กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 706

จวี่สิงเอ่ยด้วยสีหน้าดื้อรั้น “อาจารย์ ข้าไม่ใคร่ยินดีจะขอยืมมือคนอื่นมาช่วยหล่อเลี้ยงกระบี่บิน”

แต่เขาก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แต่หากอาจารย์ยืนกรานจะทำเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีทางเกียจคร้านในการหลอมกระบี่”

จวี่สิงพูดอย่างนี้คล้ายต้องการระบายอารมณ์

เฉามู่จึงเป็นกังวลว่าอาจารย์จะขุ่นเคือง

เซี่ยซงฮวายื่นมือไปกดศีรษะของเด็กชาย พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อิ่นกวานเคยบอกว่า หลังจากที่พวกเจ้ามาถึงใต้หล้าไพศาลแล้ว ห้ามทำอะไรโดยใช้อารมณ์เด็ดขาด ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ก็เหมือนเขาที่พอไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะเคารพขนบธรรมเนียมประเพณีทั้งหมดของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเจ้าก่อน จวี่สิง ความหวังที่อิ่นกวานมีต่อพวกเจ้า เจ้าทำได้ไหม?”

จวี่สิงอืมรับหนึ่งที สายตาฉายประกายสดใส พยักหน้ารับอย่างแรง “จดหมายฉบับนั้นที่ใต้เท้าอิ่นกวานฝากเติ้งเหลียงมาส่งให้อาจารย์ ข้ามักจะหยิบมาอ่านบ่อยๆ ในจดหมายบอกไว้แล้วว่าให้พวกเราเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีแต่ละอย่างของใต้หล้าไพศาลไปช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน แต่ก็ต้องตั้งใจจดจำเอาไว้ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ล้วนต้องมองดูให้มาก มองแล้วยังต้องคิดให้มากด้วยว่าเพราะอะไร ช่วงท้ายของจดหมายยังกำชับพวกเราว่าจะต้องตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี รอให้ขอบเขตสูงแล้ว อย่างน้อยที่สุดคือสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ค่อยไปใช้เหตุผลกับคนอื่น”

จากนั้นจวี่สิงก็ชำเลืองตามองแม่นางน้อยที่ถือไม้เท้าเดินป่ายืนอยู่ด้านข้าง แล้วยิ้มเอ่ยกับอาจารย์ว่า “ในจดหมายใต้เท้าอิ่นกวานสั่งสอนข้าค่อนข้างมาก แต่เฉามู่กลับไม่ใช่ เขาเขียนแค่ไม่กี่ประโยคเหมือนเต้าหู้ก้อนเล็กๆ ก้อนเดียว ดูท่าแล้วใต้เท้าอิ่นกวานก็คงรู้ว่านางไม่มีทางได้ดิบได้ดี อาจารย์ท่านวางใจเถอะ มีแค่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”

แม่นางน้อยยู่หน้าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาคลอเจียนจะหยด อยากร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าร้อง ท่าทางน่าสงสารนัก

จวี่สิงเห็นท่าทางของเฉามู่แล้วก็ให้รู้สึกเสียใจภายหลังอย่างที่หาได้ยาก อันที่จริงตอนอยู่นครโถวหนีพี่หญิงเผยเคยมาพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว บอกว่าวันหน้าอย่าเอาแต่ตีหน้าเคร่งใส่เฉามู่ เพราะเฉามู่คือแม่นางน้อย ส่วนเจ้าคือเด็กผู้ชาย รังแกนางไม่ถือเป็นความสามารถ พวกเจ้าทั้งเป็นคนบ้านเดียวกัน แล้วยังเป็นคนร่วมสำนัก นับว่ามีวาสนาต่อกันซึ่งหาได้ยากมากแล้ว ดังนั้นเจ้าควรปกป้องนางให้มาก อย่างน้อยที่สุดก็ห้ามปล่อยให้นางถูกคนนอกรังแก

จวี่สิงรู้สึกว่าคำพูดของพี่หญิงเผยมีเหตุผลมาก จึงตบอกรับรองกับนางไป เพียงแต่ว่าบางครั้งเขาก็อดพูดเหน็บแนมเฉามู่สองสามคำไม่ไหวจริงๆ นี่นา

อีกอย่างตนก็ไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย เฮ้อ น่าเสียดายที่ไม่มีคนนอกที่ไหนมารังแกเจ้าเด็กโง่เฉามู่ผู้นี้ อาจารย์ช่างดียิ่งนัก อยู่ในธวัลทวีปไม่เคยมีศัตรูคนใด เรื่องนี้ก็ทำให้ศิษย์กลัดกลุ้มใจเหลือเกิน

บนลานกว้าง เผยเฉียนถูกหลิ่วซุ่ยอวี๋ถองศอกเข้าที่ใบหน้า ร่างหงายผลึ่งลงพื้นดังปัง แต่นางรีบยกสองมือขึ้นมาป้องกันปลายเท้าที่เหวี่ยงเข้ามาตรงหัวใจอย่างฉับไว

หากถูกลูกถีบนี้เข้า การถามหมัดก็คงจะต้องยุติลงแล้ว

ร่างทั้งร่างของเผยเฉียนไถลครูดไปบนพื้นไกลหลายสิบจั้ง

เพิ่งจะใช้ฝ่ามือตบพื้นพลิ้วกายลุกขึ้นยืน หลิ่วซุ่ยอวี๋ที่เป็นเหมือนเงาตามติดก็ตีเข่าเข้าที่หน้าอกของนาง

หญิงสาวเรือนกายผอมเพรียวกระเด็นลิ่วไปพร้อมเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ก่อนจะร่วงกระแทกลงกับพื้น

ยามที่สองเท้าของหลิ่วซุ่ยอวี๋สัมผัสพื้น นางก็พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ

ออกหมัดขอบเขตเก้าติดต่อกันหลายหมัด แม้ว่าไม่ได้ใช้พละกำลังของขอบเขตยอดเขาในทุกหมัด แต่ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธกลับประคองตัวได้เพียงเท่านี้

หลิวโยวโจวรู้สึกว่าการถามหมัดในวันนี้น่าจะพอถือว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็สาสมใจกันแล้ว เขาเห็นหญิงสาวที่ลุกขึ้นยืน ถ่มเลือดลงบนพื้น แต่นางกลับตั้งท่าหมัดขึ้นมาอีกครั้ง ดูจากท่าทางนางแล้ว เหมือนไม่รู้สึกรู้สากับอาการบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย อยู่ดีๆ ก็ทำให้เขานึกถึงซากปรักสนามรบโบราณของเกราะทองทวีปในปีนั้นขึ้นมา ตอนที่อวี้เจวี้ยนฟูถามหมัดต่อเฉาสือก็เป็นเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ เพียงแต่ว่าก็มีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน แต่หากจะให้บอกว่าไม่เหมือนกันตรงไหน หลิวโยวโจวไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธจึงอธิบายไม่ถูก หรือจะเป็นเพราะอวี้เจวี้ยนฟูรู้ตัวดีว่าตนสู้คู่ต่อสู้ไม่ได้?

ทว่าหญิงสาวตรงหน้าเขาซึ่งประหลาดอย่างถึงที่สุดคนนี้กลับไม่แน่เสมอไปที่จะคิดว่าตัวเองสู้ท่านน้าหลิ่วไม่ได้? แต่ยิ่งเจ้าเป็นเช่นนี้ ด้วยนิสัยคลั่งใคล้ในวรยุทธของท่านน้าหลิ่ว ก็มีแต่จะยิ่งทำให้นางออกหมัดหนักกว่าเดิม

หลิวโยวโจวรู้สึกทนมองต่อไปไม่ไหว จึงหันไปชำเลืองตามองขลุ่ยไม้ไผ่ในมือของเพ่ยอาเซียง ถามว่า “อาเซียง ไม้ไผ่บรรพบุรุษที่อยู่บนภูเขาชิงเสินพวกนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ออกจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่มาน้อยมากๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นฮูหยินท่านนั้นที่มอบให้คนอื่นกับมือตัวเอง ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลซึ่งรวมสวนกงหลินของศาลบุ๋นไว้ด้วยแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีอยู่แค่ประมาณสี่ห้าจุดเท่านั้น ไม่พูดถึงไผ่เขียวธรรมดาของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ชิ้นงานที่ทำจากไม้ไผ่บรรพบุรุษทุกชิ้นล้วนมีการลงบันทึกไว้ในจวนเทพภูเขาอย่างแม่นยำ แต่ดูเหมือนว่าขลุ่ยไม้ไผ่เลานี้ของเจ้าจะไม่มีการบันทึกไว้ เรื่องเป็นมาอย่างไรหรือ? ก่อนหน้านี้ข้าถามท่านน้าหลิ่ว แต่ท่านน้าหลิ่วกลับเอาแต่บอกว่าไม่รู้”

เพ่ยอาเซียงได้ยินคำถามนี้สีหน้าก็เหยเกไปเล็กน้อย เขาส่ายหน้า หมุนขลุ่ยไม้ไผ่ในมือเล่นเบาๆ ไข่มุกสีออกเหลืองที่ห้อยย้อยจากพู่เม็ดนั้นกระทบตัวไม้ไผ่ส่งเสียงดังเสนาะหู เพ่ยอาเซียงยิ้มกล่าว “เรื่องในอดีตไม่อยากพูดถึง”

หลิวโยวโจวไม่กลัวเรื่องนี้มากที่สุด รีบกดเสียงลงต่ำทันที “เงินจ้างผู้ถวายงานช่วงสิบปีล่าสุดนี้จะเพิ่มอีกเท่าตัว”

เพ่ยอาเซียงชูสองนิ้ว

หลิวโยวโจวปัดนิ้วของเพ่ยอาเซียงทิ้งไป ยิ้มกล่าว “อาเซียงเป็นคนทำอะไรรวดเร็วฉับไวจริงๆ ตกลง!”

เพ่ยอาเซียงถึงได้เอ่ยว่า “เคยได้ยินชื่อเจ้าตะพาบนามว่าอาเหลียงหรือไม่?”

หลิวโยวโจวพยักหน้ารับ “อาเซียงเจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน ชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโสท่านนั้นประหนึ่งฟ้าผ่าอยู่ข้างหูเชียวนะ อีกอย่างอาหญิงของข้าก็คิดถึงคำนึงหาบุรุษคนนั้นมาโดยตลอด คนทั้งธวัลทวีปมีใครบ้างที่ไม่รู้เรื่องนี้? หนึ่งหมัดต่อยให้ลำน้ำใหญ่ของแผ่นดินกลางขาดสะบั้น แล้วยังเคยยกขุนเขาบรรพบุรุษของสำนักอักษรจงแห่งหนึ่งย้ายไปไกลหลายสิบลี้ เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ข้านับถือเขามากที่สุด ได้ยินมาว่าก่อนเขาจะต่อสู้กับใครมักจะชอบท่องบทกวีก่อนหนึ่งบท ข้าเลื่อมใสเขาเรื่องนี้ที่สุดเลย เขาแต่งตั้งตัวเองให้เป็น ‘ผีเสื้อน้อยเสเพลในหมู่มวลบุปผา พี่ชายรูปงามของละแวกใกล้เคียง’ ในสายตาของข้า นี่ต้องไม่ใช่ฉายาที่เลื่อนลอยอย่างแน่นอน เทพธิดาที่หลงรักชื่นชมเขามีมากมายจริงๆ”

หลิ่วหมัวมัวฟังด้วยความกังวลใจ

ขออย่าให้นายน้อยของตนเอาอย่างบุรุษผู้นั้นเลย

เพ่ยอาเซียงยกนิ้วชี้ไปที่ขลุ่ยไม้ไผ่เลานั้น “ถูกคนผู้นั้นซ้อมไปรอบหนึ่ง หลังจบเรื่องก็ชดใช้ให้ด้วยของสิ่งนี้”

หลิวโยวโจวเรื่องไหนไม่พูดดันพูดเรื่องที่แทงใจคน “พวกเจ้ากี่คนรุมหาเรื่องเขาคนเดียว?”

เพ่ยอาเซียงเอ่ยอย่างระอาใจ “ห้าหกคนกระมัง”

หลิวโยวโจวตบไหล่เขาเบาๆ “อาเซียงเจ้าใช้ได้เลยนี่นา หากเรื่องนี้เล่าลือกันไปก็มีหน้ามีตาแล้ว”

เพ่ยอาเซียงยิ้มกล่าว “ก็จริงนะ”

ไม่น่าอายเลยจริงๆ เพราะถึงอย่างไรก็เคยมีคนสิบคนบนภูเขาล้อมฆ่าคนคนเดียว ผลกลับกลายเป็นว่ามีเพียงคนเดียวที่หนีรอดไปได้

อันที่จริงตอนที่อยู่ในใต้หล้าไพศาล เวทกระบี่ของคนผู้นั้นไม่ถือว่าโดดเด่น เป็นเพราะตอนหลังไปหาประสบการณ์อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ร้อยปี ใช้กระบี่สังหารปีศาจใหญ่ยอดเขาของขอบเขตบินทะยานได้ คนของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ถูกเขาสร้างหายนะให้จนชินแล้ว ถึงได้พลันกระจ่างแจ้งว่า ที่แท้เจ้าชาติสุนัขผู้นั้นก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้ เมื่อก่อนยังเป็นเพราะเขาลงมือแบบออมกำลัง ซ่อนฝีมือที่แท้จริงเอาไว้ ส่วนเรื่องที่ภายหลังคนผู้นี้บินทะยานออกจากใต้หล้าไพศาลไปยังฟ้านอกฟ้า สุดท้ายแลกหมัดกับเต๋าเหล่าเอ้อ ‘ผู้ไร้พ่ายที่แท้จริง’ แห่งป๋ายอวี้จิง ต่างฝ่ายต่างต่อยให้อีกฝ่ายกลับมายังใต้หล้าบ้านเกิดของตัวเอง ก็ยิ่งทำให้คนอ้าปากค้างได้เลย

อยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกับคนวัยเดียวกันบางคน ดูเหมือนว่าจะทั้งมีค่าพอให้รู้สึกเป็นเกียรติ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้ารันทดไปด้วย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!