หลิวสือลิ่วอยู่บนภูเขา อันที่จริงไม่ได้รู้สึกว่าน่าเบื่อสักเท่าไร
ภูเขาลั่วพั่วที่เจ้าขุนเขาไม่อยู่ชั่วคราว ประหนึ่งของที่ซ่อนอยู่บนตัววิญญูชน รอเวลาที่จะเอามาใช้งาน
ใต้หล้านี้มีหนทางย่อมปรากฏตัว ไม่มีหนทางย่อมซ่อนตัว คำกล่าวนี้ไม่มีอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว วิถีทางโลกไม่ดี แต่กลับไม่ทำตัวเป็นเทพเซียนผู้ถือตัวสันโดษที่อยู่เคียงข้างเมฆขาวเขาเขียว แต่ละคนล้วนพากันลงไปจากภูเขา เพียงแต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างยังไม่ได้เป็นดั่งก้อนหินที่ผุดหลังน้ำลด หลิวสือลิ่วไม่ร้อนใจกับเรื่องนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่การเลือกของศิษย์น้องเล็ก การกระทำทุกอย่างของเขา ในฐานะศิษย์พี่ก็ไม่สามารถเรียกร้องไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ดังนั้นเขาที่เป็นคนนอกของภูเขาลั่วพั่ว เป็นศิษย์พี่ของเจ้าขุนเขา ความประทับใจที่มีต่อภูเขาลูกนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ
แต่ในใจของหลิวสือลิ่วมีข้อสงสัยใหญ่ข้อหนึ่ง นางที่ได้พบเจอกันก่อนหน้านี้ สรุปแล้วคือคนถือกระบี่ที่ในอดีตติดตามบุคคลผู้อยู่ในลำดับสูงสุดออกกรีฑาทัพไปทั่วแปดทิศ ซึ่งก็คือจิตวิญญาณของกระบี่เซียนในโลกยุคหลัง หรือว่าเดิมทีนางก็คือเจ้านายตัวจริงของคนถือกระบี่ เพียงแต่ว่าจงใจเปลี่ยนรูปโฉม ด้วยคิดจะปิดบังคนรุ่นหลังกันแน่? เพราะในสายตาของหลิวสือลิ่ว คนถือกระบี่หรือควรจะพูดว่าวิญญาณกระบี่นั้นไม่มีตัวตน อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบอะไร
เขาถามไปแล้ว น่าเสียดายที่นางไม่ได้ตอบ
นางยังคงมีสีหน้าเย็นชาเฉกเช่นในอดีต ถึงขั้นที่ว่ายังดูแคลนที่จะทำสีหน้าดูแคลนเขาด้วยซ้ำ
วันนี้หมี่อวี้ไม่ได้ไปตรวจตราภูเขาเป็นเพื่อนหมี่ลี่น้อย แต่ไปบนยอดสุดของขั้นบันได ไปหาหลิวสือลิ่วที่นั่งอยู่บนพื้น
หมี่อวี้นั่งลงข้างกาย เอ่ยว่า “มีอาจารย์หลิวอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ข้าก็วางใจแล้ว”
หมี่อวี้คิดว่าจะพกกระบี่เดินทางไปเยือนนครมังกรเฒ่าดูสักครั้ง
ดังนั้นหมี่อวี้จึงปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวที่ชื่อว่า ‘หาวเหลียง’ ลงมา ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไม่ไปได้เพื่อรนหาที่ตาย แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน คงต้องรบกวนอาจารย์หลิวมอบมันให้แก่สหายฉางมิ่งด้วย ตัวข้าเองคงไม่ไปหาเรื่องใส่ตัวที่ตรอกฉีหลงแล้ว”
หลิวสือลิ่วส่ายหน้า “ข้าไม่ได้จะอยู่นานนัก”
จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นึกถึงคนที่อยู่ในร้านยาตระกูลหยางผู้นั้น อีกทั้งภูเขาลั่วพั่วยังเป็นเพื่อนบ้านกับภูเขาพีอวิ๋น บวกกับสตรีคนนั้นของสำนักกระบี่หลงเฉวียน
หลิวสือลิ่วจึงพลันเปลี่ยนใจ “เซียนกระบี่ระวังตัวให้มาก ตอนที่ข้าลงใต้ไปถึงนครมังกรเฒ่าจะช่วยเจ้าออกหมัดสักสองสามหมัด ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยย้อนกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว”
หมี่อวี้รู้สึกจนใจเล็กน้อย ถูกหลิวสือลิ่วเรียกด้วยความเคารพว่า ‘เซียนกระบี่’ เหตุใดถึงได้เหมือนคำด่ากันนะ
เรื่องที่หมี่อวี้จนใจมากกว่าก็คือตนจำต้องเปิดปากเอ่ยเตือนอีกครั้ง “ข้าแซ่หมี่”
ต่อให้จะเรียกตนว่าเซียนกระบี่หมี่ก็ยังฟังดูใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่าไม่ใช่หรือ?
หลิวสือลิ่วหัวเราะเสียงดังกังวาน “ตกลง เซียนกระบี่หมี่”
ดังนั้นหมี่อวี้จึงวางใจได้แล้ว เขามองทัศนียภาพนอกภูเขาที่ห่างไปไกล ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องทำหน้าหนารับน้ำใจเอาไว้แล้ว อยู่บนสนามรบของนครมังกรเฒ่า ข้าจะนับนิ้วรออาจารย์ไปถึงทุกวัน”
อยู่ดีๆ หลิวสือลิ่วก็นึกถึงคนหนุ่มที่ฝึกกระบี่ในความฝันขึ้นมา
ชายฉกรรจ์ยิ่งรู้สึกเป็นกังวล คนข้างกายศิษย์น้องเล็ก ดูเหมือนว่าต่างก็หน้าไม่บางเลยนะ ระหว่างคนสนิทคุ้นเคย พูดจาไม่ห่างเหินเป็นเรื่องดี แต่ทำตัวเป็นกันเองขนาดนี้ มีให้เห็นไม่ค่อยบ่อยกระมัง?
ตามคำกล่าวของอาจารย์ นิสัยของศิษย์น้องเล็กคือมีเมตตาอ่อนโยน นอบน้อมมัธยัสถ์ ไม่ขาดคำใดไปแม้แต่คำเดียว สำรวมตนเคารพมารยาทกฎระเบียบเป็นที่สุด ยามคนน้อยใจข้ามีอิสระเสรี ยามคนมากกลับยิ่งสำรวมระมัดระวังตน เพื่อแสวงหาขอบเขตของผู้รอบรู้ ความรู้จึงมุ่งไปสู่ขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ จัดการกับเรื่องใดก็ใจกว้างผ่าเผย…
ในอดีตยามที่พวกเขาสี่คนศึกษาเล่าเรียนอยู่ด้วยกัน แต่ไหนแต่ไรมาคำพูดของอาจารย์ก็มักจะพุ่งเป้าตรงประเด็นเสมอ ไม่มีทางโอ้อวดลูกศิษย์เด็ดขาด ก็เหมือนอย่างในปีนั้น เผชิญหน้ากับคำสรรเสริญเยินยอดุจกระแสน้ำขึ้นที่มีต่อลูกศิษย์สามคนของสายเหวินเซิ่ง อาจารย์ก็แค่พูดว่าความรู้ของเสี่ยวฉีข้านับว่าพอใช้ได้กระมัง ยังอยู่ห่างไกลจากอริยะปราชญ์ที่แท้จริงอีกมาก ตาแก่อย่างพวกเจ้าอย่าได้คิดดึงต้นหญ้าช่วยให้เติบโตเชียว
แล้วก็จะบอกว่าตัวอักษรของชุยฉานก็แค่พอถูไถ วิชาหมากล้อมธรรดาสามัญ เจ้าดูสิยังเอาชนะเจ้านครจักรพรรดิขาวไม่ได้เลย
บอกว่าจั่วโย่วเรียนวิชากระบี่ช้าไปหน่อย การที่พอจะมีความสามารถอยู่บ้างนั้นนับว่าเป็นความโชคดีโดยบังเอิญ คนที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ตัวอ่อนเซียนกระบี่ จะได้ดิบได้ดีสักเท่าไรกันเชียว คือเหตุผลข้อนี้หรือไม่เล่า?
หลังจากที่ศิษย์พี่จั่วก่อเรื่อง อาจารย์ก็ยิ่งมีข้ออ้างให้กล่าวถึง พวกเขามีความอาวุโสสูง จะไปโกรธเด็กรุ่นหลังทำไม อย่าถือสาเลย อย่าถือสา เดี๋ยวข้ากลับไปจัดการเขาให้เอง จั่วโย่ว! ยังมัวยืนถลึงตาอยู่ทำไม ไม่รู้จักมารยาทเสียบ้างเลย เร็ว รีบขอขมาเหล่าผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้ ให้มันจริงใจหน่อย ก้มหัวต่ำๆ หน่อย…
ในใจหมี่อวี้พลันกระจ่างแจ้ง เพียงแต่คร้านจะล้อมคอกเมื่อวัวหาย เพราะง่ายที่จะได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม
อาจารย์หลิวที่เรือนกายใหญ่โตมโหฬารผิดปกติข้างกายผู้นี้ เพียงแค่มองดูแล้วเป็นคนตัวสูงที่ทึ่มทื่อเท่านั้น ห้ามมองเขาเป็นคนที่ตาไร้แววเด็ดขาด
แม้ว่าหมี่อวี้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เกิดและเติบโตมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงอย่างไรก็เคยเห็นอริยะและวิญญูชนมาหลายคน ดังนั้นจึงไม่มีหน้าพูดเหน็บแนมด้วยภาษาของคนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยกตัวอย่างเช่น ‘ไกลมองอาเหลียง ใกล้มองอิ่นกวาน’
แม้จะบอกว่าตอนอยู่บ้านเกิด เรื่องของการทะเลาะถกเถียงด้วยถ้อยคำระคายหู ขอแค่ใต้เท้าอิ่นกวานอยู่ต่อหน้าผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทั้งในและนอกคฤหาสน์หลบร้อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรือทั้งในและนอกเรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัว ล้วนไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน แต่ก็ไม่อาจห้ามปากคนอื่นยามอยู่กันเป็นการส่วนตัวได้กระมัง?
อีกอย่างพวกหน้าม้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่ร้านเหล้า ที่บ่อนพนัน ภายนอกยามที่ด่าเถ้าแก่รองซึ่งมีหน้าที่เป็นคนมอบเงินให้ในทางส่วนตัวแล้ว ดูเหมือนว่าจะด่าแรงยิ่งกว่าใครเสียอีก
เพราะถึงอย่างไรหลิวสือลิ่วก็เป็นศิษย์พี่ของใต้เท้าอิ่นกวาน เรื่องบางอย่างหมี่อวี้ที่เป็นคนนอกสายเหวินเซิ่ง พูดไปแล้วก็ไม่เหมาะสมจริงๆ
หากหมี่อวี้โง่จริงๆ จะยังเป็นเซียนกระบี่หมี่ที่ก่อหนี้รักได้นับไม่ถ้วนอยู่อีกหรือ?
หลิวสือลิ่วกล่าว “เจ้าควรจะเดาออกแล้วว่าข้ามีชาติกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจ”
หมี่อวี้พยักหน้ารับ “เคยเห็นมามากแล้ว ยากที่จะแปลกใจได้อีก”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ หมี่อวี้สมกับเป็นเซียนกระบี่อย่างมาก
หลิวสือลิ่วจึงไม่เอ่ยอะไรอีก
เห็นเพียงว่าบนภูเขาลั่วพั่ว แม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งที่เดินกระโดดโลดเต้น ตอนแรกก็ไปทำความสะอาดศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อเป็นเพื่อนพี่หญิงหน่วนซู่ก่อน จากนั้นค่อยไปลาดตระเวนภูเขาเพียงลำพัง วันนี้นางอารมณ์ไม่เลว คาดว่าคงเป็นเพราะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ ยามวิ่งจึงไม่ได้เร็วมากปานนั้น เวลานี้นางกำลังร้องเพลงอย่างมีความสุขว่า แม่นางน้อยนางหนึ่งนั่งอยู่กลางน้ำเอย บนร่างสวมชุดสีแดง พายเรือไม่ใช้ไม้พายหนอ คนตัวโตเดาไม่ออกว่าเป็นใคร…ไหเล็กๆ สีแดงใส่เกี๊ยวแดงไว้เต็มล้น คนตัวโตไม่รู้เรื่อง ยังเกาหัวอยู่เลยเชียว…
หลิวสือลิ่ววางฝ่ามือสองข้างทับหัวเข่า “เซียนกระบี่ ข้าคงไม่ไปส่งแล้ว วันหน้าเจอกันใหม่ที่นครมังกรเฒ่า หลังเจ้าและข้าร่ำสุราด้วยกัน ก็ไม่ต้องส่งข้าเช่นกัน”
หมี่อวี้ยิ้มเจื่อนเอ่ย “แซ่หมี่”
จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มกว้าง “หน่วนซู่น้อยกับหมี่ลี่น้อย อาจารย์หลิวต้องปกป้องพวกนางให้มากๆ หน่อยนะ”
“เซียนกระบี่โปรดวางใจ มีข้าอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นแน่”
คำสัญญานี้ของหลิวสือลิ่วพูดได้อย่างผ่อนคลายดุจเมฆคล้อยสายลมโชยเอื่อย
จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มยื่นมือมาตบลงบนไหล่ของหมี่อวี้ “เจ้าเป็นคนไม่เลวเลย!”
หมี่อวี้ไม่ถือสาแล้วว่าคำเรียกขานเซียนกระบี่จะมีอักษรหมี่หรือไม่มี เพราะดูท่าแล้วต่อให้เขาจะถือสาก็ไม่มีประโยชน์เลยนี่นา
เซียนกระบี่ชุดเขียวคลี่ยิ้มลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม กุมหมัดคารวะหลิวสือลิ่วอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็ขี่กระบี่ออกเดินทางไกล พริบตาเดียวก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวที่พุ่งไปทางทิศใต้ ด้วยกังวลว่าหมี่ลี่น้อยเห็นแล้วจะเสียใจ รู้เร็วก็เสียใจเร็ว รู้ช้าก็เสียใจช้าหน่อย หมี่อวี้จึงจงใจเก็บลมปราณและภาพการขี่กระบี่เอาไว้ แสงกระบี่จึงแค่เปล่งวูบเดียวแล้วหายไป
เพียงแต่ว่าตอนนี้หมี่อวี้ยังไม่รู้ว่า คำว่า ‘เป็นคนไม่เลว’ ของหลิวสือลิ่วนี้ คือคำวิจารณ์แบบใด
ก่อนหน้านี้หลิวสือลิ่วพูดถึงสหายรักของตนอย่างป๋ายเหย่กับหลิวเสี้ยนหยาง
นั่นก็คือ ‘สหายรักป๋ายเหย่ เวทกระบี่ไม่เลว’ …
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!