กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 716

เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน การมองเห็นของเขาเปิดกว้าง จึงกุมหมัดคารวะแขกบางคนที่อยู่ห่างไปไกลอย่างนอบน้อม

เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่อยู่แล้ว ตนจึงถือว่าเป็นกึ่งแขกกึ่งเจ้าบ้านของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ แน่นอนว่าต้องช่วยรับรองแขก

เฉินผิงอันมองไป จุดที่สายตามองไปเห็น บนพื้นดินที่กว้างขวางของทางทิศใต้ปรากฏร่างของผู้อาวุโสคนหนึ่งที่อยู่เหนือการคาดคิดของเขา

เฉินผิงอันไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายร่ายวิชาอภินิหารอะไร ถึงสามารถมองข้ามพันธนาการขุนเขาสายน้ำที่กระโจมเจี่ยจื่อตั้งใจจัดวางไว้ไปได้โดยตรง ทำเหมือนว่ามันไม่มีอยู่

หากขอบเขตต่างกันมากเกินไป ถ้าอย่างนั้นต่อให้คิดมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

เขาอิจฉาผู้อาวุโสท่านนั้นที่ควักดวงตาของตัวเองไปไว้ในสองใต้หล้าจากใจจริง ฟ้าดินกว้างใหญ่ คิดจะเดินทางไกล มีที่ใดบ้างที่จะไปเยือนไม่ได้? อยากกลับบ้านเกิด ใครเล่าจะขัดขวางได้? ปิดประตูไม่รับแขก ใครจะกล้ามาที่บ้าน?

ฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงสมควรเป็นเช่นนี้จริงๆ

หลงจวินเห็นคนผู้นั้นปรากฏตัวกะทันหันก็รู้สึกเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ อารมณ์หนักอึ้งเคร่งเครียดขึ้นมาอีกหลายส่วน

ชุดคลุมสีเทาพลิ้วกายมาอยู่บนหัวกำแพงทางทิศใต้ ใช้ปราณกระบี่รวมขึ้นเป็นเรือนกายที่พร่าเลือน หลงจวินเองก็ไม่ได้เปิดปากพูด เพียงแค่จ้องข้อยกเว้นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั้นเขม็ง

ผู้เฒ่าตาบอดที่นิสัยแปลกประหลาดผู้นี้ หมื่นปีที่ผ่านมานับว่ายังเคารพกฎอยู่บ้าง เพียงแค่เฝ้าอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ของตัวเอง ชอบบงการปีศาจใหญ่และเทพเกราะทองให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่แสนลี้อย่างไร้ความยำเกรง บอกว่าต้องการสร้างม้วนภาพขุนเขาสายน้ำที่สะอาดสะอ้านไม่เกะกะตาขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

หลงจวินยำเกรงคนผู้นี้ก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นหวาดกลัว ในความเป็นจริงแล้วหลงจวินกับผู้เฒ่าตาบอดรู้จักกันมานานมากแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ไส้รู้พุงกันดี เคยเป็นสหายที่ความสัมพันธ์ไม่เลวด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็แก่กันมากแล้ว สุดท้ายกลายเป็นว่าไม่อาจกลายเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อะไรกันได้

หลีเจินค่อนข้างรู้กาลเทศะ พอเห็นว่าท่าไม่ดี กังวลว่าหากเทพเซียนตีกันแล้วชาวบ้านจะต้องพลอยเดือดร้อน จึงรีบขี่กระบี่เผ่นหนีไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขามุ่งไปทางทิศเหนือ ถึงขั้นไปหลบอยู่ที่ประตูใหญ่โดยตรง เจอกับชายฉกรรจ์กอดกระบี่ก็เอ่ยชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องตลกขบขับ สุดท้ายถามจางลู่ว่ามีเหล้าหรือไม่

เซียนกระบี่ใหญ่จางลู่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหินผูกม้าจึงโยนเหล้าหมักตระกูลเซียนของสำนักอวี่หลงกาหนึ่งไปให้หลีเจิน บอกว่าเซียวสวิ้นไหว้วานคนให้นำมาส่งให้ เจ้าดื่มประหยัดๆ หน่อย ทุกวันนี้ตัวข้าเหมือนนกนางแอ่นที่ค่อยๆ คาบดินโคลนมาทำรัง สะสมเหล้าไว้ได้แค่สองร้อยกว่าไหเท่านั้น

หลีเจินรู้สึกว่าขนบธรรมเนียมประเพณียุคหลังของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนถูกบัณฑิตต่างถิ่นอย่างอาเหลียง อิ่นกวานทำลายจนเละเทะไม่เหลือดีแล้วจริงๆ ทุกวันนี้เวทกระบี่ไม่ได้สูงไปยังไง ทว่าแต่ละคนกลับช่างพูดช่างคุยไม่แพ้กันเลย

หลีเจินดื่มเหล้าอย่างเนิบช้าสบายใจ งอนิ้วเคาะลงบนเสากลมที่มีลักษณะเหมือนหินสำหรับผูกม้าเบาๆ “หน้าประตูหลังประตู มีทั้งหมดสี่เสา ในประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็นผูกมังกร วัว ม้า วัว น่าเสียดายที่เอามาใช้สยบกำราบประตูใหญ่นี้ชั่วคราว ไม่อย่างนั้นเจ้าเฒ่าหยวนโส่วที่จ้องพวกมันตาเป็นมันมาหมื่นปีแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางผ่านที่นี่ต้องถูกเขาทำลายจนเละไปชิ้นหนึ่ง จากนั้นค่อยเก็บอีกสามเสาที่เหลือใส่กระเป๋าถึงจะยอมเลิกราอย่างแน่นอน”

จางลู่ยิ้มกล่าว “สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็นเพราะชู้รักของหย่างจื่อผู้นั้นสู้อาจารย์ของเจ้าไม่ได้”

หยวนโส่วก็คือหนึ่งในปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ ตอนอยู่บนสนามรบมักขี่กระบี่แบกทวนยาว แขนยาวเหมือนวานร ในมือร้อยหินหยาบๆ เอาไว้พวงหนึ่ง ล้วนเป็นขุนเขาใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ดีๆ ก็หายสาบสูญไปในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อันดับแรกก็ถูกปีศาจที่มีนามแฝงว่าหยวนโส่วใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตย้ายเอาไปก่อน จากนั้นค่อยหล่อหลอมให้กลายเป็นกำไลข้อมือหินมุก

ครั้งนี้หยวนโส่วไปเยือนใต้หล้าไพศาล ทั้งอาคเนย์ใบถงทวีปและหรดีฝูเหยาทวีปต่างก็เคยไปเยือนมาแล้ว ทุกที่ที่ผ่าน ขอแค่เป็นภูเขาที่มีศาลบรรพจารย์ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนถูกกระบองเขาตีจนแตกยับ

หลีเจินกระโดดขึ้นไปบนเสาผูกวัวอีกเสาหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ นั่งขัดสมาธิเลียนแบบเซียนกระบี่ใหญ่ ดื่มเหล้าคำเล็กๆ วางแผนคิดว่าควรจะหลอกเอาเหล้ากาที่สองมาจากอีกฝ่ายอย่างไรดี

จางลู่ถาม “ดวงจันทร์ในบ้านพวกเจ้าหายไปอีกดวงหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้เซอเยว่ไปกลับมารอบหนึ่ง สองครั้งที่ไปและกลับ ลมหายใจแตกต่างกันอยู่บ้าง ทำไม นางต่อสู้กับเฉินผิงอันมาหรือ? ดูท่าแล้วจะบาดเจ็บไม่เบาเลย”

หลีเจินพยักหน้ารับ เอ่ยอย่างเสียดาย “ก็แค่เสียเปรียบนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น พี่หญิงเซอเยว่ร้ายกาจจะตายไป เอาชนะเจ้าคนอันดับที่สิบเอ็ดอันดับล่างสุดยังไม่ง่ายเหมือนกระดิกนิ้วอีกหรือ นางโมโหจริงๆ แล้ว ตีแค่สองสามทีก็ทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานคุกเข่าโขกหัวเรียกนางว่ากูไหน่ไน (พี่สาวน้องสาวของปู่ทวด/คำเรียกสตรีในตระกูลที่ออกเรือนไปแล้ว) ได้แล้ว ชื่อเสียงของวีรบุรุษผู้เก่งกล้าถูกทำลายในวันเดียวแท้ๆ โชคดีที่คนที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้มีไม่มาก แค่ข้ากับหลงจวิน และข้าก็เป็นคนประเภทปิดปากสนิท ชอบเก็บคำพูดไว้ให้เน่าอยู่ในท้อง เว้นเสียจาก…มีคนเลี้ยงเหล้าข้า ข้าถึงจะพูดมากสักสองสามคำ”

จางลู่ยิ้มกล่าว “ไม่ควรมอบเหล้าให้เจ้าดื่มเลย”

หลีเจินเอ่ย “ได้ยินเจ้าเล่าว่าเจ้าเป็นคนรู้จักเก่ากับเฉินผิงอันหรือ? แล้วยังเคยเจอกันหลายครั้งด้วย?”

จางลู่ตบเสาผูกมังกรที่อยู่ใต้ก้นตัวเองแปะๆ “คนเฝ้าประตูใหญ่คนหนึ่ง คนต่างถิ่นไปๆ มาๆ ล้วนไม่ต้องพบเจอกับข้าหรอกหรือ?”

ศึกสิบสามในครานั้น จางลู่พ่ายแพ้จึงถูกเนรเทศให้มาเฝ้าประตูใหญ่ที่นี่

หลีเจินเงยหน้ามองท้องฟ้า วางกาเหล้าไว้บนยอดของเสาใต้ฝ่าเท้าเบาๆ พลันใช้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะว่า “เฝ้าประตูหรือ พี่จางลู่พูดได้ถูกต้อง เพียงแค่ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด ดาบแคบพิฆาตเล่มหนึ่ง สุดท้ายตกหล่นอยู่ในบ้านเกิดของเจ้า ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ส่วนเบาะรองนั่งที่มองดูคล้ายนักพรตน้อยทิ้งเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ ทุกวันนั่งอยู่ใกล้กับเสาผูกวัวต้นนี้ฆ่าเวลาไปวันๆ ก็มีวิถีมีหนทางให้สืบสาวตามหาอยู่เช่นกัน”

หลีเจินหันหน้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสาร “ดูเหมือนว่าเจ้ามักจะจิตใจไม่สงบอยู่เช่นนี้เสมอ จุดจบก็เลยไม่ค่อยดีแบบนี้มาตลอด”

จางลู่ถึงกับโยนเหล้าหมักของเกาะหลูฮวาที่ตัวเองเก็บสะสมไว้กาหนึ่งไปให้หลีเจิน

หลีเจินยิ้มอย่างตกตะลึงระคนยินดี “เดิมนึกว่าวันหน้าจะไม่ได้ดื่มเหล้าเซียนจากเซียนกระบี่ใหญ่จางอีกแล้ว”

จางลู่กล่าว “หลีเจินพูดความจริงสองสามคำ เป็นเรื่องที่หาได้ยากปานใด ตามหลักแล้วก็ควรมีเหล้าดื่ม”

หลีเจินเอากาเหล้าที่มีเหล้าและกาเหล้าที่ว่างเปล่าวางไว้ข้างเท้าฝั่งซ้ายหนึ่งใบฝั่งขวาหนึ่งใบ สีหน้าเศร้าสร้อยอย่างที่หาได้ยาก พึมพำว่า “จำได้ไม่สู้จำไม่ได้ รู้ไม่สู้ไม่รู้”

คนที่มีปัญญามีความรู้ คนที่บรรลุมรรคาอย่างแท้จริง ถึงจะรู้สึกกลัวความแปรปรวนไม่แน่นอนของมหามรรคาจริงๆ

จางลู่ยิ้มกล่าว “ดูท่าเฉินผิงอันเอาชนะเซอเยว่ได้จะทำให้เจ้าอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไรนะ”

หลีเจินแบมือออกมา ยิ้มเอ่ยกับเซียนกระบี่ใหญ่ที่กำลังดื่มเหล้าว่า “วันวานเทพเดินทางมาถึงริมต้นกุ้ย ห้อยเบ็ดตกกวีในโลกมนุษย์ วันนี้แหงนหน้ามองดวงจันทร์ เซียนกระบี่พสุธาร่ำสุรา เข้ากับบรรยากาศจะตายไป ข้าแต่งกลอนหนึ่งบทกับท่านมอบเหล้าหนึ่งกา อย่าให้มือของสหายว่างเปล่าไร้กาเหล้าสิ”

จางลู่โบกมือ “ไสหัวไป”

หลีเจินทอดถอนใจ ได้แต่เปิดเหล้ากานั้น แหงนหน้ากระดกดื่มอย่างสำราญท่ามกลางความเงียบงัน

ไม่รู้ว่าเฒ่าตาบอดผู้นั้นมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่

หากเฒ่าตาบอดกับหลงจวินต่อสู้กันอย่างลืมรักตัวกลัวตายขึ้นมา เป็นเหตุให้ท้องน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็จะยิ่งวุ่นวายซ้ำเติมลงไปบนความวุ่นวายอีกที

หลีเจินหัวเราะ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?

แล้วหลีเจินก็ร้องไห้ เหตุใดถึงต้องมีข้า?

จางลู่ชำเลืองตามองผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม ดูท่าคงไม่ได้เปรียบใดๆ มาจากทางฝั่งของเฉินผิงอันเลย

อิ่นกวานหนุ่มที่ต้องเฝ้าพิทักษ์พื้นที่แห่งหนึ่งมานานเหมือนถูกกักขังไม่ได้สติวิปลาส ทว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ที่มีอิสระเสรีกลับใกล้บ้าเต็มทีแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!