ในมือของเฉินผิงอันถือธงเซียนกระบี่ที่ได้รับการซ่อมแซมให้สมบูรณ์แล้วเอาไว้ เขานำไปปักตรงจุดที่สูงชันอันตรายที่สุดของป๋ายอวี้จิง
ในฟ้าดินของบ้านตัวเอง จุดที่สายตาของเฉินผิงอันมองไปเห็น ทุกอย่างล้วนชัดเจนแจ่มแจ้ง ประหนึ่งคนธรรมดาที่มองตัวอักษรซึ่งแกะสลักบนหน้าผาอยู่ใกล้ๆ
ดูเหมือนว่าเซอเยว่จะชื่นชอบเสื้อเกราะน้ำค้างหวานไฉ่อีเจ็ดสีชิ้นนั้นเป็นพิเศษ
‘ผู้ฝึกตนเซอเยว่’ เพียงหนึ่งเดียวบนหัวกำแพงเมืองที่ปรากฏกายด้วยรูปโฉมเดิมใช้วิชาอภินิหารรวบรวมแสงจันทร์ขึ้นมา แล้วสวมเสื้อเกราะวิเศษมหัศจรรย์ที่คล้ายว่าได้หลอมรวมสายรุ้งยุคบรรพกาลเอาไว้ลงบนร่างอีกครั้ง นางแหงนหน้ามองอิ่นกวานหนุ่มที่เหมือนกับว่าจะสวมภูษาสวรรค์ของลัทธิเต๋า
เสื้อเกราะบนร่างเปล่งประกายแสงระยิบระยับ ประหนึ่งเข็มขัดหลากสีพลิ้วไสวบนร่างของนางฟ้าภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดพุทธตามการวาด ‘แบบตระกูลอู๋’
เซอเยว่รอคอยให้ริ้วคลื่นปราณกระบี่เหล่านั้นกระจายลงมาระหว่างฟ้าดินอย่างเงียบเชียบ เมื่อมาเจอกับแสงจันทร์ของนางก็เกิดการคุมเชิงกันในจุดต่างๆ ประหนึ่งกองกำลังสองฝ่ายที่ทหารของแต่ละฝ่ายต่างก็มีมากนับล้านนาย
ป๋ายอวี้จิงจำลองที่เป็นหยกขาวตระหง่านง้ำ ประหนึ่งจะ ‘ทัดเทียมกับความสูงของแผ่นฟ้า’ เบื้องใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอัน สมบัติตระกูลเซียนชิ้นนี้ อันที่จริงเซอเยว่คุ้นเคยดียิ่งนัก มันมาจากดวงจันทร์ที่เป็นเพื่อนบ้านของเจ้าอารามดอกบัว เคยเป็นของตกทอดจากยุคโบราณ น่าจะเป็นเพราะปีศาจเฒ่าตนนั้นต้องการแสดงความเป็นมิตรต่อบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่จึงมอบมันให้เป็นของขวัญพบหน้าแก่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ หลังจากหลีเจินพ่ายแพ้แล้วร่างดับสูญไป ก็ได้ถูกเฉินผิงอันที่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นอิ่นกวานเก็บเอาไป เห็นได้ชัดว่าได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือ ถึงได้ถูกหล่อหลอมอย่างสมบูรณ์
คืออริยะลัทธิเต๋าที่ในอดีตเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ? ทว่าการชี้แนะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งให้หลอมวัตถุที่สร้างขึ้นเลียนแบบป๋ายอวี้จิง จะไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของลัทธิเต๋าเกินไปหรือไม่?
เซอเยว่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตามหาร่างจริงของตนอย่างยากลำบาก นางจึงยังคงแบ่งสมาธิไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ มิน่าเล่าอาจารย์โจวถึงได้บอกว่าแท้จริงแล้วนางเป็นคนเกียจคร้านเกินไป
แต่วันนี้เซอเยว่คิดว่าจะตั้งใจให้มากขึ้นอีกหน่อย เพราะนางเริ่มโมโหแล้วจริงๆ
บนหัวกำแพงเมือง ร่างแยกแสงจันทร์ในแต่ละตำแหน่งของเซอเยว่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์หลากหลาย เซียนกระบี่แต่ละท่านเรียกกระบี่บินออกมา ผู้ฝึกยุทธก็ปล่อยหมัดต่อยเข้าใส่ป๋ายอวี้จิง ร่างจริงของปีศาจใหญ่ทะยานร่างขึ้นสูง บ้างก็ใช้เรือนกายใหญ่โตมโหฬารพุ่งชนเข้าใส่ป๋ายอวี้จิง บนแนวเส้นที่เรือนกายเหล่านั้นทะยานไปด้านหน้า ริ้วคลื่นปราณกระบี่จากธงเซียนกระบี่พลันมัดปมเชือกอยู่ตามจุดต่างๆ จากนั้นก็ถักทอกันขึ้นเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ เส้นด้ายก็คือปราณกระบี่เล็กละเอียดนับพันนับหมื่นเส้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนี้ เห็นได้ชัดว่าหากคิดจะเขย่าคลอนป๋ายอวี้จิงก็ต้องใช้เรือนกาย กระบี่บิน วิชาหมัดหรือไม่ก็วิชาอภินิหารมาฝ่าทลายปราณกระบี่อันเปี่ยมล้นที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งให้ได้เสียก่อน
พลังอำนาจกร้าวแกร่งดุดัน อีกทั้งล้วนไม่ใช่เวทอำพรางตาอะไร นี่จึงเป็นเหตุให้เซอเยว่คนเดียวลงมือคล้ายมีกองทัพใหญ่จัดขบวนทัพร่วมแรงกันโจมตีป๋ายอวี้จิงทั้งแห่ง
ส่วน ‘เซอเยว่’ ที่อยู่ในรูปลักษณ์เดิมนั้นก็ทะยานลมขึ้นสูง ชุดไฉ่อีเจ็ดสีบนร่างพุ่งชนตาข่ายปราณกระบี่ให้แหลกลาญไปตลอดทาง หมายจะขยับเข้าใกล้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันที่เป็น ‘ขอบเขตหยกดิบ’ คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ร่ายตราประทับอาคมห้าอสนีที่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์แวววาวเจิดจ้าตรงฝ่ามือออกมาอย่างเป็นทางการ ตราประทับพลันขยายใหญ่โตดุจขุนเขา เสี้ยววินาทีถัดมาก็ดิ่งฮวบลงไปเบื้องล่าง ทับซ้อนเข้ากับจุดสูงของป๋ายอวี้จิงพอดี
เป็นเหตุให้ร่างของเฉินผิงอันที่อยู่ยอดบนสุดของป๋ายอวี้จิงขยับไปอยู่ยอดบนสุดของตราประทับอาคมอีกที
ตรงชายคาตวัดงอนของหอเรือนสูงประหนึ่งถนนหนทางในโลกมนุษย์มีบัณฑิตขี่วัวสีขาว ตรงเขาวัวห้อยตำราเอาไว้
หมื่นอาคมมารวมตัวกัน แสงสายฟ้าตัดสลับ ม่านฟ้าคล้ายกับมีทัณฑ์สวรรค์ก่อตัวรออยู่
หากไม่เป็นเพราะอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะนำไปวางไว้ในใต้หล้าแห่งใดก็ตาม คาดว่าภูตผี วัตถุหยินทั้งหลายที่ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไป เห็นป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ เห็นคาถาอสนีเห็นทัณฑ์สวรรค์ เห็นเทพที่อยู่บนฟ้าผู้นี้ เกรงว่าเพียงแค่เห็นก็ต้องอกสั่นขวัญบิน จิตแห่งมรรคาแตกกระเจิดกระเจิงไปแล้ว
เฉินผิงอันที่เหมือนเป็นทั้งเซียนแห่งป๋ายอวี้จิง แล้วก็เหมือนเป็น ‘เทพ’ แม้ว่าจุดที่สายตามองไปจะเป็น ‘เซอเยว่’ ที่สวมเสื้อเกราะวิเศษไฉ่อี แต่จิตใจของเขาออกสำรวจตรวจตรารอบด้านของฟ้าดินอยู่นานแล้ว
ในมือของเฉินผิงอันถือธงเซียนกระบี่ ก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เหยียบลงบนตราประทับอาคมเต็มเท้า มือซ้ายถือธง มือขวาประกบสองนิ้ว หันหน้าเข้าหาพื้นดิน เขียนตัวอักษรลงไปเบาๆ
แม้จะเรียกว่าตราประทับอาคมเวทอสนี ทว่าเวทอสนีที่ถูกมองเป็นผู้นำแห่งหมื่นอาคมกลับได้รับการกล่าวขานที่ไพเราะว่าเป็นผู้สร้างพันหมื่นอย่างสมชื่อ เมื่อตราประทับนี้ปรากฏออกมา ลอยตัวอยู่บนม่านฟ้าสูง ภาพบรรยากาศที่คาถาอาคมสร้างขึ้นจึงไม่ได้มีเพียงแค่สายฟ้าอย่างเดียวเท่านั้น
สายฟ้าหลายต่อหลายเส้นพุ่งแลบแปลบปลาบออกมาจากตราประทับอาคม ประหนึ่งมีเทพกรมสายฟ้าแห่งสรวงสวรรค์หกสิบตนที่พร้อมใจกันถือแส้แล้วฟาดโบยลงมายังพื้นดินโลกมนุษย์
สายฟ้าสีทองแต่ละเส้นพุ่งปลาบลงสู่โลกมนุษย์จากสี่ด้านแปดทิศ มีการหักเหเล็กน้อย สุดท้ายก็ผ่าลงบนร่างของปีศาจใหญ่แต่ละตนที่กำลังพุ่งชนป๋ายอวี้จิง แสงจันทร์แตกสลายกลายเป็นผุยผง ก่อนจะหายวับไปไม่เหลือร่องรอย
ตราประทับห้าอสนีที่จำแลงมาจากฝ่ามือของเฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในคุกเป็นเทวบุตรมารนอกโลกซวงเจี้ยงเป็นผู้ชี้แนะให้ ส่วนคนเย็บผ้าเหนี่ยนซินก็ช่วยถ่ายโอน ‘ถ้ำสวรรค์’ ของตราประทับอาคมห้าอสนี ย้ายจากศาลภูเขาไปยังยอดเขาของ ‘ขุนเขา’ แห่งหนึ่งที่อยู่บนเส้นทางลายมือของเฉินผิงอัน
ตราประทับอาคมมีทั้งหมดหกด้าน ถูกซวงเจี้ยงเรียกว่า ‘ตราประทับหกเต็ม’ อีกชื่อหนึ่งคือ ‘ตราประทับจันทร์เต็มดวง’ นอกจากด้านบนสุดที่ทั้งอักษรฟ้าขาดหายเหลือเพียงด้านที่ว่างโล่งแล้ว ตัวอักษรด้านใต้ตราประทับล้วนแกะสลักเป็นอักษรฉงเหนี่ยวทั้งสิ้นสิบหกตัว
รวบรวมห้าอสนี บงการหมื่นคาถา กำจัดห้าช่องโหว่ แกนกลางฟ้าดิน
ดังนั้นตำแหน่งที่ ‘แส้สายฟ้า’ ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลสิบหกเส้นผุดออกมาก็คือการจำแลงของตัวอักษรโบราณสิบหกตัวนี้ ตัวอักษรฉงเหนี่ยวทุกตัวที่อยู่ด้านล่างตราประทับ คล้ายกับเป็นจุดศูนย์กลางบัญชาการของหน่วยสายฟ้าหนึ่งหน่วย
ที่เหลืออีกสี่ด้าน แกะสลักสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลับตาสามสิบหกตนที่ยังไม่ได้ ‘แต้มนัยน์ตาให้ลืมตา’ ตัวอักษรสามสิบหกตัว เก้าตัวมีความหมายยิ่งใหญ่มาก เป็นเหตุให้ภาพที่แกะสลักล้วนเป็นภาพของผู้ที่เคยทำหน้าที่ควบคุมฟ้าอำนวยอย่างเทพสายฟ้า เจ้าแม่ฟ้าแลบ พ่อปู่วาโย เทพพิรุณ เสมียนเมฆา แม่ทัพวิญญาณ ขุนนางเทพหญิงแห่งสวรรค์ เป็นภาพที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความเก่าแก่
และตัวอักษรที่เฉินผิงอันเขียนในเวลานี้ก็คือการแกะสลักอักษรฟ้าให้ตราประทับอาคม ‘โดยพลการ’
ของตกแต่งในห้องหนังสือของล่างภูเขา สิ่งที่ใช้บรรจุแท่นฝนหมึกก็มีกล่องฟ้าดิน ตราประทับห้าอสนีบนภูเขาที่ตกมาอยู่ในมือของเฉินผิงอันเพราะวาสนานำพาชิ้นนี้ เดิมทีควรมีการแกะสลักทั้งตัวอักษรฟ้าและดิน
เฉินผิงอันต้องการตรวจสอบและชดเชยช่องโหว่ให้กับตราประทับชิ้นนี้ เสริมตัวเองลงไปบนตราประทับด้านที่ว่างเปล่า
เถ้าแก่รองอ่านหนังสือมาไม่มาก แต่กลับแกะสลักตราประทับมาไม่น้อยจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!