ต้นฤดูใบไม้ผลิปีศักราชเจียชุนที่เจ็ด
ศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยานจัดการประชุมอย่างเป็นทางการซึ่งลูกศิษย์ผู้สืบทอดทุกคนต้องมาเข้าร่วมประชุมเป็นครั้งที่สอง ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่ไม่ว่าจะอยู่ในนอกจวน หรือจะออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก ล้วนต้องกลับมาตามเวลาที่กำหนด
เวลาห่างจากครั้งแรกที่แขวนภาพเหมือนจุดธูปกราบไหว้มาหกปีแล้ว
ห้องโถงใหญ่ของศาลบรรพจารย์วางเก้าอี้ไว้ทั้งหมดสี่สิบเอ็ดตัว
มีเพียงด้านข้างโต๊ะเบื้องล่างภาพเหมือนเท่านั้นที่มีเพียงเก้าอี้ว่างเปล่าสองตัว
สายของสิงกวานนั่งอยู่ทางฝั่งซ้าย สายอิ่นกวานและสายคลังสมบัติเฉวียนฝู่สองสายนั่งอยู่ฝั่งขวา
คล้ายจะเป็นการคุมเชิงกันของสองฝ่าย
ฉีโซ่วผู้นำของสายสิงกวานเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบได้ไม่นาน
เก้าอี้ที่เรียงไปทางทิศใต้คือตำแหน่งของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดสองท่าน พวกเขาแบ่งออกเป็นคนจากตระกูลเล็กบนถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่ ในอดีตคือครอบครัวที่พึ่งพาสองตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเฉินและตระกูลน่าหลัน
ผู้เฒ่าสองคนมีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับฉีโซ่ว
จิตวิญญาณของพวกเขาทรุดโทรมมากแล้ว อย่างมากสุดก็มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ร้อยปี ดังนั้นจึงให้ความสนใจกับการแตกกิ่งก้านสาขาให้กับนครบินทะยานมากกว่า ยินดีที่จะถ่ายทอดวิชากระบี่ทั้งหมดของตัวเองให้แก่พวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์
นี่ก็เหมือนในวงการขุนนางโลกมนุษย์ ผู้เฒ่าที่ใกล้จะปลดประจำการ ส่วนใหญ่มักจะค่อนข้างตรงไปตรงมา กล้าพูดในเรื่องที่ไม่เคยพูดหรือไม่ก็กล้าทำในเรื่องที่ไม่เคยทำในอดีต
ภาพบรรยากาศของนครบินทะยานในวันนี้เปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบใหม่ การฝึกกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ไม่มีอคติของคนจากฝ่ายที่แตกต่างกันอีกแล้ว ก่อนหน้านี้สายอิ่นกวานของคฤหาสน์หลบร้อนได้เปิดเอกสารคดีและทำการจัดระเบียบบันทึกลับ ก่อนจะนำคาถาและคัมภีร์กระบี่ที่เซียนกระบี่หลายท่านทิ้งเอาไว้ซึ่งแต่เดิมมีพันธนาการแน่นหนาออกมามอบให้
เพียงแต่ว่าการฝึกตนบนภูเขาพิถีพิถันในเรื่องมรรคาไม่ถ่ายทอดให้ใครง่ายๆ วิชาคาถาก็ไม่สอนให้แก่ใครง่ายเกินไป จะเห็นเป็นจริงเป็นจังเกินไปไม่ได้ แต่จะไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังเลยก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์จึงจำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์ คุณความชอบรวมไปถึงระดับขั้นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นสายคร่าวๆ ของวิชาอภินิหารแห่งกระบี่บิน จากนั้นต้องผ่านการตรวจสอบร่วมกันจากสายสิงกวานและสายอิ่นกวาน ผู้ฝึกกระบี่ถึงจะสามารถมาอ่านเอกสารลับ ตำรากระบี่มากมายที่ระดับขั้นไม่เหมือนกันได้ แต่เมื่อเทียบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตแล้ว ธรณีประตูในเวลานี้ถือว่าต่ำกว่าเดิมมากๆ
ไม่เพียงเท่านี้ สายอิ่นกวานยังเอาวิชาหลอมปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่ผ่านการแก้ไขให้ดีขึ้นมาป่าวประกาศแก่ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในนครบินทะยาน ทุกคนล้วนสามารถฝึกได้
ว่ากันว่าสิบแปดหยุดแบบใหม่นี้ แรกเริ่มสุดผู้ถ่ายทอดคืออาเหลียง ในอดีตมีเพียงคนหนุ่มสาวจำนวนน้อยจนนับนิ้วได้ซึ่งมีหนิงเหยา เฉินซานชิว เตี๋ยจ้างเป็นหนึ่งในนั้นที่สามารถฝึกวิชานี้ได้
มีผู้ฝึกกระบี่ทยอยกันเดินข้ามธรณีประตูใหญ่เข้ามา แต่ละคนต่างนั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง
ทว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นใบหน้าของคนหนุ่มสาว อีกทั้งยังเป็นคนที่อายุน้อยอย่างแท้จริงด้วย
ผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยๆ เหล่านี้ ขอบเขตต่ำสุดก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร และยังมีตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีอีกหลายคนที่ถือเป็นข้อยกเว้น มีข่าวลือเล็กๆ บอกว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง แต่กลับยังไม่ใช่เซียนดินพวกนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นตัวเลือกสำรองของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน
ในศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยาน มีคนแก่อยู่น้อยมาก แต่กลับมีคนหนุ่มสาวอยู่มากมาย
นี่เป็นภาพเหตุการณ์ที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นในศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนแห่งใดก็ตามในใต้หล้าไพศาล
ยังเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งก้านธูปจากช่วงเวลาที่กำหนดไว้
ฉีโซ่วมานั่งลงเรียบร้อยแล้ว เขาเบี่ยงตัวหันข้างเล็กน้อย หันไปปรึกษากับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก่อกำเนิดคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกาย ทุกวันนี้ผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานกุมอำนาจใหญ่ที่สุดในนครบินทะยาน แต่ละวันจึงมีเรื่องให้ยุ่งวุ่นวายไม่ว่างเว้น ฉีโซ่วเองก็มักจะลงแรงทำงานด้วยตัวเอง การเลือกสถานที่ตั้งของภูเขาแปดแห่งรอบนครบินทะยาน การนำวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะไปจัดวาง การสร้างค่ายกลขุนเขาสายน้ำ ล้วนจำเป็นต้องให้ฉีโซ่วเป็นคนตัดสินใจ สามารถเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนท่ามกลางภาระงานที่ยุ่งเหยิงเช่นนี้ มากพอจะแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติอันน่าครั่นคร้ามของฉีโซ่วแล้ว
และตลอดหลายปีมานี้ฉีโซ่วก็ไม่เคยเอาแต่ฝึกกระบี่อย่างเดียวเพื่อจงใจไล่ตามขอบเขตหยกดิบ แต่กลับคอยง่วนทำงานวิ่งวุ่นให้กับนครบินทะยานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นี่ทำให้ฉีโซ่วได้ใจคนไปไม่น้อย
เนื่องจากหนิงเหยายังไม่ปรากฏตัว ดังนั้นบรรยากาศในศาลบรรพจารย์จึงนับว่าค่อนข้างผ่อนคลาย
เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ศาลบรรพจารย์ของนครบินทะยานนั้น หนิงเหยาคนเดียวก็สามารถครอบครองได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
กวอจู๋จิ่วเอาไม้เท้าเดินป่าวางพาดขวางไว้ระหว่างที่เท้าแขนเก้าอี้สองฝั่ง แกว่งขาสองข้างเบาๆ ข้างกายของนางคือสาวแก่ขึ้นคานกับคนที่พูดจาเป็นธรรม
กู้เจี้ยนหลงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ลวี่ตวน ทำไมหนิงเหยายังไม่เลื่อนเป็นบินทะยานสักทีล่ะ? บอกตามตรง ข้ารู้สึกผิดหวังนิดๆ แล้วนะ”
เกี่ยวกับคำเรียกขานของหนิงเหยา อันที่จริงคือปัญหายุ่งยากข้อใหญ่สำหรับสายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อนในอดีตมาโดยตลอด เรียกว่าใต้เท้าอิ่นกวาน ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมาะสม เรียกชื่ออีกฝ่ายตรงๆ ก็คล้ายว่าจะยิ่งไม่เหมาะเข้าไปใหญ่ เพราะถึงอย่างไรหนิงเหยาก็คือเซียนกระบี่ใหญ่ตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่งแล้ว แต่หากจะให้เรียกว่าเซียนกระบี่ใหญ่หนิงก็ดูจะห่างเหินกันเกินไปอีก โชคดีที่ก่อนหน้านี้หนิงเหยาเป็นคนเปิดปากพูดเองว่าให้เรียกชื่อนางตรงๆ ได้เลย สุดท้ายก็ไม่มีใครเกรงใจ แล้วก็ไม่กล้าเกรงใจกับหนิงเหยาด้วย แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานก็ไม่ใช่คนขี้เกรงใจอะไรกันอยู่แล้ว
กวอจู๋จิ่วใช้สองมือตบไม้เท้าเดินป่าสีเขียวเบาๆ ใช้เสียงในใจตอบกลับไปเช่นกัน นางหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง นี่เป็นการไว้หน้าที่อาจารย์แม่มีต่อผู้ฝึกกระบี่สายสิงกวานไงล่ะ”
ต่งปู้เต๋อพลันยกมือขึ้นตบเข้าที่ท้ายทอยของกวอจู๋จิ่ว
กวอจู๋จิ่วยกสองมือขึ้นแล้วปล่อยท่าหมัดส่งเดช ไหล่สองข้างสั่นไหว คล้ายกับว่านางต้องสลาย ‘ปณิธานหมัด’ ของต่งปู้เต๋อไปอย่างยากลำบาก จากนั้นก็เอ่ยอย่างมีโทสะว่า “พี่หญิงต่ง อะไรกัน ข้าไม่ได้พูดจาไม่ดีสักหน่อย ฟ้าดินเป็นพยานได้!”
ระหว่างร่องนิ้วของมือข้างหนึ่งของต่งปู้เต๋อกำลังพลิกตราประทับที่ทำมาจากวัสดุหยกซวงเจี้ยงอย่างคล่องแคล่ว นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คันมือ”
กวอจู๋จิ่วบ่นเสียงเบา “อิ่นกวานอาจารย์พ่อไม่อยู่ อิ่นกวานอาจารย์แม่ยังไม่มา ท่านก็เชิญรังแกข้าให้เต็มที่เลยเถอะ”
หวังซินสุ่ยพลันถามว่า “เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ แล้วยังมีพี่น้องคนดีทั้งสองอย่างเฉากุ่น เสวียนเซิน ยังจะถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานของพวกเราหรือไม่?”
กู้เจี้ยนหลงเหลือกตามองบน “เจ้าโง่หรือไง แค่ย้ายเก้าอี้มาวางเพิ่มสองสามตัวมันยากนักหรือ? บนทำเนียบคฤหาสน์หลบร้อนบ้านเราก็ยังมีชื่อพวกเราอยู่ไม่ใช่หรือไร?”
หวังซินสุ่ยพยักหน้า “มีเหตุผล มีเหตุผล”
คฤหาสน์หลบร้อนในอดีต กู้เจี้ยนหลง หวังซินสุ่ย เฉากุ่น เสวียนเซิน เรียกกันเป็นพี่เป็นน้องจากใจจริง ต่างคนต่างมองอีกฝ่ายเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน ดังนั้นต่งปู้เต๋อจึงเรียกพวกเขาว่าสุนัขรับใช้ใหญ่สี่ตัวลูกน้องอิ่นกวาน จากนั้นพวกเขาสี่คนรวมกันก็เท่ากับกวอจู๋จิ่วคนเดียว
หลัวเจินอี้รู้สึกเสียใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นครบินทะยานในทุกวันนี้ หลัวเจินอี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้อาวุโสของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างซ่งไฉ่อวิ๋น โจวเฉิง น่าหลันไฉ่ฮ่วน ฯลฯ ไม่เพียงแต่รูปโฉมงามล้ำ ยังถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องได้กลายเป็นเซียนกระบี่
คฤหาสน์หลบร้อนในปีนั้น เซียนกระบี่โฉวเหมียวยังอยู่ คนหนุ่มต่างถิ่นอย่างพวกหลินจวินปี้ ซ่งเกาหยวนก็ยังอยู่
ลำพังเพียงแค่นั่งดูหลินจวินปี้เล่นหมากล้อมกับเฉากุ่นหรือไม่ก็เสวียนเซิน ด้านหลังของทั้งสองฝ่ายจะต้องมีพวกคนที่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกยืนล้อมเป็นวงใหญ่ ทว่าแต่ละคนกลับชอบทำตัวเป็นแม่ทัพหัวสุนัขกันยิ่งนัก
ตอนนั้นไม่เคยรู้สึกว่าน่าสนใจ ตอนนี้พอลองมองย้อนกลับไป หลัวเจินอี้ถึงได้ค้นพบว่าที่แท้นั่นเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก
มีคนหนุ่มคนหนึ่งเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ วิชาหมากล้อมของเขาไม่สูง แต่กลับชอบให้คำแนะนำส่งเดชเป็นที่สุด ราวกับกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายพออย่างไรอย่างนั้น
หากพวกเฉากุ่น เสวียนเซินเอาชนะหลินจวินปี้ได้ ก็จะมีกวอจู๋จิ่วเป็นผู้นำสุนัขรับใช้ใหญ่ทั้งสี่ไปคุยโวให้เขาฟัง หากแพ้ คนผู้นั้นก็จะทิ้งประโยคหนึ่งที่พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยเหตุผลว่า โทษข้าหรือ? ไม่มีเหตุผลเลยนะ
ฟ่านต้าเช่อนั่งลงแล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เอ่ยพูดคำใด เขาคือผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานที่ท่านั่งดูเป็นการเป็นงานที่สุด แล้วก็เป็นคนที่เสียใจที่สุดเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!