หลี่ซีเซิ่งที่เก็บซ่อนตัวปิดประตูศึกษาหาความรู้อยู่ในแคว้นเล็กอันห่างไกลของอุตรกุรุทวีปมาโดยตลอด วันนี้ได้บอกลากับบัณฑิตที่เดิมทีควรชื่อว่าหลี่เป่าโจว บอกว่าจะออกเดินทางไกลสักครั้ง
หลังกลับมาถึงเรือนตัวเอง หลี่ซีเซิ่งก็บอกเด็กรับใช้ชุยซื่อที่มีชาติกำเนิดเป็นคนกระเบื้องว่าอย่าลืมปัดกวาดเช็ดถูเรือนทุกวัน มานะศึกษาเล่าเรียน
เป็นครั้งแรกที่บัณฑิตลัทธิขงจื๊ออย่างหลี่ซีเซิ่งแขวนยันต์ไม้ท้อแห่งชะตาชีวิตไว้ที่เอว
เมื่อเขาก้าวออกมาก้าวหนึ่ง แล้วฝ่าเท้านั้นเหยียบลงบนพื้นดิน ก็เดินทางทางอุตรกุรุทวีปมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว
อริยะหลายท่านที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของสองทวีปไม่เพียงแต่ไม่ขัดขวางภาพเหตุการณ์ผิดปกตินี้ กลับกันยังผงกศีรษะทักทายหลี่ซีเซิ่งที่เดินทางไกลข้ามทวีปในชั่วพริบตาอีกด้วย
เจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิงท่านหนึ่ง ต่อให้เป็นเพียงหนึ่งในสามร่างแยก ไยจะไม่คู่ควรกับมารยาทพิธีการเช่นนี้เล่า?
หลี่ซีเซิ่งยื่นมือไปตบยันต์ไม้ท้อเบาๆ ครั้งนี้เดินทางไกลอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไปอย่างเงียบเชียบ แม้แต่อริยะบนม่านฟ้าก็ยังสัมผัสไม่ถึง
หลี่ซีเซิ่งไม่ได้ไปที่ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางหรือภูเขาตระกูลเซียนใหญ่อะไร แต่ไปตามหาบุรุษวัยกลางคนไม่สะดุดตาคนหนึ่งจากหมู่บ้านด้านล่างภูเขา
ข้างกายของชายฉกรรจ์มีคนหนุ่มลักษณะประหลาดติดตามมาด้วย ในสายตาของหลี่ซีเซิ่ง ภายใต้การอนุมาน คนที่เขามาพบก็คือคนในอนาคต
ดูเหมือนว่าจะเกิดจากการนำกระดาษสองแผ่นมาประกอบกัน จิตหยินจิตหยางทับซ้อนแต่กลับมิอาจผสานรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยังคงเป็นจิตหยางกายนอกกายและจิตหยินที่ออกเดินทางไกลแต่ยังไม่กลับคืนมา
จิตหยางมีร่างเป็นบุรุษ ส่วนจิตหยินกลับเป็นเนื้อหนังมังสาของสตรี
ดูเหมือนว่ากำลังรอคอยร่างที่แท้จริงอยู่ ‘คนทั้งสอง’ ถึงจะสามารถกลับคืนสู่ตำแหน่ง กลายเป็นคนคนเดียวอย่างสมบูรณ์แบบได้อย่างแท้จริง
หลี่ซีเซิ่งไม่ยินดีจะมองฝ่าความลับสวรรค์อีกต่อไป บางทีหากเพ่งตามองไปนิ่งๆ อีกครั้ง มีบุรุษคนนั้นอยู่ข้างกาย ด้วยมรรคกถาของหลี่ซีเซิ่งในทุกวันนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถมองเห็นจุดที่ร่างจริงของคนหนุ่มอยู่
แต่ ‘จิตหยินที่เป็นสตรี’ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ได้อยู่ที่นี่ หลี่ซีเซิ่งกลับรู้รากฐานของนางคร่าวๆ ว่ามาจากพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง ทุกวันนี้มีชื่อว่า ‘หลิวไฉ่’ ตัวอยู่ที่แจกันสมบัติทวีป
หลี่ซีเซิ่งประสานมือคารวะ “คารวะโจวจื่อ”
เติมอักษร ‘จื่อ’ ไว้ด้านหลังแซ่ คือการให้เกียรติอย่างใหญ่หลวง
สำนักหยินหยางของใต้หล้าไพศาลมีคำกล่าวว่า ‘ถานเทียนโจว’ (พูดถึงฟ้า) และ ‘ซัวตี้โจว’ (พูดถึงดิน) มาโดยตลอด
โจวกับลู่สองแซ่นี้ ฝ่ายแรกควันธูปกระจัดกระจายบางเบา ไม่เป็นโล้เป็นพาย ความรู้ยังไม่สามารถวิวัฒนาการไปได้ ส่วนฝ่ายหลังกลับเป็นผู้นำของสำนักหยินหยางในใต้หล้าได้อย่างสมศักดิ์ศรี
ส่วนบุรุษที่มองดูคล้ายสีหน้าทึ่มทื่อเบื้องหน้าหลี่ซีเซิ่งผู้นี้ เขาคนเดียวก็ยึดครองความรู้ครึ่งหนึ่งของแผ่นดิน เล่าลือกันว่า ‘พูดคุยเรื่องฟ้าได้ทุกเรื่อง’
ส่วนสกุลลู่สำนักหยินหยางของแผ่นดินกลางที่ ‘พูดถึงแผ่นดิน’ นั้น ยังเป็นทายาทของลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง อดีตศิษย์น้องเล็กที่หลี่ซีเซิ่งรับมาแทนอาจารย์อีกด้วย
ทว่าบรรพบุรุษของ ‘ตระกูลพูดถึงแผ่นดิน’ กลับมีนามว่าลู่เฉิน (ลู่เฉินหมายถึงแผ่นดินที่จมลง) นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่คล้ายกับเป็นบัญชาสวรรค์อย่างหนึ่ง สอดคล้องกับบุคลิกบนมหามรรคาของลู่เฉินที่บอกว่า ‘ข้าอยู่บนโลกมนุษย์เดินทางอย่างอิสระเสรี’ อย่างถึงที่สุด
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ลู่เฉินไม่ถือว่าเป็นศิษย์น้องเล็กของ ‘หลี่ซีเซิ่งสามคน’ ได้แล้ว เพราะลู่เฉินเองก็เอาอย่างเขาด้วยการรับลูกศิษย์คนสุดท้ายมาแทนอาจารย์เช่นกัน ฝ่ายหลังมีนามว่าซานชิง (ขุนเขาเขียว)
ซานชิง (ขุนเขาเขียว) พ้องเสียงกับซานชิง (ตรีวิสุทธิ์หรือสามมหาเทพตามความเชื่อของลัทธิเต๋า) แน่นอนว่านี่ก็คือการระลึกถึงอย่างหนึ่งที่หาได้ยากสำหรับคนที่ไร้ความรู้สึกเฉกเช่นลู่เฉิน
ในฐานะที่เป็นคนของลัทธิเต๋าสายอื่นครึ่งตัว ชายฉกรรจ์คนนั้นจึงคำนับหลี่ซีเซิ่งที่อยู่ตรงหน้าตามพิธีการของลัทธิเต๋าอย่างเกรงอกเกรงใจ “คารวะเจ้าลัทธิใหญ่”
หลี่ซีเซิ่งยืดตัวขึ้นแล้วก็เบี่ยงตัวหันข้างเล็กน้อย ไม่รับการคารวะนี้ เขายิ้มพลางส่ายหน้า “ตอนนี้ยังคงไม่นับ แล้วนับประสาอะไรกับที่วันหน้าก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถนับได้”
ชายฉกรรจ์พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในเมื่อท่านเจ้าลัทธิใหญ่มาหาถึงที่นี่ได้ ก็น่าจะทำนายได้ว่าในอดีตคนที่วางแผนเล่นงานเจ้าลัทธิใหญ่กับลูกหลานสกุลหลี่ถนนฝูลวี่ก็คือข้า ไม่ทราบว่าที่ท่านมาครั้งนี้ เพื่อถามเอาผิด หรือเพื่อ…ถามมรรคา?”
หลี่ซีเซิ่งเพียงแค่คลี่ยิ้มแทนคำตอบ หันหน้าไปมองคนหนุ่มที่ตรงเอวห้อยน้ำเต้าลูกเล็กหนึ่งพวง น้ำเต้าสองลูกในนั้นมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า
ส่วนข้อที่ว่าจะทวงคืนกลับไปหรือไม่ ไม่มีความจำเป็นแล้ว
ในอดีตเกี่ยวกับเรื่องที่ธนูคันหนึ่งชักนำนักปราชญ์สามลัทธิในโลกหลัง ได้มีคำกล่าวที่แตกต่างกันออกไป
สรุปว่าผลได้ผลเสียอยู่ที่ใคร อยู่ที่ไหน อันที่จริงก็มีเหตุผลเพียงแค่ข้อเดียว
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เก้าลูกที่ทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล สำหรับเขาหลี่ซีเซิ่งสองคนที่เป็น ‘คนในอดีตและคนในปัจจุบัน’ แล้ว ล้วนยังคงไม่แตกต่าง
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยกับบุรุษว่า “เพียงแค่ต้องการยืนยันเรื่องบางอย่างให้แน่ใจเสียก่อน จากนั้นค่อยถกมรรคาถามปัญหากับอาจารย์”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ปรารถนามาเนิ่นนาน รอมาหลายปีเหลือเกินแล้ว”
หลี่ซีเซิ่งหุบยิ้ม เอ่ยว่า “ทางฝ่ายของเป่าผิง สามารถหยุดมือได้แล้ว”
ชายฉกรรจ์พยักหน้า “หยุดมือนานแล้ว”
เรื่องเล็กๆ หลายเรื่องในอดีต เรื่องใหญ่ในวันหน้า เมื่อลงมือทำด้วยมือของเขา แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นดั่งกบกระโดดแตะผิวน้ำเท่านั้น
ศิษย์น้องหญิงที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวคนนั้น ห่างไกลกับเขาไม่ใช่แค่พันหมื่นลี้
หลี่ซีเซิ่งบอกลาแล้วขอตัวจากไป
คนหนุ่มที่ไม่พูดไม่จายืนนิ่งอยู่ข้างกายบุรุษมาโดยตลอดถูกชายฉกรรจ์พาไปยังพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งแล้วก็ออกมา คนหนุ่มเคยอยู่ในใบถงทวีปมานานหลายปี ไปเยี่ยมเยือนอารามเต๋าแห่งหนึ่งมาหลายครั้ง
ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าตวนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ภายใต้แสงจันทร์ สตรีผู้หนึ่งสวมชุดสีแดงสด มือหนึ่งจูงม้าขาว มือหนึ่งถือกาเหล้า แหงนหน้าดื่มสุรา
นางพลันตกตะลึงระคนดีใจ ทั้งยังอับอายขึ้นมานิดๆ เอากาเหล้าไปซ่อนไว้ด้านหลัง ยิ้มจนตาหยี เอ่ยเรียกเบาๆ คำหนึ่งว่าพี่ชาย
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่แท้ก็ยังไม่ลืมว่ามีพี่ใหญ่อย่างข้าอยู่นี่นะ”
หลี่เป่าผิงยังคงยิ้มจนดวงตาทั้งคู่โค้งลงเป็นจันทร์เสี้ยว
หลี่ซีเซิ่งลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เป่าผิง เจ้าคงจะรู้แล้ว”
หลี่เป่าผิงยิ้มกล่าว “ข้ารู้สิ ท่านคือพี่ชายของข้า”
หลี่ซีเซิ่งเองก็ยิ้มเหมือนกัน
หลี่ซีเซิ่งชำเลืองตามองไปยังทิศไกล คนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีกลิ่นอายเซียนล่องลอยปกคลุมร่างคล้ายกำลังสะกดรอยตามน้องสาวของตนอยู่ไกลๆ
หลี่เป่าผิงเอ่ยอย่างจนใจ “เจ้าหมอนั่นชื่อสวี่ป๋าย ไม่ถือว่าเป็นอันธพาลไร้เหตุผลสักเท่าไร ก็แค่ชอบตามมา”
หลี่เป่าผิงทำหน้าทะเล้นใส่หลี่ซีเซิ่ง “เจ้าหมอนี่ชอบข้าแล้วมีประโยชน์อะไร ข้าไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับ ร่างเปล่งวูบหายไป ก่อนมาปรากฎตรงหน้าสวี่ป๋ายที่เป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ แล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ขอเจ้าจงจากไปด้วย”
สวี่ป๋ายทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ในใจรู้สึกร้อนตัว แต่ก็มีเรื่องบางอย่างอยากจะเอื้อนเอ่ย
หลี่ซีเซิ่งยิ้มกล่าว “หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์หรือ ดีมาก แต่อย่ามาชอบน้องสาวข้าเลย นางไม่มีทางชอบเจ้าหรอก เจ้าจะหาเรื่องใส่ตัวทั้งยังสร้างความรำคาญให้คนอื่นไปไย”
สวี่ป๋ายมีสายตาเด็ดเดี่ยว หน้าแดงน้อยๆ แต่กลับพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ก็ข้าชอบนาง!”
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้า หุบยิ้ม เอ่ยว่า “วันหน้าข้าคงไม่มาวุ่นวายแล้ว แต่ตอนนี้ยังขอเชิญให้เจ้าไปที่อื่นก่อน อย่าได้มาถ่วงรั้งการเดินทางไกลของน้องสาวข้า”
สวี่ป๋ายเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่มีทางเดินเข้าไปพูดคุยกับนาง ข้าไม่รบกวนนางอย่างแน่นอน…”
นาทีถัดมา
ไม่รอให้สวี่ป๋ายพูดจบ เขาก็ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า โดยไม่ทันรู้ตัวตนก็อยู่ห่างออกมาพันลี้แล้ว
ส่วนบัณฑิตชุดเขียวผู้นั้นยังคงยืนอยู่ข้างกายตน สวี่ป๋ายกำลังจะอ้าปากพูด หลี่ซีเซิ่งก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ดูท่าจะยังไม่พอ” จากนั้นก็ ‘เชิญตัว’ สวี่ป๋ายให้ออกห่างไปไกลหลายหมื่นลี้
หลี่ซีเซิ่งกลับมาอยู่ข้างกายหลี่เป่าผิง ยิ้มบางๆ ให้นาง “เรียบร้อยแล้ว หากเขายังกล้าตามเจ้า เจ้าก็เรียกชื่อพี่อยู่ในใจ คราวหน้าข้าจะไม่เกรงใจเขาแล้ว”
หลี่เป่าผิงพลันรู้สึกเสียใจและน้อยเนื้อต่ำใจ แต่นางกลับไม่เอ่ยอะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!