เฉวียนฝู่ (จวนน้ำพุ) ฟังแค่ชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเป็นชื่อที่สุภาพไพเราะขนาดนี้
ฉีโซ่วเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเฉินผิงอันบนหัวกำแพงเมือง
แบ่งแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมอย่างชัดเจน อยู่บนสนามรบทั้งสองฝ่ายไม่ใช่สหายก็ยิ่งกว่าสหาย เฉินผิงอันยังเป็นฝ่ายทำการค้าใหญ่ครั้งหนึ่งกับฉีโซ่วก่อนด้วย
แต่นอกสนามรบ ต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเองมาทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดสะอิดสะเอียด แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องให้ตายกันไปข้าง
ส่วนลึกในใจของฉีโซ่วจำต้องยอมรับในข้อที่ว่า หากเจ้าหมอนั่นตามมาที่ใต้หล้าแห่งนี้ด้วย ตนต้องรู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าในทุกเรื่องแน่นอน แต่ก็ไม่อาจจะทำให้ตนมีปณิธานในการต่อสู้เพิ่มมาอีกส่วนหนึ่ง
อีกทั้งนอกจากรากฐานที่แน่นหนาอุดมสมบูรณ์ของตระกูลฉีแล้ว ถึงอย่างไรฉีถิงจี้บรรพบุรุษของตระกูลตนก็เป็นเซียนกระบี่เพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดของวิถีกระบี่ ต่อให้ตอนนี้ฉีถิงจี้จะอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล พกกระบี่สังหารปีศาจต่อไป แต่อันที่จริงสำหรับนครบินทะยานในตอนนี้แล้วกลับยังเป็นพลานุภาพสยบที่ยิ่งใหญ่มากอย่างหนึ่ง
ตำแหน่งของเติ้งเหลียงอยู่ติดกับประตูใหญ่ ดังนั้นจึงเป็นเพื่อนบ้านกับพวกเด็กๆ ที่ประสบการณ์ตื้นเขินที่สุด แต่กลับมีคุณสมบัติดีเยี่ยม
นี่ไม่ค่อยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์สักเท่าไร ในฐานะผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อเป็นคนแรกของนครบินทะยาน ไม่ว่าอย่างไรเก้าอี้ก็ควรจะได้อยู่ใกล้กับเกาเหย่โหว เหนี่ยนซิน
แต่เป็นเติ้งเหลียงเองที่ยืนกรานจะทำเช่นนี้
และนี่ก็เป็นเหตุให้เดิมทีเติ้งเหลียงที่อยู่ในนครบินทะยานก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่แย่กับผู้คนอยู่แล้ว กลายเป็นว่ายิ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
เขามีชาติกำเนิดมาจากภูเขาจิ่วตูสำนักใหญ่ของธวัลทวีป ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอด อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด เป็นเจ้าขุนเขาของยอดเขาซู่หรานแห่งภูเขาจิ่วตูที่พอย้อนกลับไปถึงบ้านเกิด ก็ได้ใช้สถานะของนักแต่งตำราแอบบันทึกชื่อเขาลงในตำราเขียวอย่างลับๆ นี่ยากยิ่งกว่าการกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์เสียอีก เพราะหากได้เลื่อนขั้นอยู่ในตำราเขียวตระกูลเซียนของภูเขาจิ่วตู ผู้ฝึกตนก็จะสามารถแบ่งเอาโชคชะตาขุนเขาสายน้ำส่วนหนึ่งไปจากสำนักได้
เติ้งเหลียงเคยเป็นคนของสายอิ่นกวานในอดีต ขณะเดียวกันก็สนิทสนมกับฉีโซ่วที่เป็นผู้นำสายสิงกวานด้วย
ดังนั้นเติ้งเหลียงจึงเลือกที่จะไม่เข้าพวกกับทั้งสองฝ่าย จงใจเว้นระยะห่างกับสายอิ่นกวาน นี่ถือเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดรู้จักกะน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม
เติ้งเหลียงมาที่นี่ก็เพื่อสามเรื่อง ฝึกกระบี่ฝ่าทะลุขอบเขตของตัวเอง หวังจะได้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่
มาพบต่งปู้เต๋อสตรีที่รัก ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก
นอกจากนี้ก็คือมาเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนครบินทะยานกับภูเขาจิ่วตู เติ้งเหลียงเองก็หวังว่าตัวเองจะสามารถทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้กับนครบินทะยานได้บ้าง รวมไปถึงพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เป็นดั่งน้ำกับไฟระหว่างผู้ฝึกกระบี่ของสายสิงกวานและสายอิ่นกวาน
ดังนั้นตำแหน่งที่นั่งของเติ้งเหลียงต้องไม่เอนเอียงไปหาฝ่ายใด คำพูดมากมายที่เขาจะใช้สถานะของผู้ถวายงานพูดออกมาจึงจะสามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานรับฟังอย่างแท้จริงได้
เขาเดินทางมาหาประสบการณ์ที่นครบินทะยานในครั้งนี้ได้นำทรัพยากรตระกูลเซียนที่มีเฉพาะในสำนักมาด้วยจำนวนหนึ่ง น้ำใจหนักของขวัญก็ไม่เบา แบ่งออกเป็นเหล้าสุ้ยต้านที่จักรพรรดิด้านล่างภูเขาชื่นชอบกันมากเป็นพิเศษ รวมไปถึงข้าวจ้งซือและยันต์เชวี่ยกุ่ย เติ้งเหลียงมาเยือนใต้หล้าแห่งที่ห้าครั้งนี้ได้พกวัตถุจื่อชื่อหนึ่งชิ้นและวัตถุฟางชุ่นหนึ่งชิ้นที่ทางสำนักมอบให้โดยเฉพาะมาด้วย ด้านในมีเหล้าหมักตระกูลเซียนที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นอยู่หกสิบไห ข้าวตระกูลเซียนที่มีชื่อว่าข้าวจ้งซือ เมล็ดข้าวเหมือนเมล็ดทับทิม สีแดงสดแวววาว รสชาติเหมือนกระจับ มีทั้งหมดแปดร้อยจิน เหมาะสำหรับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างนำมากินเป็นยามากที่สุด ฤทธิ์อ่อนโยน เป็นอาหารบำรุงอันดับหนึ่งของผู้ฝึกตนบนภูเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยันต์เชวี่ยกุ่ยสามร้อยแผ่นที่ยิ่งล้ำค่าหาได้ยาก ในธวัลทวีปยังได้รับการขนานนามว่าเป็นเส้นเอ็นเขียวตำราทอง วัสดุของยันต์ทำมาจากใบไม้ตระกูลเซียนชนิดหนึ่งที่มีเฉพาะบนภูเขาจิ่วตู หลังนำมาทำเป็นยันต์แล้ว ภายใต้แสงแดดแสงจันทร์สาดส่อง เส้นเอ็นเขียวจะมีประกายแสงสีทองไหลริน ยามที่แปะยันต์ลงไปหนึ่งแผ่นก็เหมือนมีเทพทวารบาลศักดิ์สิทธิ์มาเฝ้าบ้านเรือนให้
ทั้งหมดนี้ถูกเติ้งเหลียงนำไปมอบให้กับเฉวียนฝู่ทั้งหมด
หนิงเหยาปรากฏตัวอยู่นอกประตูใหญ่
เสียงพูดคุยเบาๆ ของคนมากมายในศาลบรรพจารย์พลันเงียบหายทันที
หลายปีที่ผ่านมานี้หนิงเหยาทั้งฝ่าทะลุขอบเขต ทั้งออกเดินทางไกลไปพร้อมๆ กันโดยไม่ถ่วงรั้งเรื่องใด
ระดับความเข้าใจที่นางมีต่อฟ้าดินแห่งนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทัดเทียมได้
หนิงเหยาไม่ได้นั่งลง แต่เดินไปจุดธูปให้กับภาพเหมือนของบรรพจารย์นครบินทะยาน
สิงกวานฉีโซ่ว เกาเหย่โหวแห่งเฉวียนฝู่ต่างก็ลุกขึ้นตามไปติดๆ
ธูปเก้าดอกของคนทั้งสามรับมาจากผู้ที่มีอายุมากที่สุดในศาลบรรพจารย์
นี่เป็นกฎข้อหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาใหม่เมื่อครั้งประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งแรกของนครบินทะยาน หนิงเหยาเป็นคนเสนอ ไม่มีใครเห็นต่าง
วันนี้คนที่รับผิดชอบส่งธูปคือหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดของสายสิงกวาน นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่าได้ส่งธูปให้กับคนทั้งสาม เขาถึงขั้นน้ำตาเอ่อคลอ
ก่อนหน้านี้ทุกปีที่นี่จะต้องมีการประชุมเกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง เพียงแต่อิ่นกวานหนิงเหยามักจะอยู่ด้านนอก นางไม่เผยกายมาจุดธูปก็ไม่ถือว่าเป็นการประชุมของนครบินทะยานที่แท้จริง
บวกกับการประชุมก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่เก้าอี้ของคนในศาลบรรพจารย์มักจะว่างโล่งถึงครึ่งหนึ่ง ทุกครั้งที่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคอยส่งธูปให้กับฉีโซ่ว เกาเหย่โหวจึงไม่เคยมีความรู้สึกอย่างในวันนี้
นอกจากคนทั้งสามที่เชิญธูปแล้ว สมาชิกคนอื่นในศาลบรรพจารย์ล้วนพากันลุกขึ้นยืน
หนิงเหยานั่งลงแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ฉีโซ่วจึงกล่าวว่า “เริ่มประชุมได้”
ครั้งนี้การประชุมของศาลบรรพจารย์เรียกระดมคนมาเป็นจำนวนมาก สายของสิงกวานที่ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดสองท่าน และโอสถทองสามคนอย่างพวกเซ่อโจว อันที่จริงล้วนค่อนข้างเป็นกังวลว่านับแต่วันนี้ไปศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยานจะกลายเป็นโถงคำเดียว (หมายถึงในห้องโถงมีแค่คนเดียวที่มีสิทธิ์มีเสียงพูดหรือตัดสินใจ เปรียบเปรยถึงผู้นำที่เผด็จการเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่)
การที่พวกเขากังวลเช่นนี้ก็ไม่ได้มาจากความเห็นแก่ตัวไปเสียทั้งหมด
ครั้งแรกที่หนิงเหยากลับเข้ามาในนครบินทะยาน นางเคยฟันฉีโซ่วไปหนึ่งกระบี่ นี่เป็นเรื่องที่คนรู้กันทั้งเมือง
ถ้าอย่างนั้นวันหน้าทุกครั้งที่สายอิ่นกวาน ‘ได้รับความอยุติธรรม’ ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ หนิงเหยาก็จะออกกระบี่เพื่อจบเรื่องอย่างฉับไวด้วยหรือไม่?
ไม่มีใครสงสัยในสถานะผู้นำแห่งนครของหนิงเหยา ถึงขั้นที่ไม่มีใครรู้สึกว่าหนิงเหยาเบียดบังส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เหตุผลนั้นเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด ไม่มีความจำเป็น หนิงเหยาไม่เห็นอำนาจพวกนี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย สำหรับหนิงเหยาที่สายตามองเห็นทัศนียภาพอันงดงามยิ่งใหญ่ของขอบเขตบินทะยานแล้วนั้น แม้แต่สิงกวานฉีโซ่วและเกาเหย่โหวเจ้าจวนเฉวียนฝู่เองก็ล้วนรู้อย่างชัดเจนดีว่า คิดจะกลายเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้าแห่งที่ห้าได้ นครบินทะยานจะขาดใครไปก็ได้ มีเพียงขาดหนิงเหยาไม่ได้
ทว่าหากนครบินทะยานคิดจะหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้าได้อย่างมั่นคง ถึงอย่างไรก็ไม่อาจอาศัยขอบเขตและเวทกระบี่ของหนิงเหยาเพียงคนเดียวมาคอยแก้ไขปัญหาทั้งหมดของนครบินทะยานได้
ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกกระบี่เฒ่ากลุ่มหนึ่งที่ก่อนจะมาที่นี่ได้นัดเจอกันเป็นการส่วนตัว ความหมายคร่าวๆ ของพวกเขาก็คือหวังว่าหนิงเหยาจะออกไปจากสายอิ่นกวานอย่างไร้ความอาวรณ์ กลายไปเป็นบุคคลที่ฐานะเหนือใคร หรือไม่ก็ให้ตรงไปตรงมายิ่งกว่านั้นอีกสักหน่อย นั่นคือกลายเป็นเฉินชิงตูคนที่สองไปเลย
ทุกเรื่องล้วนฟังคำเดียวของนาง แต่หากเป็นกิจธุระ เรื่องยิบย่อยทั่วไปในเวลาปกติของนครบินทะยาน ทางที่ดีที่สุดหนิงเหยาก็ไม่ควรสอดมือเข้าแทรก สามารถตั้งใจฝึกกระบี่เพียงอย่างเดียว เลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนแรกของใต้หล้าแห่งนี้ไปโดยตรง!
ผู้ถวายงานเติ้งเหลียงมองเห็นความคิดคร่าวๆ ของคนทั้งสามสายในนครบินทะยานทุกวันนี้ได้อย่างชัดเจนเพียงมองปราดเดียว
ถึงอย่างไรก็เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักใหญ่ของใต้หล้าไพศาล อีกทั้งในอดีตยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระมานานหลายปี
เติ้งเหลียงไม่คิดว่าความคิดที่ซับซ้อนหลากหลายพวกนี้จะต้องเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป ถึงขั้นรู้สึกว่านครบินทะยานในทุกวันนี้ หากไม่พูดถึงพลังการต่อสู้ กลับกลายเป็นว่าเมื่อเทียบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตแล้วยังมีชีวิตชีวามากกว่าเสียอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!