กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 713

สรุปบท บทที่ 713.1 เมื่อถึงเวลาฟ้าดินล้วนร่วมแรงร่วมใจ: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 713.1 เมื่อถึงเวลาฟ้าดินล้วนร่วมแรงร่วมใจ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 713.1 เมื่อถึงเวลาฟ้าดินล้วนร่วมแรงร่วมใจ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

หลิวสือลิ่วอยู่บนภูเขา อันที่จริงไม่ได้รู้สึกว่าน่าเบื่อสักเท่าไร

ภูเขาลั่วพั่วที่เจ้าขุนเขาไม่อยู่ชั่วคราว ประหนึ่งของที่ซ่อนอยู่บนตัววิญญูชน รอเวลาที่จะเอามาใช้งาน

ใต้หล้านี้มีหนทางย่อมปรากฏตัว ไม่มีหนทางย่อมซ่อนตัว คำกล่าวนี้ไม่มีอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว วิถีทางโลกไม่ดี แต่กลับไม่ทำตัวเป็นเทพเซียนผู้ถือตัวสันโดษที่อยู่เคียงข้างเมฆขาวเขาเขียว แต่ละคนล้วนพากันลงไปจากภูเขา เพียงแต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างยังไม่ได้เป็นดั่งก้อนหินที่ผุดหลังน้ำลด หลิวสือลิ่วไม่ร้อนใจกับเรื่องนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่การเลือกของศิษย์น้องเล็ก การกระทำทุกอย่างของเขา ในฐานะศิษย์พี่ก็ไม่สามารถเรียกร้องไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

ดังนั้นเขาที่เป็นคนนอกของภูเขาลั่วพั่ว เป็นศิษย์พี่ของเจ้าขุนเขา ความประทับใจที่มีต่อภูเขาลูกนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ

แต่ในใจของหลิวสือลิ่วมีข้อสงสัยใหญ่ข้อหนึ่ง นางที่ได้พบเจอกันก่อนหน้านี้ สรุปแล้วคือคนถือกระบี่ที่ในอดีตติดตามบุคคลผู้อยู่ในลำดับสูงสุดออกกรีฑาทัพไปทั่วแปดทิศ ซึ่งก็คือจิตวิญญาณของกระบี่เซียนในโลกยุคหลัง หรือว่าเดิมทีนางก็คือเจ้านายตัวจริงของคนถือกระบี่ เพียงแต่ว่าจงใจเปลี่ยนรูปโฉม ด้วยคิดจะปิดบังคนรุ่นหลังกันแน่? เพราะในสายตาของหลิวสือลิ่ว คนถือกระบี่หรือควรจะพูดว่าวิญญาณกระบี่นั้นไม่มีตัวตน อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบอะไร

เขาถามไปแล้ว น่าเสียดายที่นางไม่ได้ตอบ

นางยังคงมีสีหน้าเย็นชาเฉกเช่นในอดีต ถึงขั้นที่ว่ายังดูแคลนที่จะทำสีหน้าดูแคลนเขาด้วยซ้ำ

วันนี้หมี่อวี้ไม่ได้ไปตรวจตราภูเขาเป็นเพื่อนหมี่ลี่น้อย แต่ไปบนยอดสุดของขั้นบันได ไปหาหลิวสือลิ่วที่นั่งอยู่บนพื้น

หมี่อวี้นั่งลงข้างกาย เอ่ยว่า “มีอาจารย์หลิวอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ข้าก็วางใจแล้ว”

หมี่อวี้คิดว่าจะพกกระบี่เดินทางไปเยือนนครมังกรเฒ่าดูสักครั้ง

ดังนั้นหมี่อวี้จึงปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวที่ชื่อว่า ‘หาวเหลียง’ ลงมา ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไม่ไปได้เพื่อรนหาที่ตาย แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน คงต้องรบกวนอาจารย์หลิวมอบมันให้แก่สหายฉางมิ่งด้วย ตัวข้าเองคงไม่ไปหาเรื่องใส่ตัวที่ตรอกฉีหลงแล้ว”

หลิวสือลิ่วส่ายหน้า “ข้าไม่ได้จะอยู่นานนัก”

จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นึกถึงคนที่อยู่ในร้านยาตระกูลหยางผู้นั้น อีกทั้งภูเขาลั่วพั่วยังเป็นเพื่อนบ้านกับภูเขาพีอวิ๋น บวกกับสตรีคนนั้นของสำนักกระบี่หลงเฉวียน

หลิวสือลิ่วจึงพลันเปลี่ยนใจ “เซียนกระบี่ระวังตัวให้มาก ตอนที่ข้าลงใต้ไปถึงนครมังกรเฒ่าจะช่วยเจ้าออกหมัดสักสองสามหมัด ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยย้อนกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว”

หมี่อวี้รู้สึกจนใจเล็กน้อย ถูกหลิวสือลิ่วเรียกด้วยความเคารพว่า ‘เซียนกระบี่’ เหตุใดถึงได้เหมือนคำด่ากันนะ

เรื่องที่หมี่อวี้จนใจมากกว่าก็คือตนจำต้องเปิดปากเอ่ยเตือนอีกครั้ง “ข้าแซ่หมี่”

ต่อให้จะเรียกตนว่าเซียนกระบี่หมี่ก็ยังฟังดูใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่าไม่ใช่หรือ?

หลิวสือลิ่วหัวเราะเสียงดังกังวาน “ตกลง เซียนกระบี่หมี่”

ดังนั้นหมี่อวี้จึงวางใจได้แล้ว เขามองทัศนียภาพนอกภูเขาที่ห่างไปไกล ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องทำหน้าหนารับน้ำใจเอาไว้แล้ว อยู่บนสนามรบของนครมังกรเฒ่า ข้าจะนับนิ้วรออาจารย์ไปถึงทุกวัน”

อยู่ดีๆ หลิวสือลิ่วก็นึกถึงคนหนุ่มที่ฝึกกระบี่ในความฝันขึ้นมา

ชายฉกรรจ์ยิ่งรู้สึกเป็นกังวล คนข้างกายศิษย์น้องเล็ก ดูเหมือนว่าต่างก็หน้าไม่บางเลยนะ ระหว่างคนสนิทคุ้นเคย พูดจาไม่ห่างเหินเป็นเรื่องดี แต่ทำตัวเป็นกันเองขนาดนี้ มีให้เห็นไม่ค่อยบ่อยกระมัง?

ตามคำกล่าวของอาจารย์ นิสัยของศิษย์น้องเล็กคือมีเมตตาอ่อนโยน นอบน้อมมัธยัสถ์ ไม่ขาดคำใดไปแม้แต่คำเดียว สำรวมตนเคารพมารยาทกฎระเบียบเป็นที่สุด ยามคนน้อยใจข้ามีอิสระเสรี ยามคนมากกลับยิ่งสำรวมระมัดระวังตน เพื่อแสวงหาขอบเขตของผู้รอบรู้ ความรู้จึงมุ่งไปสู่ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ จัดการกับเรื่องใดก็ใจกว้างผ่าเผย…

ในอดีตยามที่พวกเขาสี่คนศึกษาเล่าเรียนอยู่ด้วยกัน แต่ไหนแต่ไรมาคำพูดของอาจารย์ก็มักจะพุ่งเป้าตรงประเด็นเสมอ ไม่มีทางโอ้อวดลูกศิษย์เด็ดขาด ก็เหมือนอย่างในปีนั้น เผชิญหน้ากับคำสรรเสริญเยินยอดุจกระแสน้ำขึ้นที่มีต่อลูกศิษย์สามคนของสายเหวินเซิ่ง อาจารย์ก็แค่พูดว่าความรู้ของเสี่ยวฉีข้านับว่าพอใช้ได้กระมัง ยังอยู่ห่างไกลจากอริยะปราชญ์ที่แท้จริงอีกมาก ตาแก่อย่างพวกเจ้าอย่าได้คิดดึงต้นหญ้าช่วยให้เติบโตเชียว

แล้วก็จะบอกว่าตัวอักษรของชุยฉานก็แค่พอถูไถ วิชาหมากล้อมธรรดาสามัญ เจ้าดูสิยังเอาชนะเจ้านครจักรพรรดิขาวไม่ได้เลย

บอกว่าจั่วโย่วเรียนวิชากระบี่ช้าไปหน่อย การที่พอจะมีความสามารถอยู่บ้างนั้นนับว่าเป็นความโชคดีโดยบังเอิญ คนที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ตัวอ่อนเซียนกระบี่ จะได้ดิบได้ดีสักเท่าไรกันเชียว คือเหตุผลข้อนี้หรือไม่เล่า?

หลังจากที่ศิษย์พี่จั่วก่อเรื่อง อาจารย์ก็ยิ่งมีข้ออ้างให้กล่าวถึง พวกเขามีความอาวุโสสูง จะไปโกรธเด็กรุ่นหลังทำไม อย่าถือสาเลย อย่าถือสา เดี๋ยวข้ากลับไปจัดการเขาให้เอง จั่วโย่ว! ยังมัวยืนถลึงตาอยู่ทำไม ไม่รู้จักมารยาทเสียบ้างเลย เร็ว รีบขอขมาเหล่าผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้ ให้มันจริงใจหน่อย ก้มหัวต่ำๆ หน่อย…

ในใจหมี่อวี้พลันกระจ่างแจ้ง เพียงแต่คร้านจะล้อมคอกเมื่อวัวหาย เพราะง่ายที่จะได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม

อาจารย์หลิวที่เรือนกายใหญ่โตมโหฬารผิดปกติข้างกายผู้นี้ เพียงแค่มองดูแล้วเป็นคนตัวสูงที่ทึ่มทื่อเท่านั้น ห้ามมองเขาเป็นคนที่ตาไร้แววเด็ดขาด

แม้ว่าหมี่อวี้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงอย่างไรก็เคยเห็นอริยะและวิญญูชนมาหลายคน ดังนั้นจึงไม่มีหน้าพูดเหน็บแนมด้วยภาษาของคนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยกตัวอย่างเช่น ‘ไกลมองอาเหลียง ใกล้มองอิ่นกวาน’

แม้จะบอกว่าตอนอยู่บ้านเกิด เรื่องของการทะเลาะถกเถียงด้วยถ้อยคำระคายหู ขอแค่ใต้เท้าอิ่นกวานอยู่ต่อหน้าผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทั้งในและนอกคฤหาสน์หลบร้อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือทั้งในและนอกเรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัว ล้วนไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน แต่ก็ไม่อาจห้ามปากคนอื่นยามอยู่กันเป็นการส่วนตัวได้กระมัง?

อีกอย่างพวกหน้าม้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่ร้านเหล้า ที่บ่อนพนัน ภายนอกยามที่ด่าเถ้าแก่รองซึ่งมีหน้าที่เป็นคนมอบเงินให้ในทางส่วนตัวแล้ว ดูเหมือนว่าจะด่าแรงยิ่งกว่าใครเสียอีก

เพราะถึงอย่างไรหลิวสือลิ่วก็เป็นศิษย์พี่ของใต้เท้าอิ่นกวาน เรื่องบางอย่างหมี่อวี้ที่เป็นคนนอกสายเหวินเซิ่ง พูดไปแล้วก็ไม่เหมาะสมจริงๆ

หากหมี่อวี้โง่จริงๆ จะยังเป็นเซียนกระบี่หมี่ที่ก่อหนี้รักได้นับไม่ถ้วนอยู่อีกหรือ?

หลิวสือลิ่วกล่าว “เจ้าควรจะเดาออกแล้วว่าข้ามีชาติกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจ”

หมี่อวี้พยักหน้ารับ “เคยเห็นมามากแล้ว ยากที่จะแปลกใจได้อีก”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ หมี่อวี้สมกับเป็นเซียนกระบี่อย่างมาก

หลิวสือลิ่วจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

เห็นเพียงว่าบนภูเขาลั่วพั่ว แม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งที่เดินกระโดดโลดเต้น ตอนแรกก็ไปทำความสะอาดศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อเป็นเพื่อนพี่หญิงหน่วนซู่ก่อน จากนั้นค่อยไปลาดตระเวนภูเขาเพียงลำพัง วันนี้นางอารมณ์ไม่เลว คาดว่าคงเป็นเพราะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ ยามวิ่งจึงไม่ได้เร็วมากปานนั้น เวลานี้นางกำลังร้องเพลงอย่างมีความสุขว่า แม่นางน้อยนางหนึ่งนั่งอยู่กลางน้ำเอย บนร่างสวมชุดสีแดง พายเรือไม่ใช้ไม้พายหนอ คนตัวโตเดาไม่ออกว่าเป็นใคร…ไหเล็กๆ สีแดงใส่เกี๊ยวแดงไว้เต็มล้น คนตัวโตไม่รู้เรื่อง ยังเกาหัวอยู่เลยเชียว…

หลิวสือลิ่ววางฝ่ามือสองข้างทับหัวเข่า “เซียนกระบี่ ข้าคงไม่ไปส่งแล้ว วันหน้าเจอกันใหม่ที่นครมังกรเฒ่า หลังเจ้าและข้าร่ำสุราด้วยกัน ก็ไม่ต้องส่งข้าเช่นกัน”

หมี่อวี้ยิ้มเจื่อนเอ่ย “แซ่หมี่”

จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มกว้าง “หน่วนซู่น้อยกับหมี่ลี่น้อย อาจารย์หลิวต้องปกป้องพวกนางให้มากๆ หน่อยนะ”

“เซียนกระบี่โปรดวางใจ มีข้าอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นแน่”

คำสัญญานี้ของหลิวสือลิ่วพูดได้อย่างผ่อนคลายดุจเมฆคล้อยสายลมโชยเอื่อย

จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มยื่นมือมาตบลงบนไหล่ของหมี่อวี้ “เจ้าเป็นคนไม่เลวเลย!”

หมี่อวี้ไม่ถือสาแล้วว่าคำเรียกขานเซียนกระบี่จะมีอักษรหมี่หรือไม่มี เพราะดูท่าแล้วต่อให้เขาจะถือสาก็ไม่มีประโยชน์เลยนี่นา

เซียนกระบี่ชุดเขียวคลี่ยิ้มลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม กุมหมัดคารวะหลิวสือลิ่วอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็ขี่กระบี่ออกเดินทางไกล พริบตาเดียวก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวที่พุ่งไปทางทิศใต้ ด้วยกังวลว่าหมี่ลี่น้อยเห็นแล้วจะเสียใจ รู้เร็วก็เสียใจเร็ว รู้ช้าก็เสียใจช้าหน่อย หมี่อวี้จึงจงใจเก็บลมปราณและภาพการขี่กระบี่เอาไว้ แสงกระบี่จึงแค่เปล่งวูบเดียวแล้วหายไป

เพียงแต่ว่าตอนนี้หมี่อวี้ยังไม่รู้ว่า คำว่า ‘เป็นคนไม่เลว’ ของหลิวสือลิ่วนี้ คือคำวิจารณ์แบบใด

ก่อนหน้านี้หลิวสือลิ่วพูดถึงสหายรักของตนอย่างป๋ายเหย่กับหลิวเสี้ยนหยาง

นั่นก็คือ ‘สหายรักป๋ายเหย่ เวทกระบี่ไม่เลว’ …

โจวหมี่ลี่วางคานหาบและไม้เท้าลง เหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา นางจำเป็นต้องสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนหลายๆ ครั้งถึงจะสามารถปลุกความกล้าลงไปนอนคว่ำอยู่ริมน้ำ แม่นางน้อยเอาหัวยื่นเข้าไปในน้ำ เบิกตากว้าง

มองอยู่นานก็ยังมองไม่เห็นพี่หญิงหงเซี่ย

หงเซี่ยที่สวมชุดสีเหลืองอ่อน อันที่จริงมายืนยิ้มหวานอยู่บนฝั่งแล้ว นางนั่งยองลงข้างกายโจวหมี่ลี่ แล้วตบศีรษะของนางเบาๆ

หมี่ลี่น้อยที่น่าสงสารตกใจจนร่างทั้งร่างจมหายเข้าไปในน้ำ สองมือตีน้ำวุ่นวาย พริบตาเดียวก็จมดิ่งลงไปใต้น้ำหลายสิบจั้ง

หงเซี่ยรู้สึกผิดขึ้นมาทันใด

ครู่หนึ่งต่อมาก็มีศีรษะหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากในน้ำ ตอนแรกเพราะทิ้งทรัพย์สมบัติไว้บนฝั่งทั้งหมด ด้วยความร้อนใจจึงร้องไห้จนหน้าลายพร้อย เพียงแต่ไม่นานแม่นางน้อยก็แย้มปากกว้างหัวเราะฮ่าๆ

อยู่ที่นี่ต่อให้นางปากกว้างเท่ากระด้งก็ไม่มีใครมาสนใจ

โจวหมี่ลี่กระโดดผลุงขึ้นมาบนผิวน้ำ เดินอาดๆ ฝ่าคลื่นน้ำเข้ามา ทรุดตัวลงนั่งยอง ตบไม้เท้าเดินป่ากับคานหาบเบาๆ พูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว หยอกพวกเจ้าเล่นเท่านั้นแหละ”

หงเซี่ยคิดแล้วก็ไม่ได้ถามถึงลมปราณน่าหวาดกลัวที่คล้ายมีคล้ายไม่มีบนภูเขาลั่วพั่วจากโจวหมี่ลี่

เกี่ยวพันกับมหามรรคา เรื่องใหญ่เทียมฟ้าก็ยิ่งไม่ควรลากแม่นางน้อยเข้ามาเกี่ยวข้อง

ดังนั้นหงเซี่ยจึงเพียงแค่ยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้จะมาเล่าเรื่องในยุทธภพเรื่องใดกับข้าล่ะ?”

โจวหมี่ลี่หัวเราะหึหึ “เสียงพายเรือดังจากขุนเขาเขียวน้ำใส รู้หรือไม่ เคยได้ยินมาก่อนไหม?”

หงเซี่ยยิ้มกล่าว “เคยได้ยิน”

โจวหมี่ลี่อึ้งตะลึง จบเห่แล้ว วันนี้ไม่อาจเปิดประตูรับความมงคลได้ซะแล้ว

ทันใดนั้นในใจหงเซี่ยพลันหวาดผวาอย่างหนัก ตัวการร้ายที่ทำให้นางไม่กล้ามีใจคิดจะเดินลงน้ำได้มาเยือนภูเขาหูหวงเป็นครั้งแรกแล้ว

สตรีจากสำนักกระบี่หลงเฉวียน หร่วนซิ่ว

นี่คือบุคคลที่ราวกับ ‘บินทะยาน’ ไปยังม่านฟ้าของแจกันสมบัติทวีปแล้วสังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลตนหนึ่งกับมือตัวเองเชียวนะ

โชคดีที่ยังมีโจวหมี่ลี่ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ด้วย พอเห็นพี่หญิงซิ่วซิ่วที่น่ารักน่าใกล้ชิดอย่างถึงที่สุดก็โบกมืออย่างแรง “พี่หญิงซิ่วซิ่ว มากินเมล็ดแตงกันเถอะ!”

หร่วนซิ่วยิ้มจนตาหยี เดินช้าๆ มาถึงข้างกายหมี่ลี่น้อย ค้อมเอวลูบศีรษะแม่นางน้อย รับเมล็ดแตงมากำใหญ่

หร่วนซิ่วชำเลืองตามองหงเซี่ยมีท่าทางระแวดระวัง ใช้เสียงในใจถามว่า “เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว กลับดีแต่อยู่เฉยๆ รอความตายไปวันๆ เช่นนี้หรือ? ยังไม่ออกจากทะเลสาบออกจากภูเขาไปเดินลงน้ำอีก หรือจะรอให้ข้าตายก่อนแล้วค่อยคิดอีกที?”

หงเซี่ยหน้าซีดขาว

นางหรือจะกล้ามีความคิดเช่นนี้

ใส่ร้ายนางแล้วจริงๆ

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!