฉีเขียนบอกไว้ในจดหมายด้วยถ้อยคำที่ศิษย์พี่สมควรพูด แนะนำแนวทางการขอศึกษาต่อของเหมาเสี่ยวตง ควรจะขอวิชาความรู้จากใคร ควรจะทุ่มเทตั้งใจกับตำราของอริยะปราชญ์เล่มใด สรุปก็คือปลอบประโลมจิตใจคนได้ดีเยี่ยม

แต่ศิษย์พี่จั่วกลับเขียนไว้ช่วงท้ายจดหมายบอกให้เขาเหมาเสี่ยวตงวางใจได้ หากถูกคนรังแกก็มาบอกศิษย์พี่ จำไว้ว่าอย่าไปรบกวนอาจารย์ เพราะศิษย์พี่ว่างมาก อาจารย์ยุ่งมาก

นี่จะทำให้เหมาเสี่ยวตงวางใจได้อย่างไร? นอกจากจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความรู้ของอาจารย์แล้ว เหมาเสี่ยวตงหรือจะกล้าไปร้องทุกข์ฟ้องจั่วโย่วตามแต่ใจ ทุกครั้งศิษย์พี่จั่วไม่ลงมือก็แล้วไปเถิด แต่มีครั้งไหนบ้างที่ลงมือแล้วไม่ต้องให้อาจารย์ออกหน้าเก็บกวาดเรื่องเละเทะด้วยตัวเอง นอกจากนี้สายของหลี่เซิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาก็มีมิตรภาพอันดีกับอาจารย์บ้านตนมาโดยตลอด ดังนั้นปีนั้นเหมาเสี่ยวตงจึงได้แต่แข็งใจทำใจให้สบายแล้วศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่นี่นานหลายปี

เหมาเสี่ยวตงเดินออกมาจากศาลา มายืนมองกลอนคู่อยู่ล่างขั้นบันได

เรื่องราวต้องประสบพบกับตนเอง บทความถ้อยคำจึงลึกซึ้ง

อักษรผสานรวมกับใจ จึงสัมผัสรสชาติในตำรา

เหมาเสี่ยวตงหันหน้ากลับไปมองก็เห็นหลี่เป่าผิงที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงถือไม้เท้าเดินป่า

รอกระทั่งหลี่เป่าผิงเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย เหมาเสี่ยวตงถึงได้พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “โดดเรียนอีกแล้วหรือ?”

หลี่เป่าผิงพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้าอีกครั้ง “บอกกับอาจารย์ไว้ก่อนแล้วว่าจะไปชมหิมะที่ทะเลสาบโหยวหนางกับพวกอาจารย์จ้งและพี่หญิงเตี๋ยจ้าง”

ตอนนั้นหลังจากที่จ้งชิวและเฉาฉิงหล่างออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็แยกทางกับชุยตงซาน เผยเฉียน ฝ่ายหลังหวนกลับแจกันสมบัติทวีป แต่พวกเขากลับเดินทางไปเยือนสกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป แล้วถึงมาเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สะพายหีบหนังสือออกทัศนาจร จากไปทีก็นานหลายปี สุดท้ายก็มาเยือนสถานศึกษาหลี่จี้ ได้ยินว่าเจ้าขุนเขาเหมากับหลี่เป่าผิงก็มาขอศึกษาที่สถานศึกษาพอดี จึงหยุดอยู่ที่นี่

ในช่วงเวลาระหว่างนี้เฉินซานชิวกับเตี๋ยจ้างก็มาถึงสถานศึกษาหลี่จี้พอดี เฉินซานชิวได้กลายเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสถานศึกษาแล้ว แต่เตี๋ยจ้างกลับต้องการรอคอยใครบางคน ไม่บังเอิญเลยที่สหายซึ่งเตี๋ยจ้างตามหาคนนั้น ว่ากันว่าได้ติดตามอริยะไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้าแล้ว

เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “ทะเลสาบโหยวหนางแห่งนั้นมีอะไรให้น่าไปกัน ต้องเรียกว่าทะเลสาบก้นม้า (มาจากประโยค 拍马屁 ตบก้นม้าที่เปรียบเปรยถึงการประจบสอพลอ) ต่างหาก สร้างบทประพันธ์ยิ่งใหญ่อะไรกัน”

จากนั้นเหมาเสี่ยวตงก็เอ่ยเสียงเบาว่า “เป่าผิง คำพูดกันเองที่มาจากความเห็นส่วนตัวพวกนี้ ข้าแค่พูดกับเจ้าเท่านั้น เจ้าฟังแล้วก็ลืมไปเถอะ อย่าเอาไปพูดให้คนอื่นฟัง”

หลี่เป่าผิงกล่าว “ข้าไม่มีทางตัดสินบทประพันธ์ของคนอื่นว่าสูงหรือต่ำ ตัดสินว่าคนอื่นดีหรือเลวง่ายๆ ต่อให้จะต้องพูดถึงคนผู้นั้นจริงๆ ก็จะถือเสียว่าพูดถึงคนไปพร้อมกับจุดประสงค์ของความรู้ที่ต้องเลื่อมใสความเที่ยงตรงละทิ้งความงดงามแต่เปลือกด้วยเลย ข้าไม่มีทางดึงเอาแต่ประโยค ‘โหยวหนางรับน้ำมาจากธารสวรรค์ เติมเต็มถ้วยอายุยืนยาวหมื่นปี’ มาโต้เถียงกับคนอื่นไม่เลิกรา คำว่า ‘ตำราบันทึกเรื่องราวพันปี’ ‘น้ำใสไหลคดเคี้ยว’ ล้วนดีมาก”

เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ายิ้มรับ “ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหาความรู้หรืออยู่ร่วมกับคนอื่นล้วนต้องมีใจเป็นกลางเช่นนี้”

หลี่เป่าผิงลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “อาจารย์เหมาไม่ต้องกลัดกลุ้มมากเกินไป”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!