หน้าผาของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่ง ชุดคลุมสีเทาปลิวสะบัด
หลิวป๋ายมาที่นี่เพื่อบอกลากับผู้อาวุโสหลงจวิน นางเพิ่งจะเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิด อีกทั้งยังทยอยได้รับปณิธานกระบี่บริสุทธิ์มาสองกลุ่ม
ตัวอ่อนเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่เก้าสิบกว่าคนที่มาฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วกว่าหรือไม่ก็ได้ปณิธานส่วนหนึ่งมาก่อนหลิวป๋ายแล้ว พวกเขาจึงทยอยกันออกไปจากหัวกำแพงเมือง ขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังใต้หล้าไพศาล ไปเข้าร่วมสนามรบของสามทวีป
ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์เป็นกลุ่มๆ ที่ล่องลอยอยู่ระหว่างฟ้าดินมานานร้อยปีพันปี หรือถึงขั้นหมื่นปีเหล่านั้นไม่เคยลำเอียง ขอแค่จิตแห่งกระบี่บริสุทธิ์มากพอ เข้ากับมันได้ ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าที่ได้รับการยอมรับจากพวกมัน ก็จะได้รับโชควาสนาหนึ่งส่วน เป็นการสืบทอดบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำว่าควันธูปหรืออาจารย์และศิษย์ใดๆ
มีเพียงบุคคลประเภทเดียวที่ไม่ว่าพรสวรรค์จะสูงแค่ไหน คุณสมบัติจะดีแค่ไหนก็จะไม่มีทางได้รับความโปรดปรานจากปณิธานกระบี่เด็ดขาด
ยกตัวอย่างเช่นเซอเยว่หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง รวมไปถึงเด็กสาวที่มีชื่อเล่นว่าโต้วโค่ว
หลิวป๋ายเอ่ยเบาๆ “ผู้อาวุโสหลงจวิน ข้าใกล้จะไปจากที่แห่งนี้แล้ว จะติดตามอาจารย์และศิษย์พี่ไปที่ใบถงทวีป ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีคำพูดอะไรจะฝากข้านำไปบอกแก่อาจารย์หรือไม่?”
ลมพายุพัดกระโชกอยู่บนหัวกำแพง ชุดคลุมสีเทากลับไม่ได้เปิดปากเอ่ยคำใด
หลิวป๋ายเองก็ไม่กล้าเร่งรัดผู้อาวุโสที่นิสัยประหลาดคนนี้ นางไม่รีบร้อนไปจากหัวกำแพงเมือง จึงมองไปยังหน้าผาฝั่งตรงข้าม แต่มองไม่เห็นร่องรอยของชุดคลุมอาคมสีแดงสด
ทางฝั่งกระโจมเจี่ยจื่อออกคำสั่งที่มีไว้รับมือกับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนั้นโดยเฉพาะ มีการร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำที่พลานุภาพสูงมากตัดขาดฟ้าดินอย่างสิ้นเชิง หลิวป๋ายสามารถมองเห็นทัศนียภาพของฝั่งตรงข้ามอย่างชัดเจน ทว่าหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามมองมายังที่แห่งนี้กลับเห็นแต่หมอกขาวโพลน
ผู้อาวุโสหลงจวินที่อยู่ข้างกายนางคนนี้มีนิสัยยากจะคาดเดาจริงๆ ในฐานะหนึ่งในสามเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนเคยมาถามกระบี่กับภูเขาทัวเยว่ อดีตสหายรักของเฉินชิงตู เคยร่วมกันชูกระบี่แก่ฟ้าดินโลกมนุษย์ เคยถามกระบี่แก่ฟ้าดิน พอกลายเป็นนักโทษอาญา สุดท้ายก็ตกมาเป็นหุ่นเชิดของภูเขาทัวเยว่ร่วมกับกวนจ้าว แต่ก็มีส่วนที่ต่างกับกวนจ้าวที่จิตวิญญาณกระจัดกระจาย สติปัญญาไม่แจ่มชัดอยู่มาก หลงจวินนั้นเป็นฝ่ายสละเนื้อหนังมังสาของตัวเอง ถึงขั้นปล่อยให้ป๋ายอิ๋งบนบัลลังก์เหยียบหัวกะโหลกตัวเองไว้ใต้ฝ่าเท้า ตอนอยู่บนสนามรบยังสังหารเซียนกระบี่เกาขุยที่เป็นคนสุดท้ายของสายตัวเองด้วย
เกาขุยถามกระบี่ หลงจวินรับกระบี่ เพียงแค่นี้เท่านั้น
สุดท้ายถูกผู้เฒ่าสะบั้นควันธูปสายสุดท้ายบนวิถีกระบี่ด้วยมือตัวเอง
หลิวป๋ายไม่ค่อยเข้าใจความคิดและการกระทำของผู้อาวุโสหลงจวินสักเท่าไรจริงๆ
ในความเป็นจริงแล้วแม้แต่หลีเจินผู้นั้น หลิวป๋ายก็มองเขาไม่ออก ทุกวันนี้หลีเจินยังอยู่บนหัวกำแพงเมือง ดูเหมือนตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นปฏิปักษ์กับอิ่นกวานหนุ่มให้ถึงที่สุด
เมื่อตัวอ่อนเซียนกระบี่แต่ละคนของภูเขาทัวเยว่ต่างได้ผลเก็บเกี่ยวกลับไป การโคจรมหามรรคาของวิถีกระบี่แต่ละส่วนจึงทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งฝั่งตรงข้ามยิ่งนานยิ่งเบาบางลงไปตามธรรมชาติ สภาพการณ์ของเจ้าหมอนั่นจึงยิ่งอันตรายล่อแหลมมากขึ้นทุกที เพราะระดับความมั่นคงของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนั้นเกี่ยวพันกับโชคชะตาวิถีกระบี่อย่างใกล้ชิด เชื่อว่าอิ่นกวานหนุ่มที่ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือก็น่าจะเป็นคนหนึ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนและเฉียบไวที่สุดในฟ้าดินแห่งนี้
คนธรรมดาด้านล่างภูเขาอาจไม่รู้ถึงอายุขัยและสัจธรรมแห่งชีวิต จึงเป็นเหตุให้ไม่รับรู้ถึงความแก่ชราที่มาเยือน ไม่รู้ว่าวันใดถึงจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
แต่อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นเหมือนคนที่กำลังเบิกตามองดูตะเกียงแห่งชะตาชีวิตดวงหนึ่งในศาลบรรพจารย์อยู่ทุกวัน ทว่ากลับได้แต่มองดูแสงสว่างของตะเกียงดวงนั้นค่อยๆ หรี่จางลงไปทุกที
หลงจวินเปิดปากเอ่ย “บอกให้อาจารย์ของเจ้าไปเชิญหลิวชาให้กลับมาออกกระบี่อย่างเต็มกำลังที่นี่ก่อน ช้าสุดหนึ่งปี จำเป็นต้องบีบให้เจ้าเด็กนั่นเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบให้ได้ หากช้ากว่านั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น”
หลิวป๋ายตกตะลึงอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเหตุใดหลงจวินถึงต้องการให้คนผู้นั้นเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบให้ได้ หรือว่า? ไม่ถูกสิ! ตนจะปล่อยให้จิตใจได้รับอิทธิพลจากคำพูดของคนผู้นั้นไม่ได้ ผู้อาวุโสหลงจวินไม่มีทางเป็นพวกเดียวกับเขาเด็ดขาด
ดังนั้นหลิวป๋ายที่มีความสงสัยเต็มอกจึงเอ่ยถาม จะไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดวุ่นวายไปเอง ถามเข้าประเด็นว่า “ผู้อาวุโสหลงจวิน นี่เป็นเพราะอะไร? ขอท่านโปรดไขข้อข้องใจให้ข้าด้วย!”
หลงจวินยิ้มอธิบายว่า “สำหรับเฉินผิงอันแล้ว การทำลายโอสถทองแล้วสร้างโอสถทองขึ้นใหม่ คือเรื่องที่เป็นดั่งน้ำมาคลองสำเร็จ การกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วก็ไม่ถือว่ายากเกินไป เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังต้องการเวลาในการขัดเกลา เรื่องของการยกระดับขอบเขตผู้ฝึกลมปราณให้สูงขึ้น เขาไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ไปอยู่กับเรื่องที่ว่าควรจะเพิ่มปณิธานหมัดอย่างไรมากกว่า นี่คงจะเป็นไฟลามไหม้ขนคิ้วในสายตาของหมาบ้าน้อยตัวนั้นกระมัง เพราะถึงอย่างไรการฝึกตนก็ต้องพึ่งพาตัวเอง เขาจึงเหมือนคนที่เดินขึ้นเขามุ่งสู่ที่สูงตลอดเวลา เว้นเสียจากเรื่องการฝึกวิชาหมัดที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่ขยับเคลื่อนไหว จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร อยู่ที่ใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาค่อนข้างจะร้ายกาจอยู่บ้างจริงๆ ทว่าอยู่ที่นี่กลับมากพอแล้วหรือ?”
หลิวป๋ายรู้สึกเพียงว่าตัวเองมึนหัวตาลาย เอ่ยเสียงสั่นว่า “ตอนนั้นเขาไม่ได้บอกว่าตัวเองใกล้จะได้เป็นขอบเขตหยกดิบแล้วหรอกหรือ?”
“เขาพูดอะไรพวกเจ้าก็เชื่อทั้งหมดเลยหรือ?”
หลงจวินหลุดหัวเราะพรืด “ความจริงแน่นอนว่าเขาแค่พูดข่มขู่เจ้ากับหลีเจินไปอย่างนั้นเอง ตอนนั้นเดิมทีข้าก็อยากบอกว่าเขากำลังจะได้เป็นก่อกำเนิด เพียงแต่เห็นพวกเจ้าเชื่อว่าเป็นความจริงก็เลยคร้านจะพูด”
หลิวป๋ายถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที
หลงจวินมองไปฝั่งตรงข้าม “เจ้าเด็กนี่นิสัยเป็นอย่างไร มองออกได้ยากนักหรือ? ของทุกอย่างที่สายตาเขาสามารถมองเห็นได้ ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ ไม่ว่าความยากจะมากหรือน้อย ขอแค่จิตใจมุ่งไปหา อีกทั้งยังมีทางให้เดิน ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย แค่ทำมันไปเงียบๆ ก็พอ สุดท้ายเดินไปทีละก้าว จนกระทั่งมันกลายมาเป็นของที่แค่เอื้อมมือก็หยิบคว้ามาได้ แต่ก็อย่าลืมล่ะว่า เรื่องที่คนผู้นี้ไม่คุ้นเคยมากที่สุดก็คือ หนึ่งนั้นที่ตัวเขาต้องไปตามหาเอาเองจากสิ่งที่กำเนิดจากความว่างเปล่า สำหรับเรื่องนี้เขาไม่มีความมั่นใจมากที่สุด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลงจวินก็ยิ้มถามว่า “ไม่เชื่อในคำกล่าวนี้ใช่ไหม?”
หลิวป๋ายไม่รู้เลยว่าควรจะตอบอย่างไร
คำกล่าวนี้ของผู้อาวุโสหลงจวินทำให้นางกึ่งเชื่อกึ่งกังขา
หลงจวินเอ่ยอย่างระอาใจว่า “ดูท่าคงถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเขาทำให้ตกใจจนโง่งมไปแล้วจริงๆ ข้าถามเจ้า ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งที่อายุน้อยถึงเพียงนี้ แล้วยังใช้สถานะของคนต่างถิ่นมาเป็นอิ่นกวาน อีกทั้งยังเป็นคนฉลาดคนหนึ่งที่สามารถสยบผู้คนได้ ได้ออกเดินทางไกล หาประสบการณ์ เข่นฆ่าอย่างต่อเนื่อง แต่เขาเฉินผิงอันเคยบรรลุหมัดที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริงสักหมัดไหม? มีหรือ? ไม่มี”
หลิวป๋ายพลันกระจ่างแจ้งในบัดดล พยักหน้ารับเบาๆ
หลงจวินกล่าวว่า “ทุกอย่างล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์ พวกเจ้าต่างก็ลืมสถานะอีกอย่างหนึ่งของเขาไปแล้ว เขาเป็นบัณฑิตอย่างไรล่ะ ต้องหัดทบทวนตัวเอง ควบคุมตัวเอง สำรวมระมัดระวังตนแม้ยามอยู่ลำพัง เป็นทั้งการฝึกฝนจิตใจ แต่อันที่จริงก็เป็นการผูกพันธนาการหนาหนักไว้บนร่างของตัวเองด้วย”
ดังนั้นยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่อาจทำให้คนหนุ่มคนนี้บรรลุหมัดหนึ่งเป็นของตัวเองได้อย่างแท้จริง เพราะนั่นจะหมายความว่าอิ่นกวานหนุ่มที่ให้ความสำคัญกับการฝึกจิตใจมากที่สุดมีหวังว่าจะสามารถอาศัยกำลังของตัวเองมาวาดเส้นวาดกรอบให้กับฟ้าดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปล่อยให้คนผู้นี้บรรลุกระบี่หนึ่งอย่างแท้จริงไม่ได้ สรรพสิ่งใดๆ ก็ตามเมื่อเจอกับความไม่สงบนิ่งย่อมต้องส่งเสียง ในใจของคนหนุ่มผู้นี้มีความอัดอั้นมากพออยู่แล้ว มีทั้งความเดือดดาล ปราณสังหาร ความดุร้าย ความเจ็บแค้น ความเศร้าอาลัย…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!