กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 715

สรุปบท บทที่ 715.2 ออกสองกระบี่: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 715.2 ออกสองกระบี่ – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 715.2 ออกสองกระบี่ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ถึงขั้นเป็นเฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมเต๋าสีเขียว

ใบหน้าแก่กว่าเฉินผิงอันตัวจริงเล็กน้อย

ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ คำพูดประโยคนี้

คาดว่าเซียนลัทธิเต๋าทุกคนในใต้หล้ามืดสลัวคงไม่ใคร่จะยินดีได้เห็น ไม่สบอารมณ์ที่ได้ยินเท่าใดนัก

เซอเยว่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของภาพมายา ‘นักพรตวัยกลางคน’ ผู้นั้น ทว่าต่อให้รู้ เกรงว่านางเองก็คงไม่ได้คิดอะไรมากอยู่เหมือนเดิม

เรื่องของการล้ำเส้น ตัวนางเองเคยทำน้อยเสียเมื่อไหร่

ตัวอย่างเช่นตอนที่นางเหยียบสายรุ้งเดินไปถึงจุดโค้งสูงสุดก็เปลี่ยนรูปโฉมเป็นเจ้าอารามดอกบัว ยื่นมือข้างหนึ่งออกมากดลงบนความว่างเปล่า

กลางอากาศเหนือนครใหญ่ ทะเลเมฆมารวมตัวกลายเป็นฝ่ามือที่ขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ฝ่ามือมีใบบัวเรียงติดต่อกัน แสงจันทร์ใสกระจ่าง แสงจันทร์กับใบบัวสีเขียวอิงแอบแนบชิด จากนั้นฝ่ามือก็พลันกลายเป็นสระดอกบัว ก่อนที่ดอกบัวสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนจะพากันเบ่งบาน

เฉินผิงอันที่เป็นนักพรตเต๋าวัยกลางคนชำเลืองตามองฝ่ามือที่ร่วงลงมาและดอกบัวที่บานอยู่ในสระแวบหนึ่ง ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ความยิ่งใหญ่ของมหามรรคาหาใช่อยู่ที่ความใหญ่ของสรรพสิ่ง เล็กแล้ว เล็กเกินไปแล้ว”

นักพรตเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา พลันนั้นก็ทำมุทราแล้วดีดนิ้วหนึ่งที

แสงสีทองจุดหนึ่งค่อยๆ บินทะยานขึ้นสูง

พลังอำนาจของฟ้าร้องสะเทือนเลือนลั่นยามที่สระดอกบัวร่วงลงมา ดุจดั่งขุนเขากดทับเหนือศีรษะ ยิ่งใหญ่เกรียงไกรน่าเกรงขาม

ดอกบัวทุกดอกที่บานอยู่ในสระจะมีเสาลำแสงสีขาวหิมะเส้นหนึ่งสาดยิงลงมา

ส่วนแสงสีทองของนักพรตวัยกลางคนกลับส่ายไหวโงนเงนเหมือนนกที่พยายามจะกระพือปีกบินท่ามกลางพายุฝน เผชิญหน้ากับฝนตกกระหน่ำสีขาวโพลนนั้นก่อนใคร

นักพรตเฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จงมารับคำสั่ง ณ บัดนี้ ไป!”

แสงสีทองจุดนั้นพลันหายวับไป ก่อนมาหยุดอยู่บนหลังมือของฝ่ามือใหญ่ที่ฝ่ามือหันสู่เบื้องล่าง

มีกบมายืนอยู่ด้านบนนานแล้ว (มาจากบทกลอนว่า บัวน้อยเพิ่งผุดยอดตูมเต่ง กลับมีกบมายืนอยู่บนยอดนานแล้ว)

ไม่ว่าจะเป็นแรงสะเทือนยามที่แสงรุ้งเจ็ดสีกับธงเซียนกระบี่ปะทะกัน หรือพลังอำนาจยามมือข้างนั้นซึ่งเป็นดั่งขุนเขาใหญ่กดทับลงมา

การปรากฏตัวของแสงสีทองจุดนี้ไม่มีภาพบรรยากาศแห่งฟ้าดินใดๆ ให้เอ่ยถึง ตามหลักแล้วย่อมไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย

แต่ตอนที่จุดแสงสีทองหยุดอยู่บนหลังมือกลับทำให้พายุฝนสีขาวหิมะนั้นหวนกลับไปยังทางเก่า ดอกไม้ผลิบานก่อน จากนั้นก็ไม่เบ่งบานอีก ฝ่ามือที่ร่วงลงไปก็ยิ่งถอยร่นกลับมา

แม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลย้อนกลับ

กลับกลายเป็นเหมือนการประชันมรรคกถาระหว่างนักพรตวัยกลางคนกับเจ้าอารามดอกบัว

เซอเยว่สะบัดข้อมือเก็บวิชาอภินิหารที่เคยเห็นมาสองสามครั้งแล้วเรียนรู้มาได้คร่าวๆ นั้นกลับมา มือใหญ่จึงหายไปจากกลางอากาศ

ยังคงวางความคิดจิตใจไว้บนธงเซียนที่ไหวโอนเอนนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเท่านั้น ผู้ฝึกตนเองก็สามารถใช้กำลังของคนคนหนึ่งลดทอนกำลังของศัตรูสิบคนได้เช่นกัน

ผู้ฝึกยุทธเซอเยว่คนนี้หยุดเดิน กวาดตามองไปรอบด้าน

สูงชันอันตราย ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ห้านครสิบสองหอเรือน

สายฟ้าเป็นกลุ่มๆ ห่อหุ้มพลานุภาพสวรรค์อันเกรียงไกรกระแทกลงบนพื้นดินที่อยู่ในอาณาเขตของป๋ายอวี้จิง สลายร่างแสงจันทร์ของปีศาจไปครั้งแล้วครั้งเล่า

เพียงแต่ว่าธงเซียนกระบี่ถูกสายรุ้งสยบกำราบ จำนวนของเซียนกระบี่ที่เดินออกมาก่อนหน้านี้มีน้อยเกินไป เป็นเหตุให้แสงกระบี่สังหารพวกผู้ฝึกยุทธเซอเยว่ที่ปีนกำแพงเมืองได้ไม่หมดสิ้น เซียนกระบี่ฟาดฟันกระบี่ไม่หยุด ทว่าเส้นทางการปีนสู่ฟ้าของผู้ฝึกยุทธเซอเยว่กลับผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว

จากนั้นเซอเยว่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีความรู้สึกเช่นนี้

ในที่สุดเฉินผิงอันผู้นั้นก็ใช้วิชาก้นกรุของตัวเองแล้ว

หากเซอเยว่คาดเดาไม่ผิด น่าจะเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเขา!

เห็นเพียงว่าในป๋ายอวี้จิงมีผู้ฝึกยุทธเฉินผิงอันเรือนกายสูงเพรียวห้าคน บ้างก็สวมรองเท้าสานพกดาบ บ้างก็สะพายกระบี่ไว้ข้างหลัง บ้างก็ห้อยกาเหล้าไว้ตรงเอว บ้างก็ปักปิ่นหยก บ้างก็เป็นปัญญาชนสวมชุดสีเขียว

พวกเขาปรากฏตัวอยู่ในหอเรือนและนครที่สูงต่ำไม่เท่ากันของป๋ายอวี้จิงพร้อมกัน ร่างของเขาเองก็มีความสูงไม่เท่ากัน ทว่าเฉินผิงอันทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าหนึ่งในห้าสี

สังหารผู้ฝึกยุทธเซอเยว่ที่ขอบเขตไม่สูงพอเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย

“ช้าไปแล้ว ออกหมัดช้าเกินไปแล้ว!”

“อย่างกับกระดาษเปียก!”

“ผู้ฝึกยุทธถามหมัด หมัดอยู่บนร่างศัตรู อย่าได้เกาเบาๆ เช่นนี้!”

ผู้ฝึกยุทธเฉินผิงอันห้าคนออกหมัดไม่หยุด ต่อยให้ร่างของผู้ฝึกยุทธเซอเยว่แต่ละคนแหลกสลาย บ้างก็หักคอ บ้างก็ใช้ฝ่ามือมีดปาดลงไปตรงๆ ผ่าร่างของเซอเยว่ออกเป็นสองท่อน

ช่างเป็นเถ้าแก่รองที่รักหยกถนอมบุปผาเสียจริง

แล้วก็มีเสียงทุ้มหนักอ่อนโยนจากฟ้าหล่นลงมาดังในทะเลสาบหัวใจของเซอเยว่

“แม่นางเซอเยว่ เจ้าเป็นเพื่อนบ้านกับเจ้าอารามดอกบัวมานาน แต่ข้ากลับไม่เคยพูดคุยกับอริยะลัทธิเต๋าที่พิทักษ์ม่านฟ้าแม้แต่ครึ่งคำ เหตุใดมรรคกถาในใจของเจ้าถึงได้เบาจนมิอาจต้านรับการโจมตีเช่นนี้”

“ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า หาอาจารย์ผู้สั่งสอนขั้นต้นมิสู้หาวิสุทธิจารย์ ไม่สู้เจ้ามากราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์แล้วฝึกมรรคกถาดีไหมล่ะ? สามารถรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่บันทึกชื่อไว้ได้ก่อน การรับลูกศิษย์ของข้า แต่ไหนแต่ไรมาธรณีประตูสูงเสมอ และการถ่ายทอดมรรคาให้คนอื่นของข้า อันที่จริงก็นับว่าไม่เลวเลย”

“การแสดงออกภายนอกของวิชาคาถาเจ้าก็หนีไม่พ้นเอาจิตวิญญาณของดวงจันทร์ดวงใหญ่มา ตั้งตัวเป็นเจ้าบ้านแล้วแยกร่างไปรับรองแขก รากฐานมหามรรคาล้วนต้องกลับมารวมเป็นหนึ่ง ไม่สู้แม่นางเซอเยว่มีความจริงใจสักหน่อย เอาวิชาอภินิหารที่แท้จริงมาเป็นของขวัญในการเยี่ยมเยือนดีไหมเล่า?”

เซอเยว่รำคาญคนผู้นี้ยิ่งนัก ความสามารถไม่น้อย แต่ชอบพูดจาเหน็บแนมระคายหูมากเกินไป

นางไม่เคยรำคาญใครขนาดนี้มาก่อนเลย

บางทีเจียงซ่างเจินสองคนกับใบหลิวหนึ่งใบที่ไล่ฆ่าไปหมื่นลี้ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับความน่ารำคาญของเจ้าเฉินผิงอันผู้นี้

ส่วนเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดก็พลันเหยียบลงบนตัวอักษรสองคำของอักขระฟ้าบนตราประทับอาคมที่เขียนเป็นตัวสุดท้าย แต่กลับเป็นตัวแรกของอักขระยันต์

ก่อนหน้านี้ตัวอักษรที่เขาเขียน

คือเฉิน ลู่ สั่ง คำ

ถ้าอย่างนั้นอักขระยันต์ที่สมบูรณ์ก็คือ ‘คำสั่งลู่เฉิน’

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกระทืบลงบนสองคำว่า ‘ลู่เฉิน’ หนักๆ แล้วโบกมือเป็นวงกว้าง หัวเราะก้องพลางเอ่ยว่า “เจ้าไปได้!”

ลู่ เฉิน อักษรสองคำขยับขึ้นไปที่มุมบนซ้ายและมุมล่างขวาก่อน จากนั้นตัวอักษรอีกสองคำว่าคำสั่งก็ขยับไปอีกสองมุมที่เหลือ

ตราประทับห้าอสนีหกเต็มชิ้นหนึ่ง ในที่สุดก็ได้รับการเสริมชดเชยจนไร้ช่องว่าง

ในใจของเซอเยว่สั่นสะท้านเล็กน้อย รู้ดีว่าท่าไม่ดีแล้ว

ตราประทับอาคมห้าอสนีที่ประหนึ่งกรมสายฟ้ากองงานสวรรค์เปิดประตูออกกว้าง แสงสว่างเจิดจ้าจึงกรูกันออกมาชิ้นนั้น ใช้ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อร่วงดิ่งลงมาเบื้องล่าง แล้วทำการผสานกลืนกับหัวกำแพงเมือง กับมรรคา

เป็นเหตุให้ภาพจำแลงมายาเกือบครึ่งหนึ่งของเซอเยว่ถูกกักตัวอยู่ในอักษรสี่ตัว ‘คำสั่งลู่เฉิน’ ที่เป็นฟ้าดินสี่ทิศในเวลาเดียวกันเพียงชั่วพริบตา

ส่วนด้านหลังของเฉินผิงอันก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองที่หยัดยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน ก็คือกายธรรมร่างทองของเฉินผิงอัน แต่กลับสวมชุดคลุมของลัทธิเต๋า ใบหน้าเป็นวัยกลางคน

ฟ้าดินสี่ด้าน สี่อักษรกลับมารวมตัวกันอยู่ในจุดหนึ่ง

มีเฉินผิงอันที่เป็นเด็กหนุ่มปักปิ่นหยกเหยียบอยู่บนตัวอักษรสองตัวในนั้น รอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจจนแทบจะใกล้เคียงกับความลำพองใจ มีมาดของความองอาจซื่อตรงดุจดั่งคำว่าข้าผู้เป็นบัณฑิต หากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร

เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานเหยียบอยู่บนอักษรสองคำว่าลู่เฉิน บนมวยผมปักปิ่นหยก ห้อยตราประทับอักษรน้ำชิ้นหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ผสานมรรคากับฟ้าดินได้ขอบเขตหยกดิบปลอมมา เขาอยู่ที่นี่คนเดียวจึงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยวุ่นวาย พึมพำอยู่คนเดียว ไปไหนมาไหนตัวคนเดียว

ใช้โอสถทองที่แตกสลายเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาของผู้ฝึกยุทธ อยู่บนหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ สุดท้ายสร้างโอสถกลายเป็นโอสถทอง ท้ายที่สุดจึงได้กลายไปเป็นคนรุ่นเดียวกับข้าในสายตาของเทพเซียนบนภูเขาทั้งหลาย

ทั้งยังอ่านตำราหมัด ‘วิชาเขย่าขุนเขา’ ตำรายันต์ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ และ ‘คัมภีร์กระบี่ดั้งเดิม’ ที่ชื่อตำราบอกชัดตรงไปตรงมาจนจำได้ขึ้นใจ

ยังเหลือช่องโพรงลมปราณอีกหนึ่งแห่งที่เปิดจวนเรียบร้อย แต่กลับยังไม่ได้เอาวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ผ่านการหลอมใหญ่แล้วไปวางไว้

ยังเหลืออีกหนึ่งที่หวนคืนบ้านเกิด

ดวงตะวันลาลับไปทางทิศตะวันตก บุปผาบนคันนาเบ่งบานรอเจ้ากลับคืนบ้านเกิด

แสงจันทร์รอบกายของเซอเยว่ยิ่งนานก็ยิ่งสว่างแจ่มจ้า สีของดวงจันทร์ยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกที

ค่ายกลใหญ่กระบี่บินที่เกิดจากการรวมตัวกันของวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตดวงจันทร์ใต้บ่อเป็นชั้นๆ หลังจากถูกแสงจันทร์ชั้นหนึ่งราดรดมาโดนก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที ร่างของเซอเยว่ถูกปกคลุมอยู่ในแสงจันทร์ ประหนึ่งดวงจันทร์เล็กจิ๋วที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ บินทะยานขึ้นฟ้าไปกลายเป็นดวงจันทร์ดวงโต

เพียงแต่ว่าจู่ๆ เซอเยว่ก็ขมวดคิ้ว ค่ายกลกระบี่แต่ละชั้นถูกกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนทำลายให้ย่อยยับ แต่ลางสังหรณ์บอกนางว่ากระบี่บินของอีกฝ่ายถูกทำลายก็จริง แต่กระบี่บินเล่มจริงเพียง ‘หนึ่งเดียว’ นั้นกลับคล้ายกำลังอาศัยแสงจันทร์แห่งชะตาชีวิตของนางในนี้มาทำการหล่อหลอมตัวเองอย่างเงียบเชียบ!

เซอเยว่จึงหยุดยั้งความคิดเอาไว้ทันที ล้มเลิกความคิดที่จะใช้แสงจันทร์ฝืนทำลายค่ายกลและตราผนึกสามชั้นเพื่อหนีไป

ต่อให้ตอนนี้เฉินผิงอันจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง แต่หนึ่งกระบี่ของเขาจะแข็งแกร่งได้สักปานใดกัน ในความเป็นจริงแล้วจุดที่กระบี่บินพันหมื่นเล่มนี้ชี้ไปก็คือ ‘เซอเยว่’ ตัวจริง จริงๆ หรือ?

นางเริ่มเก็บแสงจันทร์มา บริเวณใกล้กับร่างของนาง ยิ่งนานแสงจันทร์ก็ยิ่งรวมตัวกันเข้มข้น

ลองดูสิ? ลองฆ่าข้าดูสิ?

เฉินผิงอันพลันกุมด้ามกระบี่แล้วปาดกระบี่เป็นแนวขวางไปเบื้องหน้า

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลังเขาก็ทำแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน

เซอเยว่ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าร่างของเจ้าซ่อนอยู่ตรงไหนจริงๆ หรือ?

ข้ามองเจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

เจ้าก็ไม่ควรมองข้าเป็นคน

มาอยู่ตรงหน้าข้า เป็นศัตรูกับข้า ขอเจ้าโปรดระมัดระวังให้มาก

หนึ่งกระบี่บั่นดวงจันทร์ในใจข้า

เชิญเจ้าปรากฏตัว

แล้วใช้อีกกระบี่ฟันร่างจริงของเจ้า

เชิญเจ้าให้ไปตาย

ข้ามีกระบี่ให้ต้องถาม ขอฟ้าดินโปรดให้คำตอบ โดยเริ่มจากดวงจันทร์เป็นอย่างแรก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!