พูดมาถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสหลงจวินก็ชำเลืองตามองเฉินผิงอันแล้วส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญว่า “หากคิดจะรังแกตัวเอง ปล่อยความคิดร้อยพันกระจายกองไว้บนกระดูกขาว จะได้อาศัยสิ่งนี้ให้ตัวเองพอมีเวลาได้พักผ่อนสักชั่วครู่ชั่วยาม ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จงไปหลบซ่อนตัวให้ดี อย่ามาหาเรื่องใส่ตัวกับข้า”
ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันไม่มีทางเดินไปบนเส้นทางการพิศกระดูกขาวได้ไกลเกินไปนัก ก็เหมือนอย่างที่หลงจวินกล่าว นั่นเป็นเพียงแค่วิธีการเล่นแง่อย่างหนึ่งที่ลองเอามาใช้ ‘นอนหลับชั่วคราว’ เท่านั้น ดังนั้นต่อให้วันนี้เฉินผิงอันจะไม่มา หลงจวินก็จะยังพูดแฉอยู่เช่นเดิม จะไม่เปิดโอกาสให้เขาได้บำรุงความอบอุ่นให้กับจิตวิญญาณแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้มกว้างอย่างสง่างาม มือที่ถือดาบพิฆาตชี้ไกลๆ ไปยังผู้เฒ่าร่างพร่าเลือนที่อยู่ในชุดคลุมสีเทา “ผู้อาวุโสหลงจวิน ช่างเป็นมรรคกถาที่สูงส่งยิ่งนัก ช่วยชี้แนะผู้น้อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้น้อยหลงเดินทางผิด ควรจะขอบคุณท่านอย่างไรดี? ช่วยปกป้องมรรคาอย่างยากลำบากมานานหลายปี ช่วยขัดเกลาจิตแห่งมรรคาให้แก่ข้า หากไม่เป็นเพราะรูปโฉมนี้ของท่าน ข้าคงเข้าใจผิดคิดว่าผู้อาวุโสคือผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายตัวที่อยู่ในตรอกฉีหลงบ้านข้าซะแล้ว”
หลงจวินยิ้มกล่าว “คนที่กำลังใกล้ตาย คำพูดมักจะพูดออกมาจากใจจริง แต่เจ้ากลับทำตรงกันข้ามเสียนี่”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองอีกครั้ง ถามอย่างใคร่รู้ว่า “ยังไม่ไปจริงๆ หรือ? คิดจริงๆ หรือว่ายืนนิ่งไม่ขยับ มองข้านานอีกหน่อยก็จะสามารถขัดเกลาจิตแห่งกระบี่ได้แล้ว?”
หลิวป๋ายมองไปยังคนหนุ่มผู้นั้น อยู่ดีๆ ก็เอ่ยทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “น่าสงสารจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี
หลงจวินพลันใช้ปราณกระบี่ที่เปี่ยมล้นส่วนหนึ่งสะบั้นฟ้าดินในเสี้ยววินาที ไม่ให้คำพูดของเฉินผิงอันได้หลุดรอดเข้ามาในหูของหลิวป๋าย ถึงขั้นที่ว่าไม่ให้นางได้มองอีกฝ่ายนานกว่าเดิม
ไม่มีปราณกระบี่ของหลงจวินคอยสยบไว้ ตราผนึกขุนเขาสายน้ำที่อำพรางอีกครึ่งหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงปิดประตูลงอีกครั้ง
หลิวป๋ายพบว่าการมองเห็นของตนพร่าเลือน ไม่อาจมองอีกฝ่ายได้อีกแม้แต่นิดเดียว นางอึ้งตะลึงไป “ผู้อาวุโสหลงจวิน นี่เป็นเพราะอะไร?”
หลงจวินกล่าว “เจ้าควรจะรู้ไว้อย่างหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่เขาบอกให้เจ้าหยุดแต่พอสมควรนั้นถูกต้องแล้ว อีกทั้งเขาพูดประโยคนี้ เดิมทีก็เพื่อปูพื้นให้กับประโยคสุดท้าย ไม่อย่างนั้นหากเขาพูดออกมาจากปาก เจ้าได้ยินเมื่อไหร่ก็จะทำให้จิตมารของเจ้าขยายใหญ่ขึ้นเมื่อนั้น”
หลิวป๋ายส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อ!”
เรือนกายของผู้เฒ่าที่เกิดจากปราณกระบี่ตัดสลับรวมตัวกันค่อยๆ สลายหายไป เปลี่ยนมาเป็นชุดคลุมสีเทาที่ว่างเปล่าอีกครั้ง หลงจวินพูดด้วยความหวังดีว่า “ไปเถอะ อย่าได้ถือสาหมาบ้าตัวหนึ่งเลย วันหน้าจงตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี หากเจ้าสามารถพิฆาตจิตมารที่จำแลงมาจากคนผู้นี้ได้จริงๆ จะมีประโยชน์ต่อเจ้ามหาศาล ถือว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย ประสบผลสำเร็จบนมหามรรคา และมีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จสูงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้”
แม้ว่าหลิวป๋ายจะไม่เข้าใจ และรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในคำพูดประโยคนั้นของเฉินผิงอันอย่างมาก แต่นางกลับไม่คิดจะฝ่าฝืนคำสั่งสอนของหลงจวิน ยิ่งไม่กล้ามองวิถีกระบี่ของตนเป็นเรื่องเล่นๆ ไม่คิดจะมัวใช้อารมณ์โต้เถียงกับเฉินผิงอันอย่างไร้ประโยชน์ นางจึงรีบขี่กระบี่ออกไปจากหัวกำแพงเมืองทันที
หลังจากหลิวป๋ายจากไป หลีเจินที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลมาตลอดก็ขยับมายังข้างกายของหลงจวิน
หลีเจินเอ่ยอย่างได้รับความไม่เป็นธรรมว่า “ท่านดีกับสตรีอย่างหลิวป๋ายกว่าข้าเยอะเลย”
หลงจวินเพียงแค่หันหน้าไปมองซากปรักของนครที่อยู่ทางทิศเหนือ
เมื่อหมื่นปีก่อน นักโทษอาญาที่มีโทษติดตัวได้ถูกเนรเทศมาที่นี่ หมื่นเรื่องราวหมื่นสรรพสิ่ง ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนจากไม่มีมาเป็นมี
หลีเจินถาม “เหตุใดท่านถึงตั้งตัวเป็นอริกับเฉินผิงอันขนาดนี้”
หลงจวินกล่าวอย่างเฉยเมย “คนหนุ่มคนหนึ่งจะมีความแค้นอะไรกับข้าได้? เพียงแต่ว่าไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่คนใดก็ตามที่คิดจะเป็นเฉินชิงตูคนที่สอง ล้วนสมควรตาย”
หลีเจินถามอีก “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่กวนจ้าว แต่ก็รู้ว่ากวนจ้าวเพียงแค่ผิดหวัง แต่เหตุใดท่านถึงเป็นเช่นนี้?”
สภาพจิตใจของกวนจ้าวไม่ต่างจากเฒ่าตาบอดที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาใหญ่แสนลี้นั่นสักเท่าไร พวกเซียนกระบี่จางลู่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน พวกเขาต่างก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันต่อใต้หล้าไพศาลทั้งแห่งใหม่และแห่งเก่า
หลงจวินถอนสายตากลับคืน ไม่เอ่ยตอบ
หลีเจินถามอีกว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ของพวกเรายังไม่ได้เป็นก่อกำเนิด ยังเป็นแค่โอสถทองผุๆ เท่านั้นจริงหรือ?”
หลงจวินคร้านจะพูดคุยกับเขา
หลีเจินจึงพึมพำกับตัวเองว่า “แต่การที่หลิวป๋ายสงสารอีกฝ่ายจากใจจริงก็ไม่ถือว่าแปลก”
ฟ้าดินเงียบเหงา อยู่ตัวคนเดียวเดียวดาย แสงตะวันจันทราล้วนสาดส่องไม่ถึงที่แห่งนี้?
บางครั้งมีนกบินผ่านหัวกำแพงเมือง พอผ่านค่ายกลภูเขาสายน้ำนั้นไปก็บินพรวดผ่านหัวกำแพงเมืองไปเลย ทั้งมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ยิ่งไม่มีการแบ่งแยกระหว่างกลางวันกลางคืน ยิ่งไม่มีการหมุนเวียนของสี่ฤดูกาลอะไร
เปลี่ยนร่างผลัดกระดูก จิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง นอกร่างมีร่างคือจิตหยาง ชื่นชอบแสงสว่าง เป็นสถานที่พักพิงที่ดีที่สุดของโอสถทอง
แสงสว่างหนึ่งเสี้ยวเข้ามาในความมืดมิดได้อย่างไร้พันธการ ก็คือจิตหยิน ชอบออกท่องเที่ยวยามราตรี คือสถานที่ฝึกตนที่ก่อกำเนิดใฝ่ฝันหา
การผสานรวมมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย
ทั้งสามฝ่ายหลอมรวมกันอยู่ในหนึ่งเตาหลอมมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจแบกรับการสยบกำราบที่หนักอึ้งของชื่อจริงปีศาจใหญ่ได้ แล้วก็ไม่อาจผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าหลังจากนี้อิ่นกวานหนุ่มได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่สามารถปล่อยจิตหยินออกมาเดินทางไกลอะไรได้อีก ส่วนตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้
หลีเจินหัวเราะขึ้นมา “แม้หลิวป๋ายจะโง่ไปหน่อย แต่โง่นิดหน่อยก็ดีนะ กลับกลายเป็นว่าจิตมารในอนาคตของนางจะไม่กลายเป็นเงื่อนตายที่คลายออกยากเกินไป”
หลงจวินตัดขาดฟ้าดินอย่างเด็ดเดี่ยว เท่ากับว่าได้ช่วยชีวิตครึ่งหนึ่งของหลิวป๋ายเอาไว้
ไม่อย่างนั้นขอแค่ใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นเอ่ยประโยคเดียวก็อาจทำให้ชีวิตของหลิวป๋ายหายไปครึ่งหนึ่งได้
ง่ายมาก เพราะแค่ประโยคว่า ‘เจ้าจะมาชอบข้าทำไม’ ก็สามารถทำให้จิตแห่งมรรคาของหลิวป๋ายแหลกสลายได้เกินครึ่งแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าหลิวป๋ายจะชอบเขาจริงๆ หรือไม่กลับไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย และนี่ก็เป็นปมของโรคที่ยากจะรับมือที่สุดพอดี
เพราะถึงอย่างไรความไม่ชอบบนโลกก็ไม่ได้สำคัญ แต่ความชอบบนโลกกลับมีมากมายร้อยพันชนิด เหตุผลก็ยิ่งมีร้อยพันแบบ
หลงจวินพลันใช้ปราณกระบี่ตัดขาดฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็น ถามว่า “เจ้ามองเห็นอะไรกันแน่?”
หลีเจินย้อนถามว่า “ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่?”
หลงจวินถามเสียงหนัก “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ้าเล่มนั้นมีชื่อว่า ‘กวงอิน’ (กาลเวลา/วันเวลา) หรือ”
หลีเจินพูดกลั้วหัวเราะ “ใช่แล้วทำไม? ท่านไม่ได้รู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใครหรอกหรือว่าข้าถือเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่มีอะไรทำมากที่สุดในใต้หล้านี้ อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเป็นคนหนึ่งในนั้น? ด้วยขอบเขตน้อยนิดแค่นี้ของข้าจะมองเห็นอะไร แล้วจะทำอะไรได้?”
หลีเจินส่ายหน้าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างด้วย”
การที่ให้ตายอย่างไรหลีเจินก็ไม่ยอมกลายเป็นกวนจ้าว สาเหตุหลักก็เป็นเพราะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เป็นดั่งกรงขังขนาดใหญ่ในฟ้าดินเล่มนั้น
ปีนั้นที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวหลายคนของกระโจมเจี่ยเซินล้อมสังหารเฉินผิงอันคนเดียว หลังจบเรื่องจู๋เชี่ยสังเกตเห็นถึงสภาพจิตใจที่ห่อเหี่ยวของหลีเจินจึงโน้มน้าวหลีเจินต่อหน้าว่า หากเขามีสภาพจิตใจอย่างในตอนนี้ ในอนาคตอีกร้อยปี บางทีอาจเป็นหนักยิ่งกว่าหลิวป๋ายก็ได้ จู๋เชี่ยยังถามหลีเจินที่ยืนกรานจะ ‘อยู่ห่างจากกวนจ้าว เป็นตัวของข้าที่แท้จริง’ อีกว่า ชีวิตนี้จะแค่ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่ส่งกระบี่ที่แท้จริงออกไป โดยไม่ต้องสนว่าจะเป็นกวนจ้าวหรือหลีเจินได้หรือไม่ และตอนนั้นคำตอบของหลีเจินก็แปลกประหลาดอย่างยิ่ง เขาย้อนถามจู๋เชี่ยว่าเคยเดินผ่านทางแม่น้ำแห่งกาลเวลาหรือไม่ อีกทั้งสุดท้ายแล้วหลีเจินยังเอ่ยสองคำว่า ‘ท้องน้ำ’ และ ‘โชคชะตา’ ด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!