กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 706

ไปถึงภูเขาจื่อฝู่ เติ้งเหลียงก็ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปในนครบินทะยาน

ถึงอย่างไรเขาก็ต้องรอให้ประตูเปิดใหม่อีกครั้งในอีกร้อยปีให้หลังถึงจะสามารถไปจากใต้หล้าแห่งใหม่ที่ยังไม่มีแม้แต่ชื่อแห่งนี้ได้

เติ้งเหลียงยังไม่ถึงขั้นเพ้อเจ้อคิดไปว่าตนจะสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้ติดต่อกันสองขั้น กลายเป็นขอบเขตบินทะยานภายในเวลาร้อยปี

โชคดีที่ยังมีชื่อปีรัชศก

ว่ากันว่าเวลา น้ำหนัก สองอย่างนี้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการกำหนดที่แน่ชัด

พอฉีโซ่วได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตระหนักถึงความหมายของทั้งสองเรื่องนี้

เติ้งเหลียงเองก็ไม่ปิดบัง บอกกับฉีโซ่วไปตามตรงว่าจะดูแคลนสองเรื่องนี้ไม่ได้ เรื่องหนึ่งจะเกี่ยวพันไปถึงการแสดงออกของมหามรรคาตามฤดูกาลและปฏิทิน ส่วนอีกเรื่องหนึ่งจะช่วยตัดสินการคิดคำนวณการชั่งน้ำหนักของหมื่นสรรพสิ่งบนโลก

ส่วนกระแสคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวอย่างลับๆ ระหว่างสิงกวาน อิ่นกวานและคลังสมบัติเฉวียนฝู่สามฝ่ายในนครบินทะยาน เติ้งเหลียงครุ่นคิดเล็กน้อยก็พอจะเดาออกได้คร่าวๆ แล้ว

เพราะถึงอย่างไรหากจะพูดถึงเรื่องกิจธุระในสำนักและภูเขามากมายที่ตั้งเรียงรายแล้ว เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของใต้หล้าไพศาลย่อมคุ้นเคยเชี่ยวชาญกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มากนัก

เติ้งเหลียงยิ่งไม่คิดจะเป็นฝ่ายเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

ดังนั้นเติ้งเหลียงจึงติดตามฉีโซ่วไปที่นครบินทะยาน ไม่ได้ไปเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานเหมือนเดิม แต่ทำหน้าที่เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อคนแรกในประวัติศาสตร์ของนครบินทะยานแทน

จากนั้นเติ้งเหลียงก็ไปพบต่งปู้เต๋อ แม่นางที่ทำให้เติ้งเหลียงเข้าใจว่าตนได้แต่ปรารถนามิอาจได้นางมาครอบครอง

ตอนนั้นต่งปู้เต๋อเพิ่งกลับมาถึงนครบินทะยาน จึงไปดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้าง เติ้งเหลียงเดินไปบนถนนใหญ่ที่ไม่ได้แปลกใหม่สำหรับเขา ค้นพบว่าร้านที่ไม่มีเถ้าแก่รอง กิจการกลับยังคงไม่เลว แต่ตัวแทนเถ้าแก่กลับเป็นชายฉกรรจ์ต่างถิ่นหลังค่อมคนหนึ่ง เวลานี้กำลังดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับแม่นางต่ง หลัวเจินอี้กับกวอจู๋จิ่วก็อยู่ด้วย พวกเขานั่งบนม้านั่งยาวคนละตัวพอดี มิน่าเล่าบุรุษแซ่เจิ้งที่เป็นเถ้าแก่คนนั้นถึงได้มีรอยยิ้มเต็มใบหน้า กำลังโม้น้ำลายแตกฟองถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของแจกันสมบัติทวีป ตอนที่เติ้งเหลียงนั่งลง บุรุษคนนั้นกำลังเล่าถึงเรื่องในอดีตของถ้ำสวรรค์หลีจูและของอิ่นกวานหนุ่ม

ไม่มีใครเกรงใจกับเติ้งเหลียง หลังจากทักทายกันเรียบร้อยแล้วก็ไม่ได้พูดคุยปราศรัยตามมารยาทอะไร เติ้งเหลียงบอกมาคำหนึ่งว่าในที่สุดก็ฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว อย่างมากสุดหลัวเจินอี้ก็แค่เอ่ยแสดงความยินดีหนึ่งคำ กวอจู๋จิ่วปรบมือหนึ่งที ต่งปู้เต๋อถึงขั้นคร้านจะเอ่ยอะไรสักคำด้วยซ้ำ

เติ้งเหลียงกลับชอบบรรยากาศที่คุ้นเคยเช่นนี้อย่างมาก เพราะไม่มีใครเห็นเขาเป็นคนนอก

กวอจู๋จิ่วคอยรินเหล้าให้เจิ้งต้าเฟิงอยู่ตลอดเวลา

เจิ้งต้าเฟิงจึงเล่าเรื่องเล่าเล็กๆ ที่เฉินผิงอันเคยส่งจดหมายหนึ่งฉบับแล้วได้เงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญให้นางฟัง

ต่งปู้เต๋อมาที่นี่ก็เพื่อดื่มเหล้าแก้กลุ้ม จึงปล่อยให้เจิ้งต้าเฟิงพูดเหลวไหลไปส่งเดช แต่กวอจู๋จิ่วกลับตื้อขอให้เจิ้งต้าเฟิงเล่าเรื่องอาจารย์พ่อของนางมากๆ หน่อย

ส่วนหลัวเจินอี้ก็แค่รับฟังเฉยๆ ดื่มเหล้าเป็นบางครั้ง ไม่ได้เอ่ยอะไร

กวอจู๋จิ่วฟังเจิ้งต้าเฟิงพูดถึงอาจารย์พ่อของนาง ตอนเป็นเด็กหนุ่มทุกวันอาจารย์พ่อจะต้องวิ่งไปกลับระหว่างถนนฝูลวี่ ตรอกเถาเย่และประตูใหญ่ที่เป็นรั้วไม้ จากนั้นก็ได้เจอกับหนิงเหยาที่นั่นเป็นครั้งแรก

ส่วนเถ้าแก่เจิ้งที่หล่อเหลาสง่างามดื่มเหล้าเก่งผู้นั้น แน่นอนว่าก็คือพยานรักให้กับคนทั้งสอง

กวอจู๋จิ่วรู้สึกเพียงว่าตัวเองได้ฟังเรื่องเล่าที่สนุกน่าสนใจที่สุดในใต้หล้า จึงใช้หมัดทุบฝ่ามือเอ่ยว่า “ไม่ต้องคิดแล้ว ครั้งแรกที่เห็นอาจารย์แม่ อาจารย์พ่อของข้าก็ต้องแน่ใจแล้วว่าอาจารย์แม่คืออาจารย์แม่!”

เรื่องพวกนี้ในอดีตอาจารย์พ่อไม่เคยพูดถึง อาจารย์แม่เองก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้าเอ่ยว่า “นั่นสิ นั่นสิ ตอนนั้นอาจารย์พ่อของเจ้าลวี่ตวน อันที่จริงเป็นคนโชกโชนมาก รู้ถึงความต่างของสตรีที่เรียนวรยุทธกับไม่เรียนวรยุทธมาตั้งแต่แรกแล้ว พูดเสียจนข้าในตอนนั้นอึ้งเป็นไก่ตาแตก ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะคืนสติ ไม่ต้องแปลกใจเลย เด็กที่ยากจนมักจะดูแลครอบครัวได้เร็ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เข้าใจไปหมด”

กวอจู๋จิ่วเอียงศีรษะน้อยๆ ขมวดคิ้วมุ่น เหตุใดคำพูดประโยคนี้ของเถ้าแก่เจิ้งฟังแล้วแปร่งๆ ล่ะ?

หลัวเจินอี้ตกตะลึงไปเล็กน้อย นางก้มหน้าดื่มเหล้าอึกหนึ่งเงียบๆ ยังคงไม่เอ่ยอะไร

เจิ้งต้าเฟิงกระแอมหนึ่งที บอกว่าข้าจะเล่าเรื่องตรอกหนีผิงให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน ที่นั่นเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคล นอกจากเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วของพวกเราแล้ว ยังมีพญามารในร่างคนคนหนึ่งชื่อว่ากู้ช่าน รวมไปถึงเซียนกระบี่คนหนึ่งชื่อว่าเฉาซี บ้านบรรพบุรุษของทั้งสามตระกูลต่างก็ไปรวมกันอยู่ในตรอกแห่งนั้น พูดมาถึงตรงนี้ เจิ้งต้าเฟิงก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ดูเหมือนว่าตอนอยู่ในใต้หล้าไพศาล พูดเรื่องนี้สามารถข่มขู่คนได้ มีเพียงคุยเรื่องนี้กับผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่มีความหมายใดๆ

กวอจู๋จิ่วฟุบตัวลงบนโต๊ะ พลันเอ่ยขึ้นมาว่า “หลายปีเหล่านั้น อาจารย์พ่อเดินไปเดินมาอยู่ในตรอกหนีผิงเพียงลำพัง ออกจากบ้านบรรพบุรุษคนเดียว กลับบ้านก็ยังต้องอยู่ตัวคนเดียว อาจารย์พ่อต้องเหงามากเลยใช่หรือไม่”

เจิ้งต้าเฟิงนวดคลึงปลายคาง พยักหน้าเอ่ยว่า “คาดว่าก็คงมีอยู่บ้าง เอาเป็นว่าทุกครั้งที่อาจารย์พ่อของเจ้าออกเดินทางไกลแล้วกลับมายังบ้านเกิดก็จะต้องไปนั่งอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงครู่หนึ่งเสมอ”

กวอจู๋จิ่วเอ่ยเสียงต่ำ “เถ้าแก่เจิ้ง ตอนที่อาจารย์พ่อของข้าเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ ไม่อาจจินตนาการได้เลยจริงๆ แล้วตอนที่ยังเป็นเด็ก ข้าก็ยิ่งคิดภาพไม่ออกเลย”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “วันๆ เอาแต่ตากแดดตากลม ตัวผอมดำ แล้วยังไม่สูง เลยไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย ตอนที่เด็กกว่านั้น…นอกจากสวมรองเท้าสานเหมือนกันแล้ว ก็น่าจะไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กหนุ่มสักเท่าไร”

กวอจู๋จิ่วเกาหัว ฟุบตัวนอนคว่ำบนโต๊ะต่อ สายตาจับจ้องมองถ้วยเหล้าขาวเบื้องหน้าตน “ข้ายังนึกว่าสวบทีเดียวอาจารย์พ่อก็เปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มแล้ว พอสวบอีกทีก็กลายเป็นอาจารย์พ่อคนที่ข้าคุ้นเคย”

เจิ้งต้าเฟิงจิบเหล้าหนึ่งอึก แล้วไม่เอ่ยอะไรอีก

เติ้งเหลียงพลันเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้มีคนประเมินสิบคนรุ่นเยาว์ในหลายใต้หล้าออกมา แต่กลับจัดอันดับ ‘อิ่นกวาน’ ที่ไม่บอกชื่อแซ่ไว้ในอันดับที่สิบเอ็ด อย่างน้อยที่สุดก็บอกว่าใต้เท้าอิ่นกวานยังอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกทั้งยังเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา แล้วยังได้เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองด้วย”

กวอจู๋จิ่วพลันลุกพรวดขึ้นนั่ง “จริงหรือ?!”

เติ้งเหลียงพยักหน้า ยิ้มเอ่ย “จริงแท้แน่นอน”

เติ้งเหลียงชำเลืองตามองหลัวเจินอี้

ต่งปู้เต๋อถลึงตาใส่เติ้งเหลียงที่ไม่ได้มีเจตนาดี

เติ้งเหลียงดื่มเหล้าลงโทษตัวเองหนึ่งชาม ผลคือกระทั่งหลัวเจินอี้ก็ยังไม่ทำสีหน้าดีๆ ให้เขาเห็น

เติ้งเหลียงจึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อไปพูดเรื่องอื่น ถามว่า “เซียนกระบี่หนิงไม่ได้กลับมาในนครเลยหรือ?”

กวอจู๋จิ่วถอนหายใจหนึ่งที “ช่วยไม่ได้ อาจารย์แม่ย่อมต้องคิดถึงอาจารย์พ่อมากกว่าใคร แต่กลับไม่กล้าที่จะดื่มเหล้าดับทุกข์ต่อหน้าพวกเรา เลยได้แต่หนีไปอยู่ไกลๆ เพียงลำพัง จากนั้นก็คิดถึงอาจารย์พ่ออย่างเต็มที่ในสถานที่ที่ไม่มีใครมองเห็น เฮ้อ หากอาจารย์แม่พาข้าไปด้วยก็ดีน่ะสิ ยังสามารถยืมชายแขนเสื้อข้าเช็ดน้ำตาได้…”

กวอจู๋จิ่วพลันถูกคนผู้หนึ่งกดหัว หน้าผากจึงแนบติดกับพื้นโต๊ะ

กวอจู๋จิ่วที่หัวแนบติดโต๊ะจึงได้แต่หัวเราะฮ่าๆ ก่อน จากนั้นค่อยพูดอย่างกระตือรือร้นด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “อาจารย์แม่ อาจารย์แม่…ท่านกลับมาได้อย่างไร ไม่เห็นขี่กระบี่จนเกิดเสียงฟ้าผ่าดังเป็นระลอกอยู่บนแผ่นฟ้าเลย ข้าไม่มีโอกาสได้ตีฆ้องตีกลองป่าวประกาศแก่คนใต้หล้าเลยนะ ทุกวันนี้อาจารย์แม่เป็นเซียนเหรินเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าของพวกเราเชียว…”

หนิงเหยากดมือลงแรงๆ อีกสองที ศีรษะเล็กๆ ของกวอจู๋จิ่วกระแทกดังโป้กๆ หนิงเหยาถึงได้คลายมือออก ก่อนจะนั่งลงได้หันไปเอ่ยเรียกเจิ้งต้าเฟิงว่าท่านอาเจิ้งก่อนคำหนึ่ง จากนั้นค่อยทักทายเติ้งเหลียง

นี่เป็นครั้งแรกที่เจิ้งต้าเฟิงได้พบกับหนิงเหยาอีกครั้งหลังจากกันที่ถ้ำสวรรค์หลีจูในปีนั้น เด็กหนุ่มไม่ใช่เด็กหนุ่มมาหลายปีแล้ว เด็กสาวในอดีตก็กลายเป็นขอบเขตเซียนเหรินที่น่าตะลึงพรึงเพริดแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!