กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 705

สรุปบท บทที่ 705.2 เก็บซ่อนรูปโฉมอันงดงาม: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 705.2 เก็บซ่อนรูปโฉมอันงดงาม – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 705.2 เก็บซ่อนรูปโฉมอันงดงาม ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่อ๋องเจ้าเมืองผู้นั้นขอตัวจากไป ยามที่เขาก้าวข้ามธรณีประตู รอยยิ้มยามที่หันกลับมามองนั้น อย่าว่าแต่เป็นพี่สาวฮองเฮาที่ถูกเขาจ้องเขม็งเลย ต่อให้เป็นเหยาหลิ่งจือเห็นแล้วก็ยังรู้สึกหนาวเหน็บในหัวใจ

เหยาจิ้นจือเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มซีดเซียว “ข้าไม่เป็นไร”

ในใจของเหยาหลิ่งจือเจ็บแค้น หากแบบนี้ยังไม่เป็นอะไรอีก แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็น?

ทุกวันนี้ทั้งในและนอกพระราชวัง บนและล่างราชสำนัก นับตั้งแต่ราชสำนักไปจนถึงยุทธภพแล้วจึงไปถึงสนามรบ มีที่ไหนบ้างที่ไม่วุ่นวายเละเทะ

เจ้าตะพาบที่สวมชุดคลุมมังกรนั่งบนบัลลังก์มังกรผู้นั้นถึงขั้นทิ้งพี่สาวเอาไว้คนเดียว ส่วนตัวเขาแอบหนีไป ประเด็นสำคัญคือเขายังเอาตัวเซียนซือผู้ถวายงานโอสถทองกลุ่มใหญ่ไปหลบภัยที่ใต้หล้าแห่งที่ห้าพร้อมกันด้วย

เรื่องที่ทำให้พี่สาวเสียใจมากที่สุดก็คือเหตุผลเหลวไหลที่ฮ่องเต้ไม่พาพี่สาวไปด้วยกลับเป็นว่า ที่กองโหราศาสตร์มีคนยืนยันว่าพี่สาวคือหญิงงามที่สร้างหายนะ เอามาไว้ข้างกายมีแต่จะเจอเคราะห์ภัยนับไม่ถ้วน

ฮองเฮาสาวแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนผู้นี้ประคองเตาพกไว้ในมือ แม้มือจะร้อนแต่ใจกลับหนาวเหน็บ

จำได้ว่าปีนั้นระหว่างทางที่เดินทางมานครเซิ่นจิ่งแห่งนี้ นางเคยแอบทำนายดวงให้ตัวเองครั้งหนึ่ง

สำหรับนางแล้วคือมหาโชค แต่สำหรับราชสำนักต้าเฉวียนแล้วกลับไม่ใช่ผลทำนายที่ดีอะไร ตอนนั้นนางคิดอยู่หลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ

ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดูอีกครั้ง ที่แท้ก็มีทั้งผิดและถูก ส่วนที่ทำนายถูกคือโชคชะตาแคว้นของราชสำนักต้าเฉวียนตกอยู่ในอันตรายล่อแหลมอย่างแท้จริง ส่วนที่ทำนายผิดก็คือโชคชะตาของตัวนางเอง เพราะถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมไปด้วย

หากไม่เป็นเพราะท่านปู่ยังนำทัพเข่นฆ่าศัตรูอยู่ที่ชายแดน และข้างกายยังมีเหยาหลิ่งจือที่เข้ามาอยู่ในวังคอยเป็นองค์รักษ์ปกป้องอยู่ข้างกายนาง เหยาจิ้นจือก็ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร หากให้ตายนางก็ไม่กล้าตาย มองคานห้องแล้วก็ไม่กล้าคิดถึงผ้าแพรขาว นางเคยปลุกความกล้าให้กับตัวเอง แต่แค่เหลือบมองบ่อน้ำในวังอยู่ไกลๆ นางก็ยิ่งกลัวตายมากกว่าเดิม หลังจากที่เหยาหลิ่งจือเข้าวังมา มีครั้งหนึ่งหลังจากที่พูดคุยธุระกันเสร็จ นางสะดุดล้มลงบนระเบียงทางเดิน จากนั้นก็หมอบกับพื้นแล้วร่ำไห้เสียงดัง ยามที่เงยหน้าขึ้นก็เป็นดั่งดอกสาลี่พร่างพรมด้วยพิรุณ สะอื้นไห้ถามน้องสาวว่า ใต้หล้านี้มีวิธีตายที่ไม่ต้องเจ็บปวดหรือไม่

ตอนนั้นเหยาหลิ่งจือทรุดตัวลงนั่งยองกับพื้น โอบกอดพี่สาว ไม่กล้าบอกกับนางว่าเมื่อต้องตกอยู่ในน้ำมือของสัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจพวกนั้น มีแต่จะยิ่งอยู่ไม่สู้ตาย

เวลานี้เหยาจิ้นจือพลันเอ่ยว่า “หลายวันต่อจากนี้เจ้าคอยอยู่ข้างกายข้า ห้ามผละจากไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว ไม่อย่างนั้นข้าคงแบกรับไม่ไหว แต่หากรอให้เผ่าปีศาจมาโจมตีเมืองเซิ่นจิ่งเมื่อใด ยามที่ใกล้จะรักษาเมืองไว้ไม่อยู่ เจ้าก็ฆ่าข้าซะ จำไว้ว่าออกดาบให้ไวหน่อย”

เหยาหลิ่งจือหน้าซีดขาวในชั่วพริบตา ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ

ฮองเฮาสาวพลันคลี่ยิ้ม มองไปยังภาพหิมะใหญ่ขาวโพลนที่ตกอยู่นอกประตู อยู่ดีๆ ก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา

หากมีเขาอยู่ก็ดีน่ะสิ ไม่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ตนก็คงไม่ต้องถึงขั้นอกสั่นขวัญผวาขนาดนี้กระมัง

หลายปีที่ผ่านมานี้มีบ้างเป็นบางครั้งที่นางจะนึกถึงบุรุษที่ไม่ได้รู้สึกชอบพออะไรจริงจังคนนั้นขึ้นมา

……

จังหวัดหม่าหูของแคว้นเล็กห่างไกลในธวัลทวีปมีอีกชื่อหนึ่งว่าหวงหลางไห่จื่อ มีศาลเหลยกงที่ไม่ใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง คนเฝ้าศาลเป็นคนหนุ่ม นามว่าเพ่ยอาเซียง

วันนี้คุณชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจุดธูปสามดอกปักลงกระถางธูปแล้วก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ของศาลเหลยกง เพื่อไปต้อนรับแขก

คนที่รู้ตัวตนของเขาล้วนไม่กล้ามารบกวนเขา คนที่กล้ามา โดยทั่วไปแล้วจะเป็นแขกที่เพ่ยอาเซียงยินดีจะให้การต้อนรับ

เขาสวมชุดคลุมสีขาวรัดเข็มขัดหยก ตรงเอวห้อยขลุ่ยไม้ไผ่สีเขียวเลาหนึ่ง ปลายพู่ห้อยขลุ่ยคือไข่มุกสีออกเหลืองเม็ดหนึ่ง

ขลุ่ยเลานั้นทำมาจากไผ่เขียว ไม่เหมือนไผ่ทั่วไปเพราะมาจากภูเขาชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ส่วนไข่มุกเป็นของธรรมดาที่หาซื้อได้ตามตลาด คนรวยทั่วไปมักจะไม่เห็นอยู่ในสามตา

แขกทั้งสามคนคือหลิวโยวโจวทายาทสายตรงของท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิว ผู้ถวายงานของตระกูลหลิ่วหมัวมัว รวมไปถึงบุตรสาวของหลิ่วหมัวมัว หลิ่วซุ่ยอวี๋ นางคือหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนของเพ่ยอาเซียง

หลิ่วซุ่ยอวี๋ห้อยดาบสั้นฝักสีดำ สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะ เมื่อหลายปีก่อนนางเคยใช้ขอบเขตเดินทางไกลที่แข็งแกร่งที่สุดเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า หลิ่วซุ่ยอวี๋คือแขกประจำของที่ราบน้ำแข็งเขตเหนือ

หลิวโยวโจวตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล “อาเซียง อาเซียง!”

เพ่ยอาเซียงยิ้มบางๆ เห็นแก่ที่เจ้าลูกกระต่ายมีเงินเยอะ จะไม่ถือสาเขาแล้วกัน

หลิ่วหมัวมัวได้แต่เอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “นายน้อย ไหนพวกเราตกลงกันไว้แล้วอย่างไรล่ะว่าพอเจอผู้อาวุโสเพ่ยจะไม่เรียกเขาว่า ‘อาเซียง’?”

หลิวโยวโจวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อดไม่ไหว อดไม่ไหว”

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเพียงหนึ่งเดียวของธวัลทวีป เพ่ยอาเซียงคือผู้ถวายงานคนที่สามของสกุลหลิวพวกเขา

เพ่ยอาเซียงนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตู

หลิวโยวโจวมานั่งแปะลงด้านข้าง

หลิ่วซุ่ยอวี๋ได้พบอาจารย์ก็ยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้สีหน้าของอาจารย์ดูไม่เลวนะเจ้าคะ”

เพ่ยอาเซียงเอ่ยสัพยอก “เห็นกุมารแจกทรัพย์มาเยือน ยากมากที่ข้าจะไม่อารมณ์ดี”

หลิ่วหมัวมัวระบายลมหายใจโล่งอก ยังดี ยามที่ปรมาจารย์เพ่ยอยู่กับนายน้อย นับว่ายังค่อนข้างพูดง่าย

หลิวโยวโจวหยิบกระถางธูปใบหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เพ่ยอาเซียงชำเลืองตามอง โบกมือหนึ่งครั้งกระถางธูปใบนั้นก็ถูกส่งเข้าไปในศาลเหลยกง

หลิวโยวโจวเพิ่งจะกลับมาบ้านเกิดหลังจากไปเยือนถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีป กลับมาบนเส้นทางที่ผ่านเกราะทองทวีป หลิวเสียทวีปและธวัลทวีป

ตอนที่อยู่ถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีป หลิวโยวโจวมอบสมบัติอาคมไปให้ผู้อื่นถึงสิบกว่าชิ้น ล้วนเป็นสหายใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานทั้งสิ้น ถือเป็นการให้ยืม

และหลิวโยวโจวก็หวังว่าพวกเขาจะสามารถเอามาคืนตนได้

ไม่ใช่ว่าเสียดายสมบัติอาคมพวกนั้น แต่เพราะไม่ต้องการให้คนที่เขาเพิ่งจดจำใบหน้าได้ไม่นานเหล่านั้นไม่ทันระวังเปลี่ยนจากสหายกลายเป็นคนเคยรู้จัก

เพ่ยอาเซียงถาม “เฉาสือผู้นั้นเป็นขั้นที่เท่าไรของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ?”

หลิวโยวโจวส่ายหน้า “ไม่ได้ถาม”

เพ่ยอาเซียงรู้สึกจนใจเล็กน้อย

หลิ่วซุ่ยอวี๋นั่งอยู่ด้านข้าง ยกสองมือพลัดกันตีหัวเข่าตัวเองเบาๆ “ในบรรดาสิบคนรุ่นเยาว์ยังมีขอบเขตยอดเขาอีกคนหนึ่ง ชื่อว่าอิ่นกวานอะไรนี่แหละ แล้วยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย บวกกับที่ก่อนหน้านี้โชคชะตาบู๊ต่างกรูกันไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นคนหนุ่มที่หลิวโยวโจวรู้จัก”

เพ่ยอาเซียงถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ

หลิวโยวโจวแสร้งทำท่าจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เข้าที่

หลิ่วซุ่ยอวี้ยกเท้าถีบหลิวโยวโจวทันที

ในจวนสกุลหลิวของธวัลทวีป ในห้องหนังสือของหลิวโยวโจวแขวนม้วนภาพที่เขาวาดเองกับมือไว้ภาพหนึ่ง สภาพอัปลักษณ์จนเหมือนเด็กวาดยันต์ผี เขาวาดเป็นรูปเรือลำหนึ่งล่องไปกลางมหาสมุทร มีเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนหนึ่งยืนอยู่บนหัวเรือ

คำว่าเด็กหนุ่มที่พูดถึงนี้ก็คือการลงเส้นวาดวงกลมหนึ่งวงบวกกับกิ่งไม้อีกสามสี่กิ่ง ผีเท่านั้นถึงจะรู้ว่านั่นคือคน

ในอดีตหลิ่วซุ่ยอวี๋เห็น ‘ผลงานขึ้นชื่อของจิตรกรใหญ่’ ซึ่งสะเทือนฟ้าดินผีสะอื้นเทพร่ำไห้ภาพนี้แล้วก็ถามไปคำหนึ่ง หลิวโยวโจวก็โอ้อวดนางทันที บอกว่านี่คือวิธีการวาดลายน้ำของเขา เรียกได้ว่ารับเอาฝีมือ ‘ภาพน้ำ’ ของหม่าหยวนมาเจ็ดแปดส่วน ตอนนั้นหลิวโยวโจวที่ยังเป็นเด็กหนุ่มกลัวว่าหลิ่วซุ่ยอวี๋จะไม่เชื่อก็เลยจับๆ พลิกๆ หาบนโต๊ะหนังสือที่วางที่พักพู่กันเรียงรายเป็นแถว เป็นนานกว่าจะหาผลงานจริงของ ‘ภาพน้ำ’ มาได้ หมายจะให้ท่านน้าหลิ่วช่วยตรวจสอบดู ในฐานะปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธหญิง แน่นอนว่าหลิ่วซุ่ยอวี๋ต้องไม่สนใจ ‘ภาพน้ำ’ ของเทพเซียนที่มีมูลค่าควรเมืองภาพนั้นอยู่แล้ว เพียงแค่ถามว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคือใคร

หลิวโยวโจวจึงพูดจ้อให้ฟังถึงคลื่นลมมรสุมที่ร่องเจียวหลงซึ่งเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาล่องผ่าน

หลิ่วซุ่ยอวี๋จึงจำเด็กหนุ่มประหลาดที่ภายหลังไปเยือนภูเขาห้อยหัว แต่กลับไม่ได้ไปเป็นแขกที่จวนหยวนโหรวผู้นั้นได้

เวลานี้โดนน้าหลิ่วถีบด้วยความรักความเอ็นดู หลิวโยวโจวก็หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “แซ่เฉิน เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป เป็นคนที่ใจกว้างอย่างมาก”

เพ่ยอาเซียงยิ้มกล่าว “คนที่เจ้าเรียกว่าเป็นคนใจกว้างได้ ต้องใจกว้างมากเท่าไรกัน?”

หลิวโยวโจวเอ่ย “ข้ามอบเงินฝนธัญพืชให้คนอื่นหนึ่งเหรียญ เมื่อเทียบกับคนทั่วไปที่มอบเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ แน่นอนว่าต้องเป็นข้าที่ขี้เหนียว เป็นอีกฝ่ายที่ใจกว้าง เหตุผลก็นับกันเช่นนี้”

ในที่สุดเพ่ยอาเซียงก็เกิดความสนใจ “แม่นางน้อยได้คำว่าแข็งแกร่งที่สุดมากี่ครั้ง ถึงเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกล?”

เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “แค่ห้าครั้ง”

หลิวโยวโจวอ้าปากค้าง

ห้าครั้งก็ห้าครั้งสิ เจ้าอย่ามี ‘แค่’ ได้ไหม

ใต้หล้านี้เหตุใดถึงมีแม่นางเช่นนี้ได้นะ?

นางชื่อว่าอะไรแล้วนะ? หลิวโยวโจวอยากคบหาสหายแบบนี้ในยุทธภพ! สามารถหาเงินมาได้มาก แต่ไม่อาจหาสหายมาได้มากเท่าไร

หลิ่วซุ่ยอวี๋นวดคลึงหว่างคิ้ว

สีหน้าเพ่ยอาเซียงเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด

หลิ่วซุ่ยอวี๋ถามอย่างใคร่รู้ “สองขอบเขตไหนของเจ้าที่เกิดการเปลี่ยนแปลง?”

เผยเฉียนส่ายหน้า ปิดปากเงียบไม่เอ่ยอะไร

หลิ่วซุ่ยอวี๋ยิ้มกล่าว “หากเจ้าบอกข้า ข้าก็จะกดขอบเขตเหลือเดินทางไกล รับปากว่าจะประลองวิชาหมัดกับเจ้า”

เผยเฉียนครุ่นคิด “ผู้อาวุโสไม่ต้องกดขอบเขตได้ไหม?”

ข้าจะถามหมัดกับเจ้า เจ้าไม่ได้สอนหมัดข้าสักหน่อย จะกดขอบเขตไปทำไม

หลิ่วซุ่ยอวี๋เดินลงบันไดมา “ได้สิ ข้าไม่กดขอบเขตไว้ก็ได้”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ ยื่นส่งไม้เท้าเดินป่าให้เฉามู่ ปลดหีบไม้ไผ่ลงมา จวี่สิงรีบยื่นสองมือไปรับหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาทันที

เฉามู่กำหมัดโบกเบาๆ กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “พี่หญิงเผย ระวังด้วยนะ”

เผยเฉียนลูบศีรษะของแม่นางน้อย ยิ้มกล่าว “อีกเดี๋ยวขยับออกไปห่างๆ ข้าหน่อย”

เซี่ยซงฮวาพาลูกศิษย์สองคนทะยานลมไปยังกลางอากาศสูง

หลิวโยวโจวนั่งยองอยู่บนขั้นบันไดด้านหลังเพ่ยอาเซียง เอียงศีรษะมองแม่นางน้อย ถามเสียงเบา “อาเซียง อาเซียง ขอบเขตแปดตีกับขอบเขตเก้า อีกทั้งยังเป็นขอบเขตเก้าของท่านน้าหลิ่ว นางจะสู้ได้อย่างไร?”

เพ่ยอาเซียงตอบ “เจ้าก็ไปถามแม่นางน้อยคนนั้นดูสิ”

หลิวโยวโจวกลอกตามองบน “ทุกครั้งที่ข้าเจอแม่นางหน้าตาดีก็ไม่เคยกล้าพูดคุยด้วยตลอดเลย”

หญิงชราหัวเราะปากกว้าง

แม่นางน้อยคนนั้นไม่ถือว่าหน้าตาดีได้เลยจริงๆ

หลิ่วซุ่ยอวี๋ปลดเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกลงแล้วโยนไปบนขั้นบันไดด้านหลัง

นางเอามือหนึ่งไพล่หลัง ผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สายศาลเทพเจ้าฟ้าร้อง (เหลยกง) แห่งจังหวัดหม่าหู ผู้ฝึกยุทธหลิ่วซุ่ยอวี๋”

เผยเฉียนยกเท้าหนึ่งกระทืบไปข้างหน้า ร่างทรุดลงต่ำเล็กน้อย สองมือกำเป็นหมัด ตั้งท่าหมัดโบราณเรียบง่าย พูดเสียงหนักว่า “สายภูเขาลั่วพั่ว ลูกศิษย์เปิดขุนเขาเผยเฉียน ขอถามหมัดแก่ผู้อาวุโสหลิ่ว!”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!