กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 706

ภายหลังยังเป็นเพราะขุนนางหญิงที่ได้รับคำสั่งจากจวนเทพภูเขาของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ปรากฎตัว ถึงได้ช่วยคลี่คลายวิกฤตให้กับทุกคน

ชายฉกรรจ์ที่นั่งยองบนพื้นกำลังใช้ก้นปัดดินให้ฝังเพ่ยอาเซียงเห็นขุนนางหญิงผู้นั้นก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยความเร็วดั่งฟ้าผ่าไม่ทันยกมือป้องหู เอนหลังพิงต้นไผ่ ปลายเท้าข้างหนึ่งยกขึ้นแตะพื้นดิน ถ่มน้ำลายลงมือแล้วลูบปาดเส้นผมแรงๆ เผยให้เห็นหน้าผากโหนกกว้าง สองมือกอดอกเอ่ยเรียกว่าแม่นาง บอกว่าตนชื่อว่าพี่อาเหลียง ทุกอย่างนี้เขาทำเสร็จในรวดเดียว คล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล

เป็นธรรมชาติขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญอย่างแน่นอน

สตรีผู้นั้นไม่สนใจบุรุษ ถามตรงๆ ว่า ‘ในเมื่อเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ เหตุใดถึงออกหมัดรับมือศัตรู เพราะจงใจจะสร้างความอัปยศให้คนเหล่านี้งั้นหรือ?’

สตรีชำเลืองตามองบุรุษที่สะพายกระบี่ไว้บนร่างแล้วถามอีกว่า ‘กล้ามาขโมยหน่อไม้ ขโมยรากไผ่ของที่นี่ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับบัณฑิตแม้แต่น้อย ต้องการถามกระบี่แก่ภูเขาชิงเสินของพวกเรางั้นรึ’

บุรุษผู้นั้นส่ายหน้า ขยับเข็มขัดรัดเอวเบาๆ สายตาเลื่อนมองไปทางอื่น ไม่กล้าสบตากับสตรีผู้นั้น แล้วคลี่ยิ้มเขินอาย

ชายชาตรีบุรุษที่ดีต้องไม่ออกกระบี่ง่ายๆ

ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

หลังจากนั้นก็คือการไล่ฆ่าที่อลหม่านโกลาหลครั้งหนึ่ง เจ้าคนที่ชื่ออาเหลียงผู้นั้นวิ่งหนีอุตลุดไปทั่วถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ และนั่นก็สอดคล้องกับคำพูดติดปากที่เขาจงใจพูดให้กำกวมว่า ‘เชื่อหรือไม่ว่าข้าเคยถูกเทพธิดาจำนวนนับไม่ถ้วนไล่จีบ?’ (คำว่าไล่จีบนี้ใช้คำว่า 追 ที่แปลว่าไล่/ตาม แต่ใช้ได้ทั้งความหมายว่าตามจีบ แล้วก็ใช้ในความหมายไล่ล่าก็ได้) พอดี

คาดว่าเขาคงคิดว่าการไล่ฆ่าก็คือการไล่จีบอย่างหนึ่งกระมัง

กระทั่งเขาได้พบกับฮูหยินภูเขาชิงเสินที่ในตำนานเล่าลือกันว่า ‘รูปโฉมงามล้ำ ชอบเปลือยเท้า มวยผมเป็นสีนิล’

แล้วก็มีเรื่องเล่าเรื่องใหม่ที่ไม่อาจเอามาแพร่งพรายให้คนนอกรับรู้เกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง ภายหลังผู้คนพากันพูดไปหลากหลาย ไม่อาจหาข้อสรุปที่แน่นอนได้

ส่วนอาเหลียงผู้นั้นก็ค่อนข้างจะถูกชะตากับเพ่ยอาเซียง เพราะหากไม่ตีกันก็คงไม่ได้รู้จักกัน จึงช่วยขโมยต้นไผ่เขียวของภูเขาชิงเสินมาให้เพ่ยอาเซียงท่อนหนึ่ง บอกให้เขานำออกมาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่

หลิวโยวโจวฟังเรื่องเล่าที่เต็มไปด้วยสีสันตระการตานี้จบก็อดไม่ไหวถามว่า “อาเซียงภายหลังเจ้าก็ได้ย้อนกลับไปที่ภูเขาชิงเสิน ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีอีกไม่ใช่หรือ? หรือว่าอาเหลียงจะใช้แซ่ตามพวกเจ้าจริงๆ”

เพ่ยอาเซียงกล่าวอย่างอ่อนใจ “ความหมายของเขาก็คือ ไม่ถือสาที่จะเปลี่ยนชื่อแซ่มาเป็นบรรพบุรุษของพวกเรา”

หลิวโยวโจวได้เปิดโลกกว้าง แบบนี้ก็ได้หรือ? ดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่นะ

เพ่ยอาเซียงถือขลุ่ยไม้ไผ่ ลุกขึ้นยืน คิดว่าจะบอกให้ทั้งสองฝ่ายหยุดถามหมัดกันได้แล้ว

หากยังต่อสู้กันแบบนี้ต่อไป ศาลเหลยกงเล็กแห่งนี้อาจจะมีเตียงคนป่วยเพิ่มมาอีกเตียงก็เป็นได้

แม่นางน้อยที่ดื้อดึงคนนั้นล้มลงไปกองอยู่บนพื้นมากถึงเจ็ดครั้งแล้ว

ส่วนหลิ่วซุ่ยอวี๋ก็ออกหมัดจนได้แรงไฟที่แท้จริง ทุกครั้งที่ออกหมัดก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะทำให้จิตวิญญาณถึงขั้นสมบูรณ์แบบสุดยอดเขาของขอบเขตเก้า ลำพังเพียงแค่กระบวนท่าฟ้าร้องทับซ้อน หากขอบเขตเดินทางไกลทั่วไปโดนเข้าไปสักครึ่งหนึ่ง เวลานี้คงล้มจนมิอาจลุกขึ้นยืนได้แล้ว แล้วยังต้องกระอักเลือดไม่หยุด ซ้ำไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บทางเส้นเอ็นกระดูกเท่านั้น ยังจะทิ้งต้นตอของโรคเอาไว้ด้วย

ต่อให้เรือนกายขอบเขตเดินทางไกลปูพื้นฐานมาแน่นหนาแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานการโค่นทำลายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาท่านหนึ่งเช่นนี้ได้

ทั้งสองฝ่ายเพียงแค่ถามหมัดกันเท่านั้น

ต่อให้หลิ่วซุ่ยอวี๋จะสามารถอาศัยสิ่งนี้มาเพิ่มปณิธานหมัดให้กับตัวเอง มีหวังที่จะทำให้นางพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น แต่เพ่ยอาเซียงกลับไม่รู้สึกว่าทำเช่นนี้แล้วจะสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของยุทธภพ

คนในยุทธภพ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เรื่องของการถือหางปกป้องกัน ถึงอย่างไรก็ต้องมีขอบเขตบ้าง

ทำร้ายให้แม่นางน้อยคนหนึ่งที่ขอบเขตต่ำกว่าหนึ่งขั้นบาดเจ็บสาหัส ใช้สิ่งนี้มาเพิ่มโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งให้กับศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหู

น่าอายอย่างมาก

เพ่ยอาเซียงมิอาจเสียหน้ากับเรื่องแบบนี้ได้

ดังนั้นเพ่ยอาเซียงจึงออกเสียงเอ่ยว่า “แค่พอสมควรก็พอแล้ว”

เซี่ยซงฮวาพยักหน้ารับเบาๆ เพ่ยอาเซียงผู้นี้นับว่ายังมีคุณธรรมอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นหากเขาไม่ออกเสียง นางคงออกกระบี่ไปแล้ว

ถามกระบี่กับศาลเหลยกงโดยตรง ถามต่อคนที่อายุมากที่สุด ลำดับอาวุโสสูงที่สุด

แม้ว่าหลิ่วซุ่ยอวี๋จะยังไม่หายสะใจ แต่กระนั้นก็ยังเก็บหมัดมาอย่างฉุกละหุก ส่วนเผยเฉียนผู้นั้นคล้ายจะหลงลืมตัวเองไปแล้ว ถึงยังปล่อยหมัดส่งออกมา ทว่านางก็คืนสติได้ในทันทีทันใด ฝืนข่มดึงเอาปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์กลับคืนมา แม้เลือดลมในร่างจะซัดเดือด นางก็ยังฝืนทนเก็บหมัดแล้วถอยห่างมาหลายก้าว

หญิงสาวเรือนกายผอมบางยืนโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ ใบหน้าที่ดำน้อยๆ ผิวเนื้อแตกยับ กรอบดวงตาข้างหนึ่งบวมแดงจนน่ากลัว สภาพกระเซอะกระเซิงอย่างยิ่ง นางเอียงศีรษะน้อยๆ ก็มีเลือดสดไหลออกมาจากรูหู

เป็นสตรีเหมือนกัน หมัดขอบเขตเก้าของอีกฝ่ายไม่เบาเลยจริงๆ

สภาพอันน่าสังเวชของเผยเฉียนทำเอาหลิวโยวโจวรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว น่าสยดสยองเกินไปแล้ว

เผยเฉียนยกมือขึ้น ใช้หลังมือเช็ดเลือดสดที่ไหลย้อยจากจอนหูมายังข้างแก้ม

หลิ่วซุ่ยอวี๋เริ่มเก็บปณิธานหมัดของทั้งร่างกลับมา มองเผยเฉียนอย่างไม่ปิดบังแววตาชื่นชม พยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ครั้งนี้ข้าไม่ได้ชนะ เจ้าไม่ได้แพ้ พวกเราถือว่าเสมอกัน วันหน้ารอให้เจ้าฝ่าทะลุขอบเขตเมื่อไหร่ค่อยมาถามหมัดอีกครั้ง เจ้ามาหาข้าที่จังหวัดหม่าหู หรือไม่ข้าก็ไปหาเจ้าที่ภูเขาลั่วพั่ว ล้วนได้หมด”

เผยเฉียนกุมหมัดคารวะขอบคุณ เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร คล้ายในใจมีเรื่องอยากจะพูด

จวี่สิงพบว่าในฝ่ามือของตัวเองโชกไปด้วยเหงื่อ หันหน้าไปมองเฉามู่ที่ยืนกอดไม้เท้า นางก็ยิ่งเหงื่อแตกท่วมหัว

เฉามู่สัมผัสได้ถึงสายตามองประเมินของเขาจึงหันหน้าไปเค้นรอยยิ้มให้เขา

จวี่สิงโมโหทันใด เอ่ยว่า “พี่หญิงเผยบาดเจ็บขนาดนี้แล้ว ยิ้ม เจ้ายังยิ้ม ทำไมเจ้าไม่ยิ้มให้ปากฉีกไปถึงรูหูเลยเล่า…”

ไม่รอให้จวี่สิงเอ่ยจบก็โดนเซี่ยซงฮวาเขกมะเหงกใส่ ก่อนเอ่ยสั่งสอนว่า “เฉามู่เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง เวลานางร้องไห้เจ้าก็ว่า เวลานางยิ้มเจ้าก็ว่า หรือว่าจะให้นางทำตัวเป็นน้ำเต้าตันเลียนแบบเจ้ากัน หา?”

จวี่สิงทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อยหนึ่งที “นางโง่ขนาดนั้น จะเรียนรู้ไปจากข้าได้อย่างไร”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!