หลังจากที่อ๋องเจ้าเมืองผู้นั้นขอตัวจากไป ยามที่เขาก้าวข้ามธรณีประตู รอยยิ้มยามที่หันกลับมามองนั้น อย่าว่าแต่เป็นพี่สาวฮองเฮาที่ถูกเขาจ้องเขม็งเลย ต่อให้เป็นเหยาหลิ่งจือเห็นแล้วก็ยังรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ
เหยาจิ้นจือเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มซีดเซียว “ข้าไม่เป็นไร”
ในใจของเหยาหลิ่งจือเจ็บแค้น หากแบบนี้ยังไม่เป็นอะไรอีก แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็น?
ทุกวันนี้ทั้งในและนอกพระราชวัง บนและล่างราชสำนัก นับตั้งแต่ราชสำนักไปจนถึงยุทธภพแล้วจึงไปถึงสนามรบ มีที่ไหนบ้างที่ไม่วุ่นวายเละเทะ
เจ้าตะพาบที่สวมชุดคลุมมังกรนั่งบนบัลลังก์มังกรผู้นั้นถึงขั้นทิ้งพี่สาวเอาไว้คนเดียว ส่วนตัวเขาแอบหนีไป ประเด็นสำคัญคือเขายังเอาตัวเซียนซือผู้ถวายงานโอสถทองกลุ่มใหญ่ไปหลบภัยที่ใต้หล้าแห่งที่ห้าพร้อมกันด้วย
เรื่องที่ทำให้พี่สาวเสียใจมากที่สุดก็คือเหตุผลเหลวไหลที่ฮ่องเต้ไม่พาพี่สาวไปด้วยกลับเป็นว่า ที่กองโหราศาสตร์มีคนยืนยันว่าพี่สาวคือหญิงงามที่สร้างหายนะ เอามาไว้ข้างกายมีแต่จะเจอเคราะห์ภัยนับไม่ถ้วน
ฮองเฮาสาวแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนผู้นี้ประคองเตาพกไว้ในมือ แม้มือจะร้อนแต่ใจกลับหนาวเหน็บ
จำได้ว่าปีนั้นระหว่างทางที่เดินทางมานครเซิ่นจิ่งแห่งนี้ นางเคยแอบทำนายดวงให้ตัวเองครั้งหนึ่ง
สำหรับนางแล้วคือมหาโชค แต่สำหรับราชสำนักต้าเฉวียนแล้วกลับไม่ใช่ผลทำนายที่ดีอะไร ตอนนั้นนางคิดอยู่หลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ
ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดูอีกครั้ง ที่แท้ก็มีทั้งผิดและถูก ส่วนที่ทำนายถูกคือโชคชะตาแคว้นของราชสำนักต้าเฉวียนตกอยู่ในอันตรายล่อแหลมอย่างแท้จริง ส่วนที่ทำนายผิดก็คือโชคชะตาของตัวนางเอง เพราะถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมไปด้วย
หากไม่เป็นเพราะท่านปู่ยังนำทัพเข่นฆ่าศัตรูอยู่ที่ชายแดน และข้างกายยังมีเหยาหลิ่งจือที่เข้ามาอยู่ในวังคอยเป็นองค์รักษ์ปกป้องอยู่ข้างกายนาง เหยาจิ้นจือก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร หากให้ตายนางก็ไม่กล้าตาย มองคานห้องแล้วก็ไม่กล้าคิดถึงผ้าแพรขาว นางเคยปลุกความกล้าให้กับตัวเอง แต่แค่เหลือบมองบ่อน้ำในวังอยู่ไกลๆ นางก็ยิ่งกลัวตายมากกว่าเดิม หลังจากที่เหยาหลิ่งจือเข้าวังมา มีครั้งหนึ่งหลังจากที่พูดคุยธุระกันเสร็จ นางสะดุดล้มลงบนระเบียงทางเดิน จากนั้นก็หมอบกับพื้นแล้วร่ำไห้เสียงดัง ยามที่เงยหน้าขึ้นก็เป็นดั่งดอกสาลี่พร่างพรมด้วยพิรุณ สะอื้นไห้ถามน้องสาวว่า ใต้หล้านี้มีวิธีตายที่ไม่ต้องเจ็บปวดหรือไม่
ตอนนั้นเหยาหลิ่งจือทรุดตัวลงนั่งยองกับพื้น โอบกอดพี่สาว ไม่กล้าบอกกับนางว่าเมื่อต้องตกอยู่ในน้ำมือของสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจพวกนั้น มีแต่จะยิ่งอยู่ไม่สู้ตาย
เวลานี้เหยาจิ้นจือพลันเอ่ยว่า “หลายวันต่อจากนี้เจ้าคอยอยู่ข้างกายข้า ห้ามผละจากไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว ไม่อย่างนั้นข้าคงแบกรับไม่ไหว แต่หากรอให้เผ่าปีศาจมาโจมตีเมืองเซิ่นจิ่งเมื่อใด ยามที่ใกล้จะรักษาเมืองไว้ไม่อยู่ เจ้าก็ฆ่าข้าซะ จำไว้ว่าออกดาบให้ไวหน่อย”
เหยาหลิ่งจือหน้าซีดขาวในชั่วพริบตา ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ
ฮองเฮาสาวพลันคลี่ยิ้ม มองไปยังภาพหิมะใหญ่ขาวโพลนที่ตกอยู่นอกประตู อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา
หากมีเขาอยู่ก็ดีน่ะสิ ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ตนก็คงไม่ต้องถึงขั้นอกสั่นขวัญผวาขนาดนี้กระมัง
หลายปีที่ผ่านมานี้มีบ้างเป็นบางครั้งที่นางจะนึกถึงบุรุษที่ไม่ได้รู้สึกชอบพออะไรจริงจังคนนั้นขึ้นมา
……
จังหวัดหม่าหูของแคว้นเล็กห่างไกลในธวัลทวีปมีอีกชื่อหนึ่งว่าหวงหลางไห่จื่อ มีศาลเหลยกงที่ไม่ใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง คนเฝ้าศาลเป็นคนหนุ่ม นามว่าเพ่ยอาเซียง
วันนี้คุณชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจุดธูปสามดอกปักลงกระถางธูปแล้วก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ของศาลเหลยกง เพื่อไปต้อนรับแขก
คนที่รู้ตัวตนของเขาล้วนไม่กล้ามารบกวนเขา คนที่กล้ามา โดยทั่วไปแล้วจะเป็นแขกที่เพ่ยอาเซียงยินดีจะให้การต้อนรับ
เขาสวมชุดคลุมสีขาวรัดเข็มขัดหยก ตรงเอวห้อยขลุ่ยไม้ไผ่สีเขียวเลาหนึ่ง ปลายพู่ห้อยขลุ่ยคือไข่มุกสีออกเหลืองเม็ดหนึ่ง
ขลุ่ยเลานั้นทำมาจากไผ่เขียว ไม่เหมือนไผ่ทั่วไปเพราะมาจากภูเขาชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ส่วนไข่มุกเป็นของธรรมดาที่หาซื้อได้ตามตลาด คนรวยทั่วไปมักจะไม่เห็นอยู่ในสามตา
แขกทั้งสามคนคือหลิวโยวโจวทายาทสายตรงของท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิว ผู้ถวายงานของตระกูลหลิ่วหมัวมัว รวมไปถึงบุตรสาวของหลิ่วหมัวมัว หลิ่วซุ่ยอวี๋ นางคือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนของเพ่ยอาเซียง
หลิ่วซุ่ยอวี๋ห้อยดาบสั้นฝักสีดำ สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะ เมื่อหลายปีก่อนนางเคยใช้ขอบเขตเดินทางไกลที่แข็งแกร่งที่สุดเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า หลิ่วซุ่ยอวี๋คือแขกประจำของที่ราบน้ำแข็งเขตเหนือ
หลิวโยวโจวตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล “อาเซียง อาเซียง!”
เพ่ยอาเซียงยิ้มบางๆ เห็นแก่ที่เจ้าลูกกระต่ายมีเงินเยอะ จะไม่ถือสาเขาแล้วกัน
หลิ่วหมัวมัวได้แต่เอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “นายน้อย ไหนพวกเราตกลงกันไว้แล้วอย่างไรล่ะว่าพอเจอผู้อาวุโสเพ่ยจะไม่เรียกเขาว่า ‘อาเซียง’?”
หลิวโยวโจวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อดไม่ไหว อดไม่ไหว”
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเพียงหนึ่งเดียวของธวัลทวีป เพ่ยอาเซียงคือผู้ถวายงานคนที่สามของสกุลหลิวพวกเขา
เพ่ยอาเซียงนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตู
หลิวโยวโจวมานั่งแปะลงด้านข้าง
หลิ่วซุ่ยอวี๋ได้พบอาจารย์ก็ยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้สีหน้าของอาจารย์ดูไม่เลวนะเจ้าคะ”
เพ่ยอาเซียงเอ่ยสัพยอก “เห็นกุมารแจกทรัพย์มาเยือน ยากมากที่ข้าจะไม่อารมณ์ดี”
หลิ่วหมัวมัวระบายลมหายใจโล่งอก ยังดี ยามที่ปรมาจารย์เพ่ยอยู่กับนายน้อย นับว่ายังค่อนข้างพูดง่าย
หลิวโยวโจวหยิบกระถางธูปใบหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เพ่ยอาเซียงชำเลืองตามอง โบกมือหนึ่งครั้งกระถางธูปใบนั้นก็ถูกส่งเข้าไปในศาลเหลยกง
หลิวโยวโจวเพิ่งจะกลับมาบ้านเกิดหลังจากไปเยือนถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีป กลับมาบนเส้นทางที่ผ่านเกราะทองทวีป หลิวเสียทวีปและธวัลทวีป
ตอนที่อยู่ถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีป หลิวโยวโจวมอบสมบัติอาคมไปให้ผู้อื่นถึงสิบกว่าชิ้น ล้วนเป็นสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานทั้งสิ้น ถือเป็นการให้ยืม
และหลิวโยวโจวก็หวังว่าพวกเขาจะสามารถเอามาคืนตนได้
ไม่ใช่ว่าเสียดายสมบัติอาคมพวกนั้น แต่เพราะไม่ต้องการให้คนที่เขาเพิ่งจดจำใบหน้าได้ไม่นานเหล่านั้นไม่ทันระวังเปลี่ยนจากสหายกลายเป็นคนเคยรู้จัก
เพ่ยอาเซียงถาม “เฉาสือผู้นั้นเป็นขั้นที่เท่าไรของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ?”
หลิวโยวโจวส่ายหน้า “ไม่ได้ถาม”
เพ่ยอาเซียงรู้สึกจนใจเล็กน้อย
หลิ่วซุ่ยอวี๋นั่งอยู่ด้านข้าง ยกสองมือพลัดกันตีหัวเข่าตัวเองเบาๆ “ในบรรดาสิบคนรุ่นเยาว์ยังมีขอบเขตยอดเขาอีกคนหนึ่ง ชื่อว่าอิ่นกวานอะไรนี่แหละ แล้วยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย บวกกับที่ก่อนหน้านี้โชคชะตาบู๊ต่างกรูกันไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นคนหนุ่มที่หลิวโยวโจวรู้จัก”
เพ่ยอาเซียงถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ
หลิวโยวโจวแสร้งทำท่าจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เข้าที่
หลิ่วซุ่ยอวี้ยกเท้าถีบหลิวโยวโจวทันที
ในจวนสกุลหลิวของธวัลทวีป ในห้องหนังสือของหลิวโยวโจวแขวนม้วนภาพที่เขาวาดเองกับมือไว้ภาพหนึ่ง สภาพอัปลักษณ์จนเหมือนเด็กวาดยันต์ผี เขาวาดเป็นรูปเรือลำหนึ่งล่องไปกลางมหาสมุทร มีเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนหนึ่งยืนอยู่บนหัวเรือ
คำว่าเด็กหนุ่มที่พูดถึงนี้ก็คือการลงเส้นวาดวงกลมหนึ่งวงบวกกับกิ่งไม้อีกสามสี่กิ่ง ผีเท่านั้นถึงจะรู้ว่านั่นคือคน
ในอดีตหลิ่วซุ่ยอวี๋เห็น ‘ผลงานขึ้นชื่อของจิตรกรใหญ่’ ซึ่งสะเทือนฟ้าดินผีสะอื้นเทพร่ำไห้ภาพนี้แล้วก็ถามไปคำหนึ่ง หลิวโยวโจวก็โอ้อวดนางทันที บอกว่านี่คือวิธีการวาดลายน้ำของเขา เรียกได้ว่ารับเอาฝีมือ ‘ภาพน้ำ’ ของหม่าหยวนมาเจ็ดแปดส่วน ตอนนั้นหลิวโยวโจวที่ยังเป็นเด็กหนุ่มกลัวว่าหลิ่วซุ่ยอวี๋จะไม่เชื่อก็เลยจับๆ พลิกๆ หาบนโต๊ะหนังสือที่วางที่พักพู่กันเรียงรายเป็นแถว เป็นนานกว่าจะหาผลงานจริงของ ‘ภาพน้ำ’ มาได้ หมายจะให้ท่านน้าหลิ่วช่วยตรวจสอบดู ในฐานะปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธหญิง แน่นอนว่าหลิ่วซุ่ยอวี๋ต้องไม่สนใจ ‘ภาพน้ำ’ ของเทพเซียนที่มีมูลค่าควรเมืองภาพนั้นอยู่แล้ว เพียงแค่ถามว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคือใคร
หลิวโยวโจวจึงพูดจ้อให้ฟังถึงคลื่นลมมรสุมที่ร่องเจียวหลงซึ่งเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาล่องผ่าน
หลิ่วซุ่ยอวี๋จึงจำเด็กหนุ่มประหลาดที่ภายหลังไปเยือนภูเขาห้อยหัว แต่กลับไม่ได้ไปเป็นแขกที่จวนหยวนโหรวผู้นั้นได้
เวลานี้โดนน้าหลิ่วถีบด้วยความรักความเอ็นดู หลิวโยวโจวก็หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “แซ่เฉิน เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป เป็นคนที่ใจกว้างอย่างมาก”
เพ่ยอาเซียงยิ้มกล่าว “คนที่เจ้าเรียกว่าเป็นคนใจกว้างได้ ต้องใจกว้างมากเท่าไรกัน?”
หลิวโยวโจวเอ่ย “ข้ามอบเงินฝนธัญพืชให้คนอื่นหนึ่งเหรียญ เมื่อเทียบกับคนทั่วไปที่มอบเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ แน่นอนว่าต้องเป็นข้าที่ขี้เหนียว เป็นอีกฝ่ายที่ใจกว้าง เหตุผลก็นับกันเช่นนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!