กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 708

สิ่งที่กู้เจี้ยนหลงพูดคือการพูดไปตามสถานการณ์ แต่เจ้าคนนอกประตูกลับอคติต่อตัวบุคคล อีกทั้งยังพุ่งเป้าโจมตีมายังผู้ฝึกกระบี่สายคฤหาสน์หลบร้อนเก่าทั้งสายด้วย

เรื่องใหญ่ของบ้านเมือง คุณธรรมประจำบุคคล ดีเลว คุณความชอบความผิดพลาด ความถูกความผิด เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเพียงใด หากถูกคนไม่ถูกเรื่อง จะอธิบายหลักการเหตุผลบางข้ออย่างชัดเจนได้อย่างไร

หนิงเหยาเห็นทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครเปิดปากพูด ก็เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “คนที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ได้ ขอบเขตไม่ต้องสูงก็ได้ แต่สมองจะโง่เง่าเกินไปไม่ได้ ทุกวันนี้นครบินทะยานมีคนน้อยนิดเพียงแค่นี้ พื้นที่โดยรอบมีแค่พันลี้ก็มีอุปสรรคมากมายขนาดนี้แล้ว ดังนั้นคิดจะใช้วิธีของพวกคนในราชสำนักล่างภูเขาจึงยังเร็วเกินไป การประชุมในศาลบรรพจารย์มีกฎเพียงข้อเดียว นั่นคือพุ่งเป้าไปที่เรื่องราวไม่พุ่งเป้าไปที่ตัวบุคคล ผู้ที่ชอบพุ่งเป้าไปที่คนไม่พุ่งเป้าไปที่เรื่องราว ก็อย่ามายึดตำแหน่งที่นี่ให้เปล่าประโยชน์”

จากนั้นหนิงเหยาก็มองไปทางฉีโซ่ว ถามว่า “คนผู้นี้ได้ใครในสายสิงกวานเป็นคนแนะนำและคนรับรอง?”

ฉีโซ่วบอกชื่อไปสองชื่อ

ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสองคนที่ถูกขานชื่อรีบลุกขึ้นยืนในศาลบรรพจารย์ทันที

หนิงเหยาหันไปพูดกับสวีหนิง “บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ แล้วค่อยไปเปิดดูเอกสารของคนที่อยู่นอกประตูผู้นั้นอีกที”

สวีหนิงลุกขึ้นรับคำสั่งแล้วนั่งลงอีกครั้ง

หนิงเหยาเอ่ยเนิบช้า “แม้แต่สายของอิ่นกวานเอง วันหน้าแม้แต่กู้เจี้ยนหลงก็ด้วย ทุกคนเวลาพูดเรื่องอะไรต้องระวังกันให้มาก เมื่อก่อนการประชุมในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอบเขตหยกดิบทั่วไปยังไม่มีคุณสมบัติจะโผล่หน้ามาด้วยซ้ำ ต้องเป็นขอบเขตเซียนเหรินถึงจะปรากฏตัวได้ และมีเพียงเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเท่านั้นที่ถึงจะเปิดปากพูดได้”

กู้เจี้ยนหลงรีบพยักหน้ารับทันที “ทราบแล้ว ข้าจะระวังให้มาก”

หนิงเหยาหันไปมองทางนอกประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ “ยังไม่ทันถึงเจ็ดปี แต่ละคนก็ใจใหญ่กว่าแผ่นฟ้ากันแล้วหรือ?”

บรรยากาศเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด

เติ้งเหลียงได้แต่ลุกขึ้นยืน อธิบายว่า “หากพวกเรายังมองผู้ฝึกลมปราณทุกคนของนครบินทะยานที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เป็นศัตรูแฝง ถ้าอย่างนั้นสุดท้ายแล้วนครบินทะยานของพวกเราก็จะกลายเป็นพื้นที่โดดเดี่ยวของสำนักการทหารที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูรอบด้าน หากพวกเรายังมองผู้ฝึกลมปราณทุกคนในใต้หล้าเป็นดั่งหมอนปักลายบุปผาที่พลังพิฆาตต่ำต้อย ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องเสียเปรียบอย่างหนัก จะถูกกองกำลังอื่นใช้กลยุทธยุแยงภายในตีประกบภายนอก ไม่ช้าก็เร็วพวกเราจะค้นพบว่าการถามกระบี่กับคนอื่นไม่ได้อยู่ที่กระบี่อีกต่อไป มีแต่จะเกิดเรื่องไม่คาดคิดมากมาย กระทั่งร่างดับมรรคาสลาย”

เติ้งเหลียงเพิ่มน้ำหนักเสียงเอ่ยต่ออีกว่า “ในใจคิดอย่างไร มือทำอย่างไร เป็นเรื่องสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากผู้ฝึกกระบี่ของศาลบรรพจารย์พวกเราประมาทเช่นนี้จะไปพูดถึงผู้ฝึกกระบี่ฝ่ายนอกได้อย่างไร นี่จะไม่เป็นการทำตัวยโสโอหังมากไปหรอกหรือ? ชอบมองคนนอกทุกคนเหมือนหมูหมากาไก่ รู้สึกว่าชีวิตของคนอื่นไม่มีความสำคัญ ทุกคนที่ไม่ว่าจะควรฆ่าหรือไม่ควรฆ่าล้วนใช้กระบี่สังหารทิ้งทั้งหมด ถ้าอย่างนั้นข้าก็รู้สึกว่านครบินทะยานไม่ต้องไปช่วงชิงใต้หล้าอะไรแล้ว สามารถโชคดีหยัดยืนได้มั่นคงภายในเวลาร้อยปีก็ควรจุดธูปกราบไหว้ภาพแขวนในศาลบรรพจารย์ได้แล้ว ผู้ฝึกลมปราณใต้หล้าไพศาลเมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานแล้ว ขอบเขตไม่สูงพอ พลังพิฆาตไม่มากพอ แต่แล้วอย่างไรเล่า? การเข่นฆ่าบนภูเขามักวางแผนปัดแข้งปัดขา แผนการชั่วร้ายมีสารพัดรูปแบบ เส้นสายฝังไกลพันลี้ หยั่งรากลึกนานร้อยปี ดังนั้นถึงได้สามารถสังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอย คำพูดประโยคนี้ไม่ใช่ว่าข้าเติ้งเหลียงพูดยุแยงปลุกปั่นอย่างแน่นอน!”

สุดท้ายเติ้งเหลียงกุมหมัดเอ่ยว่า “หากเป็นสำนักแห่งอื่นในใต้หล้าไพศาล ผู้ถวายงานคนหนึ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นคนนอกครึ่งตัว คำพูดที่ล่วงเกินทุกคนเช่นนี้ อันที่จริงไม่ควรพูด การที่ข้ายังคงอดไม่ไหวพูดออกมาก็เพราะตำแหน่งที่เติ้งเหลียงได้ครอบครองมีค่าพอให้ข้ากล้าสาดน้ำเย็นใส่หน้าทุกคน!”

สุ่ยอวี้ผู้ฝึกกระบี่ของเรือนป้อจี้ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “รับคำสั่งสอนแล้ว”

เกาเหย่โหวเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนอย่างที่หาได้ยาก “ในใต้หล้าแห่งนี้ นครบินทะยานของพวกเราได้ครอบครองทั้งฟ้าอำนวย ดินอวยพรและคนสามัคคี ภายในเวลาหนึ่งร้อยปีในอนาคต ต่อให้ใจคนจะเป็นดั่งเม็ดทรายถาดหนึ่งที่กระจัดกระจาย แต่ก็จะไม่มีกองกำลังใดที่สามารถงัดข้อกับพวกเราได้ ทว่าหากคิดจะพัฒนาไปในระยะยาว ก็จะเป็นเหมือนอย่างที่ผู้ถวายงานเติ้งกล่าว เราจะต้องตั้งใจศึกษาข้อดีของผู้ฝึกลมปราณในใต้หล้าไพศาล เพื่อนำมาชดเชยข้อเสียของนครบินทะยานพวกเรา ถึงเวลานั้นพวกเราจะมีทั้งเวทกระบี่สูงส่งเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า แล้วก็จะยังมีวิธีการช่วงชิงอำนาจที่ไม่แพ้ให้กับใครที่ไหน นครบินทะยานถึงจะมีหวังได้ฮุบใต้หล้าแห่งนี้เพียงหนึ่งเดียว ไม่อย่างนั้นอีกร้อยปีให้หลัง ข้อเสียที่สั่งสมไว้ถูกเปิดเผยมาจนหมด แล้วค่อยเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง นั่นก็จะสายไปแล้ว เมื่อสถานการณ์ใหญ่ผ่านไป ต่อให้นครบินทะยานจะยังคงมีเซียนกระบี่มากที่สุดก็ยังช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี”

นี่คือการพูดคุยอย่างสุขุมรอบคอบและมีประสบการณ์

ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ต่างก็รู้สึกว่ามีเหตุผล

ฉีโซ่วเอ่ยคล้อยตามว่า “ผู้ฝึกกระบี่และใจคนจึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืนของนครบินทะยาน นอกจากนี้แล้ว ขอบเขตสูง พื้นที่อิทธิพลกว้างใหญ่ จำนวนคนมีมาก ล้วนเป็นเพียงข้อได้เปรียบบนหน้ากระดาษเท่านั้น”

เกาเหย่โหวพยักหน้ารับ “ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือกลุ่มอิทธิพลสามสายอย่างสิงกวาน อิ่นกวานและจวนเฉวียนฝู่ของนครบินทะยานจะต้องขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน ลดความสิ้นเปลืองที่ไม่จำเป็น สามสายนี้นอกจากต้องรู้อย่างชัดเจนว่าควรทำอะไรแล้ว นอกจากนี้พวกเรายังสามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถทำอะไรได้ ล้วนควรเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ชัดเจนในใจ”

คำพูดประโยคนี้อันที่จริงถือว่าสายจวนเฉวียนฝู่ของเกาเหย่โหว ‘พูดผดุงความเป็นธรรม’ แทนสายสิงกวานแล้ว

มองดูเหมือนไร้เหตุผล แต่แท้จริงแล้วกลับเหมาะสมอย่างยิ่ง

คาดว่านี่ก็คือภาพรวมที่เกาเหย่โหวพูดถึง

เกาเหย่โหวร่างคำพูดมาไว้ก่อนแล้ว เขาจึงเริ่มบรรยายถึงอำนาจหน้าที่และเส้นแบ่งระหว่างสามสาย

ระหว่างนี้มีเซ่อโจวของสายสิงกวานเสนอความคิดเห็นที่แตกต่าง ส่วนสายอิ่นกวานก็มีสวีหนิงกับหลัวเจินอี้ที่มีความเห็นต่างออกไป

เพียงแต่ว่ามีการโต้เถียงโดยใช้อารมณ์ก่อนหน้านี้ปูเป็นพื้นฐาน ผู้ฝึกกระบี่ของสามสายในเวลานี้จึงพูดคุยกันไปตามเหตุการณ์ ต่อให้จะมีการโต้เถียงกันบ้างก็ยังมีท่าทางผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด

สุดท้ายทั้งสามฝ่ายพูดคุยเรื่องนี้กันจนได้ข้อสรุป เหลือแค่รายละเอียดอีกบางส่วนที่ต้องขัดเกลากันต่อเท่านั้น

หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไรสักคำเดียว

เรื่องพวกนี้ยังคงเป็นพวกต่งปู้เต๋อ สวีหนิงที่จัดการได้ดีกว่า

ดังนั้นหนิงเหยาจึงคร้านจะพูดอะไรมาก

แต่ไหนแต่ไรมาหนิงเหยาก็ไม่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านอยู่แล้ว รอกระทั่งนางจำเป็นต้องเข้ามายุ่ง นั่นก็หมายความว่านครบินทะยานเกิดปัญหาที่ไม่เล็กขึ้นแล้ว

คำพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงของฉีโซ่วต่อจากนั้นไม่ต่างจากสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมาบนพื้นดินอย่างไม่ต้องสงสัย “นับแต่วันนี้ไป ความคิดของผู้ฝึกกระบี่นครบินทะยานที่อยากจะเหนือกว่าคนอื่นสามารถมีได้ แต่อย่าให้ชัดเจนเกินไปนัก ในศาลบรรพจารย์ คนที่ชอบใช้ขอบเขตสูงต่ำมาตัดสินเหตุผลเล็กใหญ่ก็ควรจะต้องเปลี่ยนนิสัยนี้สักหน่อย”

ทุกคนต่างพากันหันไปมองหนิงเหยาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา

เพราะคำพูดประโยคนี้ของฉีโซ่วคล้ายจะมีความนัยพุ่งไปที่นาง

คาดไม่ถึงว่าหนิงเหยาจะพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “วันหน้าหากผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานมีการกระทำที่ล้ำเส้นกฎเกณฑ์ใดๆ ก็ตาม สองสายอย่างสิงกวานและจวนเฉวียนฝู่ล้วนสามารถใช้กฎลงโทษโดยข้ามข้าไปได้โดยตรง อีกทั้งทุกครั้งที่มีการลงโทษ ต้องลงโทษสถานหนักอย่างเดียวเท่านั้น”

นี่ทำให้ทุกคนทั้งประหลาดใจ แล้วก็ทั้งโล่งอก

ที่น่าแปลกก็คือผู้ฝึกกระบี่ของสายอิ่นกวานทุกคนกลับมีสีหน้าราบเรียบ ไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่น้อย

หนิงเหยาเชื่อใจผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานทุกคน

นอกจากนี้ก็เพราะนางคิดถึงว่าเวลาสั้นๆ อีกไม่กี่ปี หรืออย่างมากสุดก็อีกแค่ไม่กี่สิบปี หากนางไม่ไปหาเขา ก็ต้องเป็นเขาที่มาที่นี่ ถึงเวลานั้นก็ให้เขามายุ่งวุ่นวายเอาเองแล้วกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!