เมื่อเผยเฉียนมาย้อนนึกดูในภายหลังนี่คือบทสนทนาที่ไร้เดียงสาซื่อเซ่ออย่างมาก
เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนภูเขาลั่วพั่วเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนนั้นตัวของเผยเฉียนสูงกว่าหมี่ลี่น้อยแค่เล็กน้อย สูงพอๆ กับพี่หญิงหน่วนซู่
เผยเฉียนเหม่อมองไปยังริมลำคลองฝั่งตรงข้าม
อวี้เจวี้ยนฟูมาหยุดอยู่ข้างกายนาง ยิ้มถามว่า “คิดอะไรน่ะ? บ้านเกิดที่แจกันสมบัติทวีป หรือว่าอาจารย์พ่อของเจ้า?”
อวี้เจวี้ยนฟูชอบมาหาเผยเฉียนขอฟังเรื่องเล่าเล็กๆ น้อยๆ จากนาง
เผยเฉียนไม่ช่างพูดช่างคุย เพียงแต่ว่าหากคนทั้งสองอยู่กันเพียงลำพัง เผยเฉียนถึงจะพูดถึงเรื่องราวในอดีตยามที่ออกท่องยุทธภพกับอาจารย์พ่อตอนที่นางยังเป็นเด็กกับอวี้เจวี้ยนฟูบ้าง
ครั้งนี้เผยเฉียนไม่ได้ตอบคำถาม เพียงแค่ลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มเรียกอวี้เจวี้ยนฟูว่าพี่หญิงไจ้ซี จากนั้นค่อยนั่งลงไปด้วยกัน
อวี้เจวี้ยนฟูสังเกตเห็นว่าดูเหมือนวันนี้เผยเฉียนจะอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก นางจึงไม่ได้เปิดปากพูดอะไร
แต่เผยเฉียนกลับเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนอย่างที่หาได้ยาก นางหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “พี่หญิงไจ้ซี ท่านรู้หรือไม่ว่าสองสถานที่ที่ห่างไกลที่สุดในใต้หล้านี้ คือที่ไหน?”
อวี้เจวี้ยนฟูค่อนข้างประหลาดใจกับอารมณ์ของเผยเฉียนที่จู่ๆ ก็ดีขึ้นในฉับพลัน ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
เผยเฉียนกอดเข่า มองไปยังตลิ่งฝั่งตรงข้าม เอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเป็นเพื่อนอาจารย์พ่อ มีครั้งหนึ่งอาจารย์พ่อมอบของขวัญเล็กๆ ชิ้นหนึ่งให้ข้า อาจารย์พ่ออารมณ์ดีมากๆ ก็เลยแอบเล่าเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งให้ข้าฟัง ริมลำธารสายเล็ก อาจารย์พ่อตุ๋นปลาพลางถามคำถามนี้กับข้าไปด้วย แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่รู้คำตอบเหมือนพี่หญิงไจ้ซี ก็เลยเดาไปส่งเดชหลายอย่าง อาจารย์พ่อเพียงแค่ส่ายหน้ายิ้มๆ …”
พูดมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็หัวเราะกับตัวเอง
ผู้ฝึกยุทธหญิงที่ผิวคล้ำเล็กน้อย อันที่จริงหากมองให้ละเอียด นางเองก็เป็นสตรีที่งดงามเช่นกัน
ทุกครั้งที่อาจารย์พ่อยิ้มกับนาง ฟ้าดินของเผยเฉียนก็จะเหมือนแสงจันทร์ที่อยู่บนฟ้าสูงทุกครั้ง
เผยเฉียนเอ่ยต่ออีกว่า “สุดท้ายอาจารย์พ่อบอกข้าว่า อาจารย์พ่อรู้สึกว่าเส้นทางที่ไกลที่สุดไม่ใช่การไปเยือนสถานที่ที่ห่างไกลอะไร ไม่ใช่การไปสำนักศึกษาต้าสุย ถึงขั้นไม่ใช่การไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่เป็นตอนที่อาจารย์พ่อของข้ายังเด็กแล้วเจอพายุฝนกระหน่ำอยู่บนภูเขา จากนั้นก็มีลำธารที่น้ำหลากสายหนึ่งขวางกั้นเอาไว้ อาจารย์พ่ออยู่ฝั่งหนึ่ง เส้นทางกลับบ้าน อยู่อีกฝั่งหนึ่ง”
เผยเฉียนตาแดงก่ำ พูดเสียงสะอื้นไห้ “ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจ ภายหลัง ต่อให้ข้าเคยได้เห็นม้วนภาพแห่งกาลเวลาของห่านขาวใหญ่แล้ว ตอนนั้นข้านึกไปว่าตัวเองเข้าใจแล้ว แต่อันที่จริงก็ยังไม่เข้าใจอยู่เหมือนเดิม”
นางสะอื้นเบาๆ ประหนึ่งน้ำในลำธารที่ไหลริกๆ
คนทุกคนที่อาจารย์พ่อมองว่าเป็นคนสนิทใกล้ชิด บ้างก็ลาจาก บ้างก็เปลี่ยนไป ล้วนทำให้อาจารย์พ่อเสียใจทั้งสิ้น ทว่าอาจารย์พ่อกลับได้แต่เสียใจอยู่กับตัวเองคนเดียว
หลังจากเผยเฉียนเติบใหญ่ก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจ ดังนั้นยิ่งนานจึงยิ่งเสียใจมากขึ้นทุกที
อวี้เจวี้ยนฟูตระหนกลนอยู่บ้างเล็กน้อย
แปลกยิ่งนัก
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างเผยเฉียนผู้นี้ จำต้องยอมรับว่า นางบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด!
บนสนามรบ ออกหมัดเหมือนบ้าคลั่ง ในใจกลับแข็งแกร่งดุจหินผา คำว่าอาการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน ทั้งกายและใจของนางล้วนไม่แยแสแม้แต่น้อย
เผยเฉียนหลั่งน้ำตา? เป็นเรื่องที่อวี้เจวี้ยนฝูมิอาจคิดมิอาจจินตนาการได้เลย
โชคดีที่เผยเฉียนกลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว นางหันหน้ามา น้ำตายังคลอกลบดวงตา แต่กระนั้นก็ยังคลี่ยิ้ม “เรื่องนี้ห้ามบอกอาจารย์พ่อของข้านะ”
อวี้เจวี้ยนฟูพยักหน้าเบาๆ
มองน้ำในลำคลองไหลผ่านไปอย่างเงียบเชียบเป็นเพื่อนเผยเฉียน
อวี้เจวี้ยนฟูพลันเอ่ยว่า “หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป การถามหมัดสามครั้งของเจ้ากับเฉาสือ ย่อมต้องแพ้อย่างมิต้องสงสัย”
เผยเฉียนพยักหน้าเบาๆ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา อารมณ์แปรเปลี่ยนกลมกลืนได้อย่างเป็นธรรมชาติ นางเอ่ยเสียงหนักว่า “ข้ารู้”
จากนั้นนางก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “เพราะฉะนั้นข้าจึงจะถามหมัดสี่ครั้ง!”
……
นครลมเย็นยังคงเจริญรุ่งเรืองคึกคัก มีนักท่องเที่ยวสัญจรไม่ขาดสาย ท่ามกลางสีสนธยา ร้านค้าแห่งหนึ่งปิดร้านแล้ว
บุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายในเรือนด้านหลังร้านของตัวเอง ในมือถือประคองเตาอุ่นมือ ชื่นชมหิมะอยู่เงียบๆ
เขาสวมชุดตัวยาวสีเขียว รองเท้าผ้าสีขาว ดูยากจนขัดสนอยู่บ้าง แต่กลับสะอาดสะอ้าน
เหมือนคนจากตระกูลมีฐานะที่ตกอบจนต้องมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน
ส่วนเจ้าแห่งแคว้นหูท่านนั้นกลับทำตัวเหมือนสาวใช้ประจำตัว คอยอุ่นเหล้าให้บุรุษอยู่ด้านข้าง
ช่วงนี้สวี่หุนเจ้านครออกไปจากนครลมเย็น ถ้าอย่างนั้นในฐานะก่อกำเนิดที่เหลือเพียงคนเดียวในนคร ไม่ว่านางจะพูดจาหรือทำอะไรล้วนไร้ความกริ่งเกรง
จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ครั้งแรกที่ออกไปท่องเที่ยวในใต้หล้าอันเป็นบ้านเกิด นั่นเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง จูเหลี่ยนสวมหน้ากาก ต้องการจะไปพบเจอกับปรมาจารย์วิถีวรยุทธ ผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพคนหนึ่ง
จูเหลี่ยนตอนที่ยังเป็นหนุ่ม ยามที่ออกเดินทางท่องยุทธภพเพียงลำพัง ได้ผ่านหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านมีต้นพลับขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่สูงชะลูดเหนือหลังคาเรือนมากมาย จุดที่สูงที่สุดของต้นไม้มีลูกพลับที่สุกงอมเต็มที่อยู่หลายลูก แต่ไม่มีคนไปเก็บ ตอนที่ร่วงลงมาก็สามารถทักทายกับกลิ่นควันไฟจากการหุงหาอาหารได้พอดี เด็กใจกล้าบางคนจะปีนขึ้นหลังคา เอาไม้ท่อนยาวๆ ไปสอยลูกพลับให้ร่วง ได้กินลูกพลับ แต่ก็ต้องโดนตี กระนั้นก็ไม่ขาดทุน
คุณชายจูเหลี่ยนผู้สูงศักดิ์มีชาติกำเนิดจากตระกูลเศรษฐีที่ยามจะกินข้าวทีก็มีคนมาขับร้อง อาหารวางในพานทอง คนในตระกูลเป็นขุนนางกันมาทุกยุคทุกสมัย
การออกเดินทางครั้งนั้นเป็นครั้งแรก เขาฝึกวรยุทธจนพอจะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ว่าสรุปแล้ววิชาหมัดของตนสูงเท่าใดกันแน่ เขากลับไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะอยู่ในตระกูลก็ดี หรืออยู่ในเมืองหลวงที่ทุกคนต่างมองเขาเป็นเจ๋อเซียนก็ช่าง จูเหลี่ยนจะมีโอกาสออกหมัดได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนั้นจูเหลี่ยนยังไม่ได้มองการเรียนวรยุทธเป็นเส้นทางที่จริงจังด้วยซ้ำ ก็แค่หยิบเอาตำราลับวิชายุทธสองสามเล่มที่เก็บรักษาอย่างดีอยู่ในตระกูลออกมาอ่านเล่นเท่านั้นเอง
ดังนั้นการเดินทางในครั้งนั้นกลับกลายเป็นว่าจูเหลี่ยนตั้งใจใช้ใจมองขุนเขาสายน้ำมากที่สุด
จากนั้นจูเหลี่ยนที่อยู่ในร้านขายเหล้าขาวแห่งหนึ่งในหมู่บ้านก็เห็นว่ามีคนผู้หนึ่งสวมชุดฝ้าฝ้ายตัวหนายับย่น สวมรองเท้าผ้าฝ้ายที่ปุยฝ้ายม้วนงอ สวมหมวกผ้าฝ้ายที่มองดูแล้วซีดเซียว เดินหลังค่อมก้าวข้ามธรณีประตูร้านเข้ามา ทว่าตอนที่เปิดปากพูดเขากลับยืดเอวตั้งตรง ตะเบ็งเสียงดังลั่น บอกกับเจ้าของร้านเหล้าว่าต้องการเหล้าอุ่นสองตำลึง บวกกับถั่วโรยผงยี่หร่าหนึ่งจาน
ตอนนั้นจูเหลี่ยนซื้อเหล้าหมักด้วยวิธีพื้นบ้านหนึ่งจินมาจากที่ร้าน บางทีชายฉกรรจ์คนนั้นอาจรู้สึกว่าตัวเองดื่มเหล้าสองตำลึง ทว่าคนต่างถิ่นกลับซื้อถึงหนึ่งจินเต็มๆ รู้สึกว่าขายหน้าคนเป็นบัณฑิต ชายฉกรรจ์คนนั้นจึงเอานิ้วจุ่มลงไปในเหล้าที่เหลือติดก้นถ้วย ยิ้มถามพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านว่า รู้หรือไม่ว่าอักษรฮุยของคำว่ายี่หร่าเขียนแบบใดได้บ้าง
พวกเด็กๆ ไม่ได้สนใจชายคนนั้น เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นสนุกของตัวเองไป
จูเหลี่ยนจึงเปลี่ยนความคิด สั่งเหล้าจากทางร้านมาเพิ่มอีกหนึ่งชาม ถามชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมผู้นั้นว่าอักษรฮุยเขียนแบบใดได้บ้าง
ชายฉกรรจ์เช็ดคราบสุราที่เปื้อนบนโต๊ะคิดเงิน จูเหลี่ยนจึงสั่งเหล้ามาอีกหนึ่งชามสองตำลึง ยื่นส่งให้กับบุรุษที่อาจเคยเรียนหนังสือมาก่อน แล้วก็อาจจะไม่เคยได้เรียนมาก่อนก็เป็นได้
สุดท้ายชายฉกรรจ์คนนั้นดื่มเหล้าสองตำลึงที่ตัวเองจ่ายเงินซื้อ และยังมีเหล้าอีกสองตำลึงที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ตอนที่ก้มหน้าดื่มเหล้าเขาแอบหัวเราะ พอดื่มเหล้าคำสุดท้ายในถ้วย ชายฉกรรจ์ก็ร้องไห้โฮขึ้นมาดังลั่น บอกว่าตอนที่เดินมา มีหมาตัวหนึ่งมองเขา น่ากลัวเกินไปแล้ว
ทั้งเจ้าของและลูกค้าในร้านเหล้าต่างก็พากันหัวเราะครืน
ตอนนั้นจูเหลี่ยนกลับไม่ได้เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่ได้หัวเราะ
นี่ก็คือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของบ้านเกิดในอดีต
บ้านเกิดใหม่ก็มีเรื่องราวบางอย่างเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นที่อยู่ในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า ผู้อาวุโสทวนยาวหนึ่งฉื่อที่พอเจอกับจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงต่างก็ถูกชะตากันอย่างมากผู้นั้น
อันที่จริงสวินยวนกับภูเขาลั่วพั่วนั้น มีทั้งบุญคุณและความแค้นต่อกัน อีกทั้งยังไม่ใช่น้อยๆ เพียงแต่ว่าไม่รอให้เจ้าขุนเขากับจูเหลี่ยนไปถกถามถึงเรื่องบุญคุณความแค้น สวินยวนกลับตายไปก่อนแล้ว
ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าก็ขาดผู้ชมมือเติบใจป้ำที่ชอบเปิดอ่านตำราเทพเซียน และยิ่งชอบนั่งดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำแล้วทุ่มทองพันชั่งไปคนหนึ่งแล้ว
บุญคุณความแค้นของภูเขาลั่วพั่วหายไปส่วนหนึ่ง บนโลกมนุษย์ก็ขาดเรื่องน่าสนใจไปมากมาย
จูเหลี่ยนค้อมเอววางเตาพกไว้ข้างเท้า แล้วทิ้งตัวนอนหงายอีกครั้ง
คนรู้ในใจโลกจะมีได้สักกี่คนกันเชียว แต่กลับยังต้องหายจากกันไปทีละคน
สตรีถามเสียงอ่อนโยน “เหยียนฟ่าง คิดเรื่องอะไรอยู่หรือ?”
นางยังคงเคยชินที่จะเรียกเขาว่าเหยียนฟ่าง หากในร้านมีคนนอกก็จะเรียกว่าเถ้าแก่เหยียน
จูเหยียนเหลี่ยนฟ่าง เก็บซ่อนรูปโฉมอันงดงาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!