ถึงขั้นเป็นเฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมเต๋าสีเขียว
ใบหน้าแก่กว่าเฉินผิงอันตัวจริงเล็กน้อย
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ คำพูดประโยคนี้
คาดว่าเซียนลัทธิเต๋าทุกคนในใต้หล้ามืดสลัวคงไม่ใคร่จะยินดีได้เห็น ไม่สบอารมณ์ที่ได้ยินเท่าใดนัก
เซอเยว่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของภาพมายา ‘นักพรตวัยกลางคน’ ผู้นั้น ทว่าต่อให้รู้ เกรงว่านางเองก็คงไม่ได้คิดอะไรมากอยู่เหมือนเดิม
เรื่องของการล้ำเส้น ตัวนางเองเคยทำน้อยเสียเมื่อไหร่
ตัวอย่างเช่นตอนที่นางเหยียบสายรุ้งเดินไปถึงจุดโค้งสูงสุดก็เปลี่ยนรูปโฉมเป็นเจ้าอารามดอกบัว ยื่นมือข้างหนึ่งออกมากดลงบนความว่างเปล่า
กลางอากาศเหนือนครใหญ่ ทะเลเมฆมารวมตัวกลายเป็นฝ่ามือที่ขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ฝ่ามือมีใบบัวเรียงติดต่อกัน แสงจันทร์ใสกระจ่าง แสงจันทร์กับใบบัวสีเขียวอิงแอบแนบชิด จากนั้นฝ่ามือก็พลันกลายเป็นสระดอกบัว ก่อนที่ดอกบัวสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนจะพากันเบ่งบาน
เฉินผิงอันที่เป็นนักพรตเต๋าวัยกลางคนชำเลืองตามองฝ่ามือที่ร่วงลงมาและดอกบัวที่บานอยู่ในสระแวบหนึ่ง ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ความยิ่งใหญ่ของมหามรรคาหาใช่อยู่ที่ความใหญ่ของสรรพสิ่ง เล็กแล้ว เล็กเกินไปแล้ว”
นักพรตเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา พลันนั้นก็ทำมุทราแล้วดีดนิ้วหนึ่งที
แสงสีทองจุดหนึ่งค่อยๆ บินทะยานขึ้นสูง
พลังอำนาจของฟ้าร้องสะเทือนเลือนลั่นยามที่สระดอกบัวร่วงลงมา ดุจดั่งขุนเขากดทับเหนือศีรษะ ยิ่งใหญ่เกรียงไกรน่าเกรงขาม
ดอกบัวทุกดอกที่บานอยู่ในสระจะมีเสาลำแสงสีขาวหิมะเส้นหนึ่งสาดยิงลงมา
ส่วนแสงสีทองของนักพรตวัยกลางคนกลับส่ายไหวโงนเงนเหมือนนกที่พยายามจะกระพือปีกบินท่ามกลางพายุฝน เผชิญหน้ากับฝนตกกระหน่ำสีขาวโพลนนั้นก่อนใคร
นักพรตเฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จงมารับคำสั่ง ณ บัดนี้ ไป!”
แสงสีทองจุดนั้นพลันหายวับไป ก่อนมาหยุดอยู่บนหลังมือของฝ่ามือใหญ่ที่ฝ่ามือหันสู่เบื้องล่าง
มีกบมายืนอยู่ด้านบนนานแล้ว (มาจากบทกลอนว่า บัวน้อยเพิ่งผุดยอดตูมเต่ง กลับมีกบมายืนอยู่บนยอดนานแล้ว)
ไม่ว่าจะเป็นแรงสะเทือนยามที่แสงรุ้งเจ็ดสีกับธงเซียนกระบี่ปะทะกัน หรือพลังอำนาจยามมือข้างนั้นซึ่งเป็นดั่งขุนเขาใหญ่กดทับลงมา
การปรากฏตัวของแสงสีทองจุดนี้ไม่มีภาพบรรยากาศแห่งฟ้าดินใดๆ ให้เอ่ยถึง ตามหลักแล้วย่อมไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย
แต่ตอนที่จุดแสงสีทองหยุดอยู่บนหลังมือกลับทำให้พายุฝนสีขาวหิมะนั้นหวนกลับไปยังทางเก่า ดอกไม้ผลิบานก่อน จากนั้นก็ไม่เบ่งบานอีก ฝ่ามือที่ร่วงลงไปก็ยิ่งถอยร่นกลับมา
แม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลย้อนกลับ
กลับกลายเป็นเหมือนการประชันมรรคกถาระหว่างนักพรตวัยกลางคนกับเจ้าอารามดอกบัว
เซอเยว่สะบัดข้อมือเก็บวิชาอภินิหารที่เคยเห็นมาสองสามครั้งแล้วเรียนรู้มาได้คร่าวๆ นั้นกลับมา มือใหญ่จึงหายไปจากกลางอากาศ
ยังคงวางความคิดจิตใจไว้บนธงเซียนที่ไหวโอนเอนนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเท่านั้น ผู้ฝึกตนเองก็สามารถใช้กำลังของคนคนหนึ่งลดทอนกำลังของศัตรูสิบคนได้เช่นกัน
ผู้ฝึกยุทธเซอเยว่คนนี้หยุดเดิน กวาดตามองไปรอบด้าน
สูงชันอันตราย ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ห้านครสิบสองหอเรือน
สายฟ้าเป็นกลุ่มๆ ห่อหุ้มพลานุภาพสวรรค์อันเกรียงไกรกระแทกลงบนพื้นดินที่อยู่ในอาณาเขตของป๋ายอวี้จิง สลายร่างแสงจันทร์ของปีศาจไปครั้งแล้วครั้งเล่า
เพียงแต่ว่าธงเซียนกระบี่ถูกสายรุ้งสยบกำราบ จำนวนของเซียนกระบี่ที่เดินออกมาก่อนหน้านี้มีน้อยเกินไป เป็นเหตุให้แสงกระบี่สังหารพวกผู้ฝึกยุทธเซอเยว่ที่ปีนกำแพงเมืองได้ไม่หมดสิ้น เซียนกระบี่ฟาดฟันกระบี่ไม่หยุด ทว่าเส้นทางการปีนสู่ฟ้าของผู้ฝึกยุทธเซอเยว่กลับผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว
จากนั้นเซอเยว่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีความรู้สึกเช่นนี้
ในที่สุดเฉินผิงอันผู้นั้นก็ใช้วิชาก้นกรุของตัวเองแล้ว
หากเซอเยว่คาดเดาไม่ผิด น่าจะเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเขา!
เห็นเพียงว่าในป๋ายอวี้จิงมีผู้ฝึกยุทธเฉินผิงอันเรือนกายสูงเพรียวห้าคน บ้างก็สวมรองเท้าสานพกดาบ บ้างก็สะพายกระบี่ไว้ข้างหลัง บ้างก็ห้อยกาเหล้าไว้ตรงเอว บ้างก็ปักปิ่นหยก บ้างก็เป็นปัญญาชนสวมชุดสีเขียว
พวกเขาปรากฏตัวอยู่ในหอเรือนและนครที่สูงต่ำไม่เท่ากันของป๋ายอวี้จิงพร้อมกัน ร่างของเขาเองก็มีความสูงไม่เท่ากัน ทว่าเฉินผิงอันทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าหนึ่งในห้าสี
สังหารผู้ฝึกยุทธเซอเยว่ที่ขอบเขตไม่สูงพอเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
“ช้าไปแล้ว ออกหมัดช้าเกินไปแล้ว!”
“อย่างกับกระดาษเปียก!”
“ผู้ฝึกยุทธถามหมัด หมัดอยู่บนร่างศัตรู อย่าได้เกาเบาๆ เช่นนี้!”
ผู้ฝึกยุทธเฉินผิงอันห้าคนออกหมัดไม่หยุด ต่อยให้ร่างของผู้ฝึกยุทธเซอเยว่แต่ละคนแหลกสลาย บ้างก็หักคอ บ้างก็ใช้ฝ่ามือมีดปาดลงไปตรงๆ ผ่าร่างของเซอเยว่ออกเป็นสองท่อน
ช่างเป็นเถ้าแก่รองที่รักหยกถนอมบุปผาเสียจริง
แล้วก็มีเสียงทุ้มหนักอ่อนโยนจากฟ้าหล่นลงมาดังในทะเลสาบหัวใจของเซอเยว่
“แม่นางเซอเยว่ เจ้าเป็นเพื่อนบ้านกับเจ้าอารามดอกบัวมานาน แต่ข้ากลับไม่เคยพูดคุยกับอริยะลัทธิเต๋าที่พิทักษ์ม่านฟ้าแม้แต่ครึ่งคำ เหตุใดมรรคกถาในใจของเจ้าถึงได้เบาจนมิอาจต้านรับการโจมตีเช่นนี้”
“ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า หาอาจารย์ผู้สั่งสอนขั้นต้นมิสู้หาวิสุทธิจารย์ ไม่สู้เจ้ามากราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์แล้วฝึกมรรคกถาดีไหมล่ะ? สามารถรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่บันทึกชื่อไว้ได้ก่อน การรับลูกศิษย์ของข้า แต่ไหนแต่ไรมาธรณีประตูสูงเสมอ และการถ่ายทอดมรรคาให้คนอื่นของข้า อันที่จริงก็นับว่าไม่เลวเลย”
“การแสดงออกภายนอกของวิชาคาถาเจ้าก็หนีไม่พ้นเอาจิตวิญญาณของดวงจันทร์ดวงใหญ่มา ตั้งตัวเป็นเจ้าบ้านแล้วแยกร่างไปรับรองแขก รากฐานมหามรรคาล้วนต้องกลับมารวมเป็นหนึ่ง ไม่สู้แม่นางเซอเยว่มีความจริงใจสักหน่อย เอาวิชาอภินิหารที่แท้จริงมาเป็นของขวัญในการเยี่ยมเยือนดีไหมเล่า?”
เซอเยว่รำคาญคนผู้นี้ยิ่งนัก ความสามารถไม่น้อย แต่ชอบพูดจาเหน็บแนมระคายหูมากเกินไป
นางไม่เคยรำคาญใครขนาดนี้มาก่อนเลย
บางทีเจียงซ่างเจินสองคนกับใบหลิวหนึ่งใบที่ไล่ฆ่าไปหมื่นลี้ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับความน่ารำคาญของเจ้าเฉินผิงอันผู้นี้
ส่วนเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดก็พลันเหยียบลงบนตัวอักษรสองคำของอักขระฟ้าบนตราประทับอาคมที่เขียนเป็นตัวสุดท้าย แต่กลับเป็นตัวแรกของอักขระยันต์
ก่อนหน้านี้ตัวอักษรที่เขาเขียน
คือเฉิน ลู่ สั่ง คำ
ถ้าอย่างนั้นอักขระยันต์ที่สมบูรณ์ก็คือ ‘คำสั่งลู่เฉิน’
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกระทืบลงบนสองคำว่า ‘ลู่เฉิน’ หนักๆ แล้วโบกมือเป็นวงกว้าง หัวเราะก้องพลางเอ่ยว่า “เจ้าไปได้!”
ลู่ เฉิน อักษรสองคำขยับขึ้นไปที่มุมบนซ้ายและมุมล่างขวาก่อน จากนั้นตัวอักษรอีกสองคำว่าคำสั่งก็ขยับไปอีกสองมุมที่เหลือ
ตราประทับห้าอสนีหกเต็มชิ้นหนึ่ง ในที่สุดก็ได้รับการเสริมชดเชยจนไร้ช่องว่าง
ในใจของเซอเยว่สั่นสะท้านเล็กน้อย รู้ดีว่าท่าไม่ดีแล้ว
ตราประทับอาคมห้าอสนีที่ประหนึ่งกรมสายฟ้ากองงานสวรรค์เปิดประตูออกกว้าง แสงสว่างเจิดจ้าจึงกรูกันออกมาชิ้นนั้น ใช้ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อร่วงดิ่งลงมาเบื้องล่าง แล้วทำการผสานกลืนกับหัวกำแพงเมือง กับมรรคา
เป็นเหตุให้ภาพจำแลงมายาเกือบครึ่งหนึ่งของเซอเยว่ถูกกักตัวอยู่ในอักษรสี่ตัว ‘คำสั่งลู่เฉิน’ ที่เป็นฟ้าดินสี่ทิศในเวลาเดียวกันเพียงชั่วพริบตา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!