บทที่ 715.4 ออกสองกระบี่ – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 715.4 ออกสองกระบี่ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
หัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม เงาร่างของคนทั้งสองพลันหายวับไป
หลีเจินหัวเราะฮ่าๆ “อิ่นกวานตัวดี ในที่สุดก็อดไม่ไหวเรียกท่าไม้ตายออกมาแล้ว พี่หญิงเซอเยว่ประมาทเสียจริง หล่นลงไปในหลุมคิดจะปีนออกมาก็ยากแล้ว”
หลงจวินกล่าว “ตราประทับอาคมห้าอสนีชิ้นนั้นเจ้าเป็นคนมอบออกไป”
หลีเจินยิ้มบางๆ “หากพี่หญิงเซอเยว่คิดจะซักไซ้เอาผิดข้า ก็ต้องมีชีวิตเดินออกมาให้ได้เสียก่อน”
หลงจวินเอ่ย “เดิมทีก็เป็นการออกจากบ่อมองฟ้าแล้วค่อยอยู่บนฟ้า แต่นี่กลับคิดอยากจะกลับไปเป็นกบใต้บ่ออยู่เหมือนเดิม กวนจ้าวสมกับเป็นสหายรักของเฉินชิงตูจริงๆ โง่เง่าพอกัน”
หลีเจินพลันหน้าเปลี่ยนสี ไม่เหลืออารมณ์จะต่อปากต่อคำกับหลงจวินแก้เบื่ออีก
หลงจวินก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติก่อนหน้าหลีเจิน
หลีเจินพลันถูกปราณกระบี่กระแทกให้หล่นลงบนหัวกำแพงเมืองในชั่วพริบตา
หลีเจินตะลึงลานทำอะไรไม่ถูกก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เอาสองมือกุมหัว ปล่อยให้ร่างลอยลิ่วลงสู่พื้น เขาหัวเราะร่าพลางเอ่ยว่า “หลงจวินออกกระบี่ช่วยคน ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ!”
หลงจวินยื่นมือออกไปกำกระบี่ ร่างกายธรรมพลันปรากฏ ฟ้าดินเกิดเหตุการณ์ประหลาด ปราณกระบี่ม้วนตลบ ทะเลเมฆพันลี้ปริแตกย่อยยับ ปราณกระบี่ทั่วร่างของหลงจวินกับปณิธานกระบี่เก่าแก่มากมายเหมือนกำลังประชันขันแข่งกันบนมหามรรคา
หลีเจินไม่เพียงแต่ไม่กล้าปล่อยให้ร่างร่วงลงพื้นอย่างส่งเดชจนหน้าคลุกดิน ยังรีบเรียกสมบัติหนักคุ้มกันกายชิ้นหนึ่งออกมาพยายามต้านทานปณิธานปราณกระบี่ที่ไม่ยอมรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่เหล่านั้นด้วย พวกตัวอ่อนเซียนกระบี่บนภูเขาทัวเยว่ที่ยังเหลืออยู่เนื่องจากคุณสมบัติและโชควาสนาล้วนด้อยกว่าคนอื่นระดับหนึ่งก็ยิ่งยากจะต้านทาน แต่ละคนเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาปกป้องร่างกายตัวเองเอาไว้
หลงจวินใช้กระบี่ฟาดฟันเข้าหาหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามเต็มแรง ไม่คิดจะออมแรงเอาไว้อีกต่อไป
ไม่อย่างนั้นเซอเยว่จะต้องได้รับความเสียหายบนมหามรรคาอย่างใหญ่หลวง อันที่จริงหลงจวินไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพราะนางเป็นคนรนหาที่เอง แต่หลงจวินจะไม่มีทางยอมให้เฉินผิงอันได้ผลประโยชน์บนมหามรรคาไปเด็ดขาด!
ก่อนหน้านี้ยอมปล่อยให้เซอเยว่ไปที่หัวกำแพงเมือง ทั้งสองฝ่ายจะพูดคุยกันก็ดี ถามมรรคาสังหารกันเองก็ช่าง เดิมทีก็เป็นข้าวหัวขาด (อาหารมื้อสุดท้ายที่นักโทษได้กินก่อนถูกประหาร) มื้อหนึ่งที่หลงจวินทำทานให้แก่สุนัขไร้บ้านตัวหนึ่งเท่านั้น
หลังจากเฉินผิงอันปล่อยกระบี่หนึ่งออกไปในใจ
ดวงจันทร์ในหัวใจก็ปริร้าวแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เรือนกายของเซอเยว่ล่องลอยอยู่ในกรงขังฟ้าดิน แม้ว่าจะไม่ใช่เซอเยว่ทั้งหมด แต่นางก็ยังตกเป็นนกในกรงอยู่ดี
อีกหนึ่งกระบี่
กระบี่ของร่างจริงเฉินผิงอันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องหลังร่วงลงพร้อมกัน
ฟ้าดินร่วมผสานกับหนึ่งกระบี่
ฟันร่างจริงส่วนหนึ่งของเซอเยว่ที่เรือนกายหลอมรวมขึ้นเป็นแสงจันทร์เล็กจ้อยจุดหนึ่งออกก่อน จากนั้นค่อยบดขยี้เป็นผุยผง ขยี้แล้วขยี้อีก
ดวงจันทร์เต็มดวงในฟ้าดินแตกสลายแล้วกลับมาเต็มอีกครั้ง แสงจันทร์ที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งแหลกสลายเป็นเถ้าธุลีครั้งแล้วครั้งเล่า หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงไปคือร่างจริงของเซอเยว่ ยิ่งเป็นมรรคกถาของเซอเยว่
เฉินผิงอันแหงนหน้าขึ้นมองแล้วหลุดหัวเราะพรืด
กระบี่ที่ผู้อาวุโสหลงจวินลงแรงอย่างเต็มกำลัง ดูเหมือนว่าก็ไม่ถือว่าเร็วสักเท่าไรเลยนะ
บนหัวกำแพงเมืองอีกครึ่งหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ฟ้าดินกลับคืนมาสว่างชัดเจนอีกครั้ง
หลงจวินยื่นมือไปคว้าปราณกระบี่วุ่นวายและเศษเสี้ยวแสงจันทร์แล้วจับกุมเอาไว้
แม่นางหน้ากลมที่ใบหน้าซีดขาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายหลงจวิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เซอเยว่ขอบคุณผู้อาวุโสหลงจวิน”
หลงจวินมองภาพบรรยากาศบนร่างของเซอเยว่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ยังดี โชคดีที่ไม่เสียหายไปถึงรากฐานมหามรรคามากนัก สามารถอาศัยโอกาสนี้เปลี่ยนนิสัย ตั้งใจฝึกตนได้พอดี ไปมานะฝึกตนอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลสักพักหนึ่งก็น่าจะชดเชยกลับมาได้แล้ว”
เซอเยว่พยักหน้ารับเงียบๆ
เรือนกายสีแดงสดสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม มองมายังเซอเยว่แล้วหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “ไม่ทันระวัง ไม่ได้กะน้ำหนักให้ดี แม่นางเซอเยว่โปรดอภัยให้ด้วย”
ในใจเซอเยว่มีข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่ถูกนางเก็บซ่อนเอาไว้ ไม่ได้เปิดปากเอ่ยออกมา มหามรรคาที่ได้รับความเสียหายในเวลานี้ไม่ได้เบาสบายนัก หากไม่เป็นเพราะร่างจริงของนางเปี่ยมไปด้วยความมหัศจรรย์ ได้รับเงื่อนไขที่ดีพร้อมอย่างที่หลีเจินกล่าวจริงๆ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวทั่วไปก็คงเจ็บปวดจนลงไปนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นแล้ว ส่วนพวกผู้ฝึกตนทั้งหลายก็ยิ่งหวาดผวาอยู่ในใจไม่คลาย อนาคตบนมหามรรคาเลือนรางลงนับแต่นี้
หลีเจินไปห้อยตัวอยู่บนหัวกำแพงจุดที่ห่างจากหลงจวิน เซอเยว่ไปค่อนข้างไกล เขายื่นหัวมองไปยังฝั่งตรงข้าม เห็นเพียงว่าใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น กลางฝ่ามือมีดวงจันทร์ขนาดจิ๋วดวงหนึ่งของฟ้าดินที่กลั่นเอาแก่นที่ยอดเยี่ยมบริสุทธิ์ที่สุดมาไว้
ไม่แน่ว่าเมื่อเทียบกับดวงจันทร์ของเฉินฉุนอันผู้รอบรู้แล้ว ยังพอจะสามารถทัดเทียมในระดับความบริสุทธิ์ด้วยได้
เฉินผิงอันสั่นฝ่ามือน้อยๆ ดวงจันทร์ก็โยกคลอนขึ้นลงตามไปด้วยคล้ายว่ามีภูเขาลูกหนึ่งอยู่บนเส้นลายมือของฝ่ามือ
ใช้สิ่งนี้มาชดเชยความเสียหายจากการที่หนึ่งกระบี่ทำลายดวงจันทร์ในใจให้ปริแตกไป แค่คำว่ามากพอเหลือแหล่จะใช้บรรยายพอได้อย่างไร
เซอเยว่เอ่ย “การต่อสู้ในวันนี้ ย่อมต้องเอาคืนแน่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเวลาว่างก็มาใหม่นะ ยินดีต้อนรับสุดๆ ไปเลย”
เฉินผิงอันขยับสายตามองไปทางหลีเจินที่ทำลับๆ ล่อๆ อยู่ไกลๆ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดูของขวัญมาเยี่ยมเยือนของแม่นางเซอเยว่ แล้วก็ลองหันไปดูความขี้เหนียวของเจ้าสิ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ป่านนี้แม่งคงเอาหัวโหม่งกำแพงให้ตัวเองตายสิ้นเรื่องสิ้นราวไปนานแล้ว”
หลีเจินใช้สองมือยันไว้บนหัวกำแพงเมือง เรือนกายแนบติดกำแพง โผล่ออกมาแต่หัว ทำหน้าตาน่าสงสารไม่พูดไม่จา
ขนาดเซอเยว่ยังมีจุดจบน่าอเนจอนาถเช่นนี้ ตนหลบเลี่ยงใต้เท้าอิ่นกวานไว้หน่อยน่าจะดีกว่า
ต้องรู้ว่าบนบันทึกลับของกระโจมเจี่ยจื่อ เซอเยว่คือผู้ฝึกตน ผู้บรรลุมรรคาที่ต่อให้ต่อสู้ไม่ได้ก็สามารถหนีเอาชีวิตรอดเก่งที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่เซอเยว่ยังได้รับการขนานนามให้เป็นคลังยุทโธปกรณ์ของใต้หล้า วิธีการเวทคาถาของนางมีมากมายหลากหลาย ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างคนขอบเขตเดียวกัน นางจึงได้เปรียบอย่างถึงที่สุด
แต่การที่เซอเยว่เสียเปรียบในครั้งนี้ สืบสาวราวเรื่องกันแล้วยังคงเป็นเพราะนางไม่ควรไม่เอาเรือนกายทั้งหมดมาที่หัวกำแพงเมืองแห่งนี้
หลีเจินถอนหายใจเฮือกใหญ่ การค้าในวันนี้ของใต้เท้าอิ่นกวานไม่ขาดทุนอีกแล้ว ซ้ำยังได้กำไรก้อนใหญ่ ไม่เข้าท่าเลย ช่างทำให้คนเสียใจยิ่งนัก
กริชเฉาจื่อเล่มนั้นพลิกหมุนอยู่ระหว่างปลายนิ้วและหลังมือของเฉินผิงอันรัวเร็วราวกับบิน
เฉินผิงอันหยุดมือกะทันหัน เก็บมีดสั้น สองมือค้ำดันไว้บนหัวกำแพง แหงนหน้าพึมพำกับตัวเอง
โชคดีที่ยังสงบสุข ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง แต่คนหนุ่มสาวที่เหลือก็บริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น กลับเป็นดั่งน้ำค้างรุ่งอรุณ เพียงพริบตาก็สูญสลาย
ในอดีตครั้งที่อาเหลียงหวนจากใต้หล้ามืดสลัวกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งเป็นต่างบ้านต่างเมืองของตัวเองอีกครั้ง
คนทั้งสองดื่มเหล้าร่วมกัน อาเหลียงเคยพูดว่า เฉินผิงอัน อันที่จริงเจ้าช่างน่าสงสารจริงๆ
เจ้าไม่เคยเห็นการถกอภิปรายของสามลัทธิ ซิ่วไฉเฒ่าที่ยังไม่ได้เปิดปากพูดก็เหมือนว่าชนะแล้ว ไม่เคยเห็นเหวินเซิ่งที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานอันฮึกเหิม สีหน้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวากับตาตัวเอง
เจ้าไม่เคยเห็นอาจารย์ที่มีเพียงจอนผมสองข้างที่เป็นสีดอกเลา ทว่าโฉมหน้ากลับไม่ถือว่าแก่ชรา
เจ้าไม่เคยเห็นชุยฉานตอนเป็นหนุ่มที่สวมชุดขาวเหนือหิมะคีบเม็ดหมากสีดำอยู่บนก้อนเมฆหลากสี
เจ้าไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มจั่วโย่วที่พอทำผิดก็ยังคงเชิดหน้าทระนงตนอยู่เสมอ
เจ้าไม่เคยเห็นเสี่ยวฉีตอนอายุยังน้อยที่ตอนอ่านตำรามักจะชอบขมวดคิ้วน้อยๆ
เจ้าไม่เคยเห็นหลิวสือลิ่วที่ยื่นสองมือไปกดศีรษะสองหัวห้ามศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนที่ทะเลาะกันอย่างโมโหโทโส ส่วนตัวเขาเองหัวเราะอย่างเซ่อซ่า จากนั้นพอได้รับสายตาบอกเป็นนัยจากอาจารย์ก็คลายมือใหญ่ออกจากศีรษะหนึ่งเล็กน้อย ให้เสี่ยวฉีศิษย์น้องที่อายุน้อยกว่าสามารถแตะศิษย์พี่จั่วที่ไร้เหตุผลได้เบาๆ หนึ่งที สุดท้ายอาจารย์ก็ทำตัวเป็นคนไกล่เกลี่ยเป็นกาวประสานใจ บอกว่าพอแล้วๆ เสี่ยวฉีจะยกสองแขนกอดอก คิ้วตาบานเป็นกระด้ง ลักษณะเช่นนั้นคล้ายคลึงกับตอนที่อาจารย์ถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างมาก ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ชุยฉานที่เรือนกายสูงเพรียวก็จะวางสองมือไว้บนไหล่ของศิษย์น้องจั่วโย่ว วางปลายคางไว้บนหัวของเด็กหนุ่มที่ยังขุ่นเคือง บอกว่าช่างเถิดๆ เจ้าเป็นศิษย์พี่ก็ยอมๆ ให้ศิษย์น้องหน่อย เสี่ยวฉีที่ได้เปรียบไปแล้วยังไม่ยอมทำตัวดีๆ ยังจะยิ้มเย้ยศิษย์พี่จั่วพลางโคลงศีรษะพูดว่าข้าต้องให้เขายอมให้ด้วยหรือ?! เมื่อจั่วโย่วถลึงตาใส่ ศิษย์น้องเล็กก็จะรีบวิ่งไปหลบหลังศิษย์พี่ตัวใหญ่ยักษ์ทันที แต่พอศิษย์พี่ใหญ่ปล่อยไหล่ของศิษย์พี่จั่ว เสี่ยวฉีรู้สึกว่าท่าไม่ดีจึงรีบไปหลบหลังอาจารย์ทันใด อาจารย์จึงกางแขนสองข้างออกกว้าง ปกป้องเสี่ยวฉีไว้ด้านหลัง ซ้ายหนึ่งก้าว ขวาหนึ่งเท้า ขวางลูกศิษย์คนรองที่ยังคงไม่ยอมเลิกรา เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าจั่วโย่วคนนั้น
ใช่แล้ว
เฉินผิงอันล้วนไม่เคยเห็น
ตอนนั้นเฉินผิงอันยิ้มพลางดื่มเหล้า กระดกดื่มเหล้าในถ้วยไปอึกใหญ่ บอกว่าข้าแค่เคยได้ยินท่านเล่า ได้ฟังแล้วก็ทำได้เพียงจินตนาการเอาเท่านั้น แต่ว่าแค่ได้ยินแค่ได้จินตนาการ ข้าก็มีความสุขมากแล้ว
อาเหลียงมองเห็นความเสียใจที่คล้ายจะวิ่งออกมาจากในรอยยิ้มของคนหนุ่ม วิ่งออกมาจากในถ้วยเหล้าที่ว่างเปล่านั้น
ความเสียใจมักจะดื้อรั้นอย่างนี้เสมอ ขนาดสายตายังเก็บซ่อนไม่อยู่ สุราก็รั้งไว้ไม่ไหว
ดังนั้นสุดท้ายอาเหลียงจึงดื่มเหล้าชามสุดท้ายจนหมดตามไป เอ่ยอย่างทั้งปลงอนิจจังทั้งปลอบใจว่า ครั้งนั้นออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เหมือนว่าข้าจะแก่เสียแล้ว จากนั้นก็มีวันหนึ่ง มีเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานร่างผอมแห้งผิวดำเกรียมคนหนึ่ง ข้างกายมีแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนหนึ่งติดตามมา พากันเดินมาหาข้า
เวลานี้ตอนนี้บนหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันเองก็อยากเดินกลับไปบ้านเกิด เดินกลับไปพร้อมกับคนมากมาย บนเส้นทางยาวไกลของการกลับบ้านเกิด ต่อให้ตลอดทางจะต้องเจอกับคนแปลกหน้ามากมายแค่ไหน เขาก็จะยังตั้งใจมองให้ถ้วนทั่ว
เฉินผิงอันสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ยืดเอวขึ้นตั้งตรง สายตามองไปทิศไกลอยู่ตลอดเวลา
กลอนคู่ ตัวอักษรชุนและตัวอักษรฝูของบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงคงได้เปลี่ยนใหม่ทุกปีกระมัง
เป็นนักเดินทางไกลคนหนึ่ง ต่อให้ยากลำบากก็อดทนไว้ไม่คิดถึงบ้าน แน่นอนว่าเป็นเพราะคิดถึงบ้านเกิดมากๆ อย่างไรล่ะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!