บทที่ 714.1 เฉินสืออี – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 714.1 เฉินสืออี จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
สองมือของเฉินผิงอันถือมีด ไม่ได้รีบร้อนลงมือ
เผชิญหน้ากับ ‘คนวัยเดียวกัน’ ที่ติดอันดับสิบคนรุ่นเยาว์ ควรจะต่อสู้อย่างไร นี่มีความรู้ซุกซ่อนอยู่
ต้องรู้ว่าสิบคนแรกนั้น ไม่มีการแบ่งลำดับก่อนหลัง
และเขาก็เป็นคนที่อยู่ในอันดับที่สิบเอ็ด
ส่วนแม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายตรงหน้าผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นตัวตนที่แท้จริง การสืบทอดจากอาจารย์ ประวัติความเป็นมา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนยังคงเหมือนมีเมฆหมอกล้อมวน เหมือนยังซ่อนตัวอยู่ในดวงจันทร์ ในเมื่อนางกล้ามาที่นี่ก็ต้องมั่นใจว่าจะสามารถจากไปได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่อย่างนั้นเจ้าหมาแก่หลงจวินก็ไม่มีทางปล่อยให้นางทำอะไรโดยใช้อารมณ์แน่นอน
ดังนั้นจะทำให้นางตกใจจนหนีไปไม่ได้เด็ดขาด
ต้องให้นางวางใจ อีกทั้งยังปลดปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่หวังจะสังหารตนให้ได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่คนที่อยู่ในสิบอันดับ หากไม่สามารถสังหารคนที่อยู่แค่อันดับสิบเอ็ดได้ ก็ฟังไม่ขึ้นเท่าใดนัก แพร่ออกไปแล้วก็ยิ่งไม่น่าฟัง
เฉินผิงอันเดินไปหานางช้าๆ มีดสั้นคู่หนึ่งพลิกตลบว่องไวอยู่ระหว่างนิ้วและหลังมือของเขา
แสงมีดตัดสลับ ลำแสงเป็นเส้นๆ ไหลริน เพราะความเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วเกินไป แสงมีดมีมากเกินไป ประกายแสงล้อมวนห่อหุ้มกันอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายจึงเหมือนดวงจันทร์เล็กๆ น่ารักสองดวงที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน
เซอเยว่เห็นว่าคนหนุ่มไม่ได้รีบร้อนจะลงมือก็เป็นฝ่ายรอให้เขาเริ่มก่อนอย่างอดทน
นางสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการใดมาเปิดฉาก จะเป็นยันต์ที่ใช้เป็นเวทอำพรางตา หรือเป็นกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ที่ขนาดเซียนกระบี่ในกระโจมเจี่ยเซินก็ยังต้องฝืนกล้ำกลืนความลำบาก? หรือจะเป็นหมัดของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตยอดเขา?
เซอเยว่ได้ยินเรื่องเล่าลือมหัศจรรย์พันลึกของอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้มาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีคำกล่าวสองอย่างที่ทำให้เซ่อเยว่ซึ่งไม่ค่อยชอบจดจำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองจดจำได้อย่างแม่นยำอย่างที่หาได้ยาก
ในและนอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไกลอาเหลียงใกล้อิ่นกวาน ใต้โซ่วเฉินเหนืออิ่นกวาน
ส่วนลูกเล่นลวดลายของเฉินผิงอันในเวลานี้ เซอเยว่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพราะหากจะพูดถึงเรื่องวิชาอภินิหารในการ ‘เล่นดวงจันทร์’ ของคนในใต้หล้า เมื่ออยู่ต่อหน้านางก็ล้วนเป็นเรื่องตลกชวนขบขันทั้งสิ้น
ในอดีตเจ้าอารามดอกบัวปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่เป็นหนึ่งในเพื่อนบ้านของนางก็แค่อาศัยว่าอายุมากกว่าหน่อย ถึงได้เปรียบนางไปเล็กน้อยเท่านั้น
นางเพียงแค่ขยับเส้นสายตา มองซ้ายที มองขวาที ยังคงรู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ยังคงเหมือนในอดีตที่นางมองเห็นเขาไกลๆ ก่อนจะเดินทางขึ้นเหนือ รูปโฉมไม่เลว แต่ก็แค่ไม่เลวเท่านั้น ไม่ได้ดูงดงามหล่อเหลาอย่างเนื้อหนังมังสาของเจียงซ่างเจิน
แน่นอนว่าบุรุษรูปโฉมคมคายหรือไม่ ไม่สำคัญ สตรีเองก็ใช้หลักการเดียวกัน
เคยมีเพื่อนบ้านบนฟ้าผู้หนึ่งบอกว่าขอแค่พบเจอคนที่ใช่ ในดวงตาทั้งคู่ก็จะมองเห็นทัศนียภาพที่งดงามที่สุด ต่อให้อยู่กันคนละฟากฟ้า ก็ประหนึ่งตะวันจันทราที่หันเข้าหากันอยู่ไกลๆ สายตาที่คอยเฝ้ามองจะไม่แปรเปลี่ยนไปชั่วนิจนิรันดร์
น่าเสียดายที่เซอเยว่ไม่ได้สนใจเรื่องความรักระหว่างชายหญิงอะไรเลยจริงๆ ความรักความลุ่มหลงความจริงใจอะไรนั่น แค่คิดนางก็ยังนึกภาพไม่ออกเลย
เฉินผิงอันก้าวเดินเนิบช้าพลางถามหยั่งเชิงอย่างเอื่อยเฉื่อยด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ไปด้วย “ก่อนหน้านี้บนฟ้ามีภาพเหตุการณ์ผิดปกติ ดวงจันทร์หายไปดวงหนึ่ง เป็นเหตุให้แม้แต่ทางฝั่งของข้าก็ยังรับสัมผัสทางจิตได้ คงไม่ใช่ว่าถูกแม่นางเซอเยว่เก็บเข้ามาไว้ในชายแขนเสื้อหรอกกระมัง? หากเป็นเช่นนี้จริง พวกเราจะต่อสู้กันอย่างไร ข้าก็แค่ร่างอยู่ในฟ้าดินเล็กบนหัวกำแพงเมือง แต่แม่นางเซอเยว่กลับอยู่ในฟ้าดินกว้างใหญ่ของดวงจันทร์…แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าอยู่แค่อันดับสิบเอ็ดเท่านั้น ห่างจากสิบอันดับแรกอย่างพวกเจ้าอยู่หนึ่งก้าวก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว ความรู้ความเข้าใจตัวเองน้อยนิดแค่นี้ ข้ายังพอจะมีอยู่บ้าง”
แม่นางหน้ากลมไม่ได้บอกว่าพระจันทร์ดวงนั้นหายไปไหน แต่เอ่ยว่า “หากเจ้าไม่ยินดีจะสู้ ข้ายังไงก็ได้ เดิมทีข้าก็มาเพื่อชมทัศนียภาพอยู่แล้ว เป็นเจ้าที่บีบคั้นคนอื่น ร่ำร้องจะฆ่าแกงกับข้าให้ได้”
เป็นสหายรักกับเจียงซ่างเจินของใบถงทวีปผู้นั้น ล้วนเป็นพวกหน้าไม่อายทั้งสิ้น
และยามที่บุรุษทำตัวหน้าไม่อายขึ้นมา ก็ไม่เกี่ยวข้องว่าอายุมากหรือน้อยจริงๆ เสียด้วย
ทั้งสองฝ่ายยังอยู่ห่างกันอีกประมาณสามสิบจั้ง เพียงแต่ว่าสำหรับขอบเขตของทั้งสองฝ่ายแล้ว นี่เรียกว่าใกล้ในระยะประชิด หากจะบรรยายว่าห่างกันเพียงแค่เสี้ยวเดียวก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งขณะอยู่ห่างไปยี่สิบจั้ง พลันกำด้ามมีดแน่น ปลายมีดหันไปด้านหลัง ราวกับว่าต้องการแสดงความเป็นมิตรกับสตรี ยิ้มบางๆ ถามว่า “แม่นางเซอเยว่ เจ้าเป็นแขก เจ้าบอกมาเถอะว่าพวกเราจะต่อสู้กันอย่างไร มาปรึกษาให้ได้แบบแผนกันก่อนดีไหม? ให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด ไม่อย่างนั้นย่อมง่ายที่จะทำลายความปรองดอง”
เซอเยว่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่มองมีดสองเล่มของอีกฝ่ายนานหน่อย ก่อนเอ่ยว่า “มีดดี คมกริบ แต่กลับเก็บงำประกายอย่างลึกล้ำ มีชื่อว่าอะไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “เก็บมาได้จากข้างทาง ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ไม่อาจเทียบวิธีการใหญ่เทียมฟ้าที่รวบเอาดวงจันทร์ดวงโตมาหลอมเป็นชะตาฟ้าของแม่นางเซอเยว่ได้ น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสหลงจวินกังวลว่าข้าจะถามมรรคาฝึกหมัดอย่างไม่ตั้งใจ จึงช่วยตัดขาดฟ้าดินให้กับข้า เลยไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจนี้กับตาตัวเอง”
เซอเยว่เอ่ย “แม้ว่าเจ้าจะจงใจแสร้งทำเป็นอ่อนแอให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ทว่าจิตสังหารที่เข้มข้นของเจ้านั้นกลับเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ เจ้าไม่ควรปล่อยให้แสงมีดมารวมตัวกันเป็นรูปลักษณ์ของดวงจันทร์โดยไม่ทันระวังเช่นนี้ แน่นอนว่าข้าเดาว่านี่เป็นการกระทำจากความตั้งใจของเจ้า อิ่นกวานอย่างเจ้าออกจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่า ไม่ว่าจะรายละเอียดน้อยใหญ่ใดๆ ยามอยู่ในสนามรบล้วนถูกเรียบเรียงและรวมเล่มขึ้นมานานแล้ว ข้าสามารถเอามาอ่านได้ และเฝ่ยหรานผู้นั้นก็ชอบเอามาเปิดอ่านแกล้มสุราเป็นที่สุด”
เฉินผิงอันหยุดเดินอีกครั้ง กล่าวอย่างจนใจว่า “หรือว่าจะเป็นดั่งคำว่ามือถืออาวุธ จิตสังหารก็เกิดขึ้นได้เองจริงๆ? ต้องโทษที่ข้าฝึกฝนจิตใจได้ไม่ดีพอ ยิ่งต้องเลื่อมใสในแววตาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแม่นางเซอเยว่ ส่วนพี่เฝ่ยหรานท่านนั้น หากเขาเลื่อมใสข้าขนาดนี้ เซอเยว่หลังจากเจ้าประมือกับข้าไปแล้วก็ช่วยนำความไปบอกกับเขาทีว่า ให้เขาเปลี่ยนมาใช้แซ่เฉินของข้าเสียเลยเถอะ”
สีหน้าของเซอเยว่เหยเกเล็กน้อย
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้งได้ในฉับพลัน “เจ้าคนหน้าไม่อายเฝ่ยหรานผู้นั้นใช้นามแฝงแซ่เฉินจริงๆ หรือ? ก่อนหน้านี้มาเป็นแขกที่นี่ก็ไม่เห็นจะบอกกล่าวข้าก่อนสักคำ หยิบฉวยไปเองโดยไม่ถามไถ่ก็คือโจรนะ ไร้อายรธรรมสิ้นดี!”
ไม่ได้พูดคุยกับคนนอกมานานหลายปีเหลือเกินแล้ว
คิดถึงยิ่งนัก
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยินดีจะแหกกฎเพื่อนางเป็นพิเศษ
การต่อสู้ในวันนี้พูดให้มากก่อน นี่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อให้ได้พูดมากขึ้นอีกแค่ประโยคเดียวก็ยังสามารถช่วยขับไล่เงามืดมากมายให้ตนได้อยู่ดี
จิตใจที่ต้องทนทรมานกับการที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาแทบจะหยุดนิ่งเช่นนั้น เฉินผิงอันไม่อยากพบเจออีกเป็นครั้งที่สองแล้วจริงๆ
มีดสั้นในมือของเขาเล็กและแคบเหมือนกริช ได้มาจากการเข่นฆ่าในหุบเขาของอุตรกุรุทวีป ตอนนั้นเฉินผิงอันถูกนักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มหนึ่งดักสังหาร
เป็นการพบเจอกันบนทางแคบครั้งหนึ่ง หลังจากการเข่นฆ่าที่อันตรายผ่านพ้นไป เฉินผิงอันที่ไม่ค่อยเชื่อว่าตัวเองมีโชคจึงให้สุยจิ่งเฉิงช่วยเก็บของเชลยศึกมา หนึ่งในนั้นก็คือมีดสั้นคู่นี้ที่นางค้นเจอ พวกมันสองเล่มแบ่งออกเป็นสลักคำว่า ‘น้ำค้างรุ่งอรุณ’ กับ ‘แสงสายัณห์’ อันที่จริงไม่เพียงเฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงเท่านั้นที่แรกเริ่มมองของไม่ออก เข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นมีดทั่วไป แม้แต่สตรีนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ที่เป็นเจ้าของมีดเก่าก็ยังดูสมบัติหนักตระกูลเซียนคู่นี้ไม่ออกเหมือนกัน ภายหลังเฉินผิงอันได้ไปเจอกับสหายรักหลิวจิ่งหลง อีกฝ่ายที่อ่านตำราเบ็ดเตล็ดมานับไม่ถ้วนถึงได้เปิดเผยความลับสวรรค์ให้ฟัง หลิวจิ่งหลงไม่เพียงแต่ถ่ายทอดวิชาหลอมที่บันทึกอยู่ในตำราให้แก่เฉินผิงอัน ยังบอกอีกว่า ‘ร่างจริง’ ของมีดเล่มหนึ่งในนั้นแกะสลักคำว่า ‘จู๋ลู่’ (มาจากคำว่าจู๋ลู่เทียนเซี่ย หมายถึงเหล่าผู้กล้ารวมตัวกันช่วงชิงอำนาจจากฟ้า หรือแปลตรงตัวได้ว่าขับไล่กวาง) หรือก็คือ ‘กริชเฉาจื่อ’ ที่บันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ และคำว่าเฉาจื่อนั้นก็คือเฉาโม่ที่เฉินผิงอันคิดว่าจะเอามาใช้เป็นนามแฝงใหม่ล่าสุดยามออกท่องยุทธภพในวันหน้า
วันหน้าไม่ว่าจะไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือหวนกลับใต้หล้าอันเป็นบ้านเกิด ยามรับมือกับศัตรูที่เป็นผู้ฝึกตนซึ่งต่ำกว่าห้าขอบเขตบนทั้งหมด เฉินผิงอันจะทำให้อีกฝ่ายไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองตายอย่างไร
ส่วนพวกคนตายเหล่านี้จะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง รู้ชื่อจริงของเขาหรือไม่ ก็ต้องดูที่อารมณ์ของเฉินผิงอันแล้ว
แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้เขาต้องออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียก่อน
‘เฉาจื่อ’ เฉาโม่ คือบุคคลอันดับหนึ่งในรายชื่อนักฆ่าของตำราประวัติศาสตร์เล่มหนาใหญ่
อีกทั้งยังมีสถานที่สามแห่งที่เสียไปเพราะพ่ายแพ้ในการรบ แต่สุดท้ายเฉาโม่ก็กอบกู้กลับคืนมาได้
นี่เป็นนิมิตหมายที่ดีปานใด!
ต้องรู้ว่าอยู่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ เฉินผิงอันเคยแพ้มาก่อนสามครั้งจริงๆ
ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าเขาที่เป็นผู้เยาว์ขอพึ่งใบบุญผู้อาวุโสเฉาท่านนั้นก็แล้วกัน สรุปก็คือเฉินผิงอันจะไม่ยอมให้ ‘จู๋ลู่’ ในมือต้องถูกฝุ่นกลบอีกเด็ดขาด
ดังนั้นในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่เจียงซ่างเจินจากเซอเยว่มาไกล ในใจเขาก็หัวเราะดังลั่นอย่างสาสมใจ พี่น้องคนดี ข้าโจวเฝยทำได้เพียงช่วยเจ้าถึงตรงนี้แล้ว ถือว่าช่วยหาแม่นางหน้ากลมคนหนึ่งให้เจ้าได้พูดคุยในต่างบ้านต่างเมืองก็แล้วกัน
ส่วนเรื่องที่ว่าเซอเยว่จะได้รับโชควาสนานี้หรือไม่ จะสามารถชดเชยส่วนที่ขาดบนมหามรรคาได้หรือไม่ เจียงซ่างเจินก็ยิ่งหลุดหัวเราะพรืด เกี่ยวผายลมอะไรกับข้าด้วย
ข้าผู้อาวุโสแขนขาเล็กบอบบางเช่นนี้ อุตส่าห์ทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าพวกคนที่นั่งดูงิ้วอยู่ไกลๆ ทั้งหลายก็จงถลกแขนเสื้อลงสนามรบมาเข่นฆ่าให้ข้าผู้อาวุโสแต่โดยดีเถอะ!
อีกอย่างภูเขาทัวเยว่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะกลายเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่สานตักน้ำหรือไม่ ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นเช่นนี้ แม่นางน้อยหน้ากลมจะไม่เหลือทั้งน้ำในตะกร้า ไม่เหลือทั้งดวงจันทร์หรือไม่ ล้วนบอกได้ยาก
เพราะตอนที่ตาเฒ่าสวินยังมีชีวิตอยู่บนโลกเคยได้ทำการอนุมานถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง เขาคาดเดาว่าคำทำนายนี้ บางทีอาจมีความเกี่ยวข้องกับป๋ายเหย่ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดบนโลกมนุษย์
เซอเยว่ไปหาป๋ายเหย่?
หรือโจวมี่ไปหาป๋ายเหย่เพื่อต่อรอง?
เจียงซ่างเจินแค่คิดก็รู้สึกว่าสนุกแล้ว
เอาเป็นว่าต่อให้แม่นางน้อยไม่อาจทำให้มหามรรคาสมบูรณ์ได้ แต่ข้าเจียงซ่างเจินใจกว้างขนาดนี้ อุตส่าห์ส่งสตรีอย่างเจ้าไปให้พี่น้องสหายรักเฉินแล้ว ยังไม่พอใจอีกหรือ?!
เฉินผิงอันไหนเลยจะรู้เรื่องวกวนอ้อมค้อมพวกนี้
หากเซอเยว่พูดถึงเจียงซ่างเจิน ต่อให้จะมีแค่ประโยคครึ่งประโยค ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันอาจจะพอเดาได้บ้าง
น่าเสียดายที่สตรีหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายไม่ใคร่จะยินดีเปิดปากเอ่ยถึงเจียงซ่างเจินที่พร่ำเรียกนางว่า ‘น้องสะใภ้’ เท่าใดนัก ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถ้อยคำที่ชวนให้นางสะอิดสะเอียน
ตอนนี้เฉินผิงอันมีสีหน้าลำบากใจ หยุดเท้าห่างไปสิบก้าว แล้วถามขึ้นอีกครั้งว่า “จะไม่ตกลงกฎกติกากันให้เรียบร้อยก่อนค่อยลงมือจริงๆ หรือ? พบเจอกันครั้งแรก ไม่เคยมีความแค้นความอาฆาตใดๆ ต่อกัน ออกหมัดเบาไปก็ไร้ความหมาย เวทคาถาหนักไปก็อาจมีคนบาดเจ็บล้มตาย”
เซอเยว่ถามอย่างใคร่รู้ “เมื่อก่อนเวลาเจ้าต่อสู้กับคนอื่นก็ชอบพูดพล่ามแบบนี้หรือ?”
“ข้าไม่ชอบหรอก เมื่อก่อนไม่ชอบมากๆ เลย”
เฉินผิงอันเก็บรอยยิ้ม สองมือถือมีด ปลายมีดพุ่งไปด้านหน้า
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่เฉินผิงอันประมือเอาชีวิตกับหม่าขู่เสวียนในบ้านเกิด เคยสอนอีกฝ่ายว่าควรวางตัวเป็นคนเช่นไร
ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สองข้างของชุดคลุมอาคมสีแดงสดของเฉินผิงอันประหนึ่งมีเส้นด้ายที่รัดปมเชือกด้วยตัวเอง รัดปากชายแขนเสื้อเอาไว้ คนหนุ่มค้อมเอวเล็กน้อย เรือนกายงองุ้ม เส้นสายตามองขึ้นไปด้านบนเล็กน้อย “แต่พวกเจ้าทำให้ข้าไม่ชอบมาโดยตลอด ข้าจะทำอย่างไรได้?! แม่นางเซอเยว่ ไม่สู้เจ้าช่วยสอนข้าหน่อยเป็นไรว่าควรจะทำเรื่องที่ตัวเองชอบอย่างไร?!”
เซอเยว่มองสีหน้าและแววตาของคนหนุ่ม “เลิกพูดมากเสียที หนึ่งก้านธูป เชิญมาฆ่าข้าได้เลย”
เซอเยว่ยกข้อมือขึ้น ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน แสงจันทร์มารวมตัวกันเหมือนแสงโคมไฟ นางโบกเบาๆ หนึ่งครั้งแสงจันทร์ก็กระจายไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใช้มันเป็นตัวจับเวลาหนึ่งก้านธูปให้กับสองฝ่าย ทันใดนั้นแสงจันทร์ก็แผ่เต็มหัวกำแพงเมือง ก่อนจะค่อยๆ มืดสลัวลงด้วยความเร็วที่ทั้งสองฝ่ายสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าแสงจันทร์จะไปจากโลกมนุษย์อีกครั้ง คนธรรมดาไม่รู้ตัว ทว่าเซียนเหรินสามารถสังเกตเห็น สามารถคำนวณเวลาได้
เฉินผิงอันยิ้มจนตาหยี แต่เขากลับยืดตัวตรงขึ้นมาอีกครั้งแล้ว “แขกจากแดนไกลต้องการ เจ้าบ้านก็มิกล้าไม่ให้”
ต่อให้เซอเยว่จะนิสัยดีแค่ไหนก็ยังรำคาญคนผู้นี้เสียแล้ว เห็นๆ กันอยู่ว่าอีกฝ่ายพยายามเก็บซ่อนอย่างยากลำบาก ทว่าจิตสังหารในใจกลับยังเข้มข้นรุนแรงถึงเพียงนั้น กลิ่นอายความดุร้ายอำมหิตหนาหนักปานนั้น แต่กลับยังคลี่ยิ้มให้เห็น ประหนึ่งคนรู้จักได้กลับมาพบเจอกัน เหมือนสหายรักที่ได้พูดคุยเรื่องเก่าๆ ในวันวานกันกระนั้น
นางเอ่ยเสียงเย็น “มีใจคิดฆ่าคน แต่กลับปั่นหัวให้ข้าออมแรงยามลงมือต่อสู้ เจ้าคนนี้ไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!