ก่อนที่หลิวสือลิ่วจะออกจากภูเขาลั่วพั่วไปยังสนามรบของนครมังกรเฒ่า ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่เรียกตัวเองว่า ‘จวินเชี่ยน’ ผู้นี้ ก่อนจะลงจากเขานอกจากจะไปจุดธูปกราบไหว้ที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาจี้เซ่อแล้ว ยังไปที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ที่นั่นนอกจากจะวางเตียงไม้ไว้หลังหนึ่ง ส่วนอื่นๆ ที่เหลือล้วนคล้ายห้องหนังสือมากกว่า
หน่วนซู่ผู้ดูแลน้อยหยิบกุญแจมาเปิดประตู โจวหมี่ลี่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือแบกคานหาบสีทองไว้บนบ่า ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาล ยืดอกตั้ง ยืนตัวตรงแน่ว
หลิวสือลิ่วพลิกเปิดตำราบางส่วนที่วางไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ บนหน้าหนังสือส่วนใหญ่ล้วนมีตัวอักษรแบบบรรจงเล็กเขียนอธิบายไว้ด้านข้าง หากจะบอกว่าคนเหมือนกับตัวอักษร ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องเล็กก็น่าจะเป็นบัณฑิตคนหนึ่งที่จริงจังอีกทั้งยังค่อนข้างเอาจริงเอาจัง เพราะถึงอย่างไรปีนั้นในบรรดาตำราทั้งหลายที่ศิษย์พี่ชุยฉานเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ทุกครั้งที่จั่วโย่วมีความเห็นต่างจากคำอธิบายที่ชุยฉานเขียนไว้บนหนังสือก็จะให้เสี่ยวฉีช่วยเขียนแทนให้ บนตำราหนึ่งเล่มจึงมักจะมีการต่อสู้กันบนหน้าหนังสืออยู่หลายจุด
หลิวสือลิ่ววางตำรากลับไป เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองกลอนคู่ที่แขวนอยู่ด้านบน กระดาษพื้นหลังสีฟ้าตัวอักษรสีทองลายเมฆค้างคาวมงคล หากฟังตามคำบอกเล่าของหมี่ลี่น้อย กลอนคู่นี้ศิษย์น้องเล็กเก็บมาได้จากอุตรกุรุทวีป
‘ลมฝนนอกขุนเขากระบี่สามฉื่อ มีเรื่องถือกระบี่ลงภูเขา’
‘บุปผาวิหคกลางหมู่เมฆตำราเต็มห้อง ไร้ทุกข์ไร้กังวลเปิดตำราอริยะปราชญ์’
หลิวสือลิ่วมองดูเหมือนเป็นคนหยาบกระด้าง แต่แท้จริงแล้วเป็นคนละเอียดอ่อน เขามองปราดเดียวก็สังเกตเห็นว่าตรงมุมของกลอนคู่ประทับตราคำว่า ‘เฉินสืออี’ เอาไว้
มีครบถ้วนทั้งบุ๋นและบู๊ ฝึกฝนกำลังกายฝึกอบรมจิตใจ
ก่อนที่หลิวสือลิ่วจะกลับภูเขาได้ไปช่วยปกป้องค่ายกลให้กับเจ้าบ้านที่ร้านตระกูลหยาง จากนั้นก็ไปรับรองแขกที่ม่านฟ้ากับหร่วนซิ่ว แล้วก็ได้สมดังใจปรารถนา ปล่อยสองหมัดต่อยให้ศัตรูแหลกลาญ ฝนสีทองห่าใหญ่สองรอบตกลงมาในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ เศษชิ้นส่วนร่างทองห้าส่วนถูกสหายฉางมิ่งเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋า อีกห้าส่วนถูกส่งต่อไปยังภูเขาพีอวิ๋น
‘แม่นางน้อย’ หร่วนซิ่วผู้นั้นยิ่งเกินจริงกว่าเขา นางถึงขั้นเดินข้ามบานประตูออกไปนอกฟ้าโดยตรง ไม่รู้ว่านางได้พบกับหลี่เซิ่งหรือไม่
หลังกลับมาถึงบนภูเขา มีครั้งหนึ่งที่หลิวสือลิ่วได้รับตำแหน่งขุนนางที่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วแต่งตั้งให้เป็นการส่วนตัว คือตำแหน่ง ‘ทูตผู้ลาดตระเวนภูเขา’ หมี่ลี่น้อยบอกว่าตำแหน่งขุนนางไม่ใหญ่ อย่าได้รังเกียจเลยนะ
ยามที่ชายฉกรรจ์เดินลาดตระเวนภูเขา เขาจะกางแขนสองข้างออกไปด้านข้าง แขนแต่ละข้างมีแม่นางน้อยคนหนึ่งห้อยตัวอยู่ คนหนึ่งชุดสีชมพู คนหนึ่งชุดสีดำ พวกเขาเดินไปท่ามกลางแสงรุ่งอรุณด้วยกัน
มีครั้งหนึ่งที่ลาดตระเวนภูเขาก็มีคนจิ๋วดอกบัวนั่งอยู่บนหัวของเขา ชมแสงจันทร์ไปด้วยกัน
ชิงถงเทียนจวินเปิดหอบินทะยานในโลกมนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับผู้ฝึกตนมากมายของหนึ่งทวีปแล้ว เรียกได้ว่าคือโชควาสนาที่หล่นลงมาจากฟ้า เป็นโชคที่ยิ่งใหญ่ลึกล้ำอย่างถึงที่สุด
หอบินทะยานแห่งหนึ่ง
ซากปรักเก่าแก่ที่ต้องบินทะยานไปให้ถึงสมกับชื่อ สุดท้ายจะมีประตูสวรรค์ผุพังบานหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลเมฆ
ท่ามกลางขั้นตอนที่หอฟ้าทะยานขึ้นสูงนี้ ก็คือการขัดเกลาบนมหามรรคาอย่างหนึ่ง
ผู้ฝึกตนเซียนดินทุกคน ขอแค่รักษาจิตแห่งมรรคาให้มั่นคงและรั้งจิตวิญญาณไม่ให้สลายไปได้ ก็จะสามารถขึ้นไปถึงบนยอดสูง แม้จะถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจก้าวข้ามประตูใหญ่ยุคโบราณที่มีตราผนึกป้องกันอย่างเข้มงวดบานนั้นไปได้ แต่ขอแค่ผู้ฝึกตนสามารถยืนอยู่นอกประตูสวรรค์บนก้อนเมฆก็ถือว่ามีบุญบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว
มีผู้ฝึกตนหล่นลงจากหอบินทะยานย้อนกลับลงมาในโลกมนุษย์อีกครั้งอย่างต่อเนื่อง ผลเก็บเกี่ยวจะมากหรือน้อยก็ต้องดูที่ระดับความสูงที่สามารถไปได้ถึง
คนเจ็ดแปดในสิบคนล้วนได้รับผลเก็บเกี่ยวยิ่งใหญ่ สวี่หุนเจ้านครลมเย็นสวมเสื้อเกราะโหวจื่อไว้บนร่าง อยู่บนหอบินทะยาน จิตใจของเขามั่นคงดุจภูผาอยู่ตลอดเวลา และในที่สุดก็สามารถฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้สำเร็จ
หลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วค่อนข้างจะน่าเสียดาย เนื่องจากจิตแห่งกระบี่มีจุดด่างพร้อย จึงหยุดอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิด อันที่จริงเดิมทีเขามีโอกาสบนมหามรรคาอยู่เสี้ยวหนึ่ง แต่น่าจะเป็นเพราะถูกจิตมารก่อกวน กลับกลายเป็นว่าได้รับบาดเจ็บไม่เบา หลังจากก้าวเดินออกไปก้าวใหญ่ก็ไม่เพียงแต่ไม่สามารถก้าวเดินต่อไปเป็นก้าวที่สองได้อย่างราบรื่น กลับกลายเป็นว่าต้องถอยกลับมาอีกเล็กน้อย ทว่าต่อให้จะแค่เปลี่ยนจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองไปเป็นขอบเขตก่อกำเนิดจริงแท้แน่นอน แต่ก็ถือว่าหลิวป้าเฉียวมีคำอธิบายที่ไม่เลวต่อศิษย์พี่หวงเหอซึ่งเตรียมจะสละตำแหน่งเจ้าสวนแล้ว ไม่อย่างนั้นหากหลิวป้าเฉียวกลับไปมือเปล่า เขาก็รู้สึกว่าด้วยนิสัยของศิษย์พี่ คิดจะเอาตำแหน่งเจ้าสำนักไปมอบให้คนอื่นก็ต้องทำได้อย่างแน่นอน จากนั้นยังต้องกักบริเวณตนอยู่บนภูเขานานร้อยปี หากไม่ฝึกกระบี่จนสร้างทารกก่อกำเนิดได้ก็อย่าหวังว่าจะได้ลงจากเขาอีกชั่วชีวิต
หลิวป้าเฉียวเองก็ขึ้นไปบนทะเลเมฆเบื้องบนพร้อมกับสวี่หุน เพียงแต่ว่าไม่นานก็ต้องถอยกลับมาที่โลกมนุษย์อย่างมิอาจห้ามได้ หลิวป้าเฉียวไปเที่ยวเล่นในเมืองเล็กอีกครั้ง ไปเยือนที่ว่าการผู้ตรวจการ เจอกับผู้ตรวจการเฉาเป็นครั้งแรกก็ถูกชะตากันอย่างมาก จึงไปดื่มเหล้าด้วยกัน
ไช่จินเจี่ยนเทพธิดาโอสถทองจากภูเขาเมฆาเรืองค่อนข้างจะทำให้ผู้คนคาดไม่ถึง ด้วยคุณสมบัติของนาง บรรพจารย์หลายคนบนภูเขาต่างก็ไม่คิดว่าชีวิตนี้นางจะสามารถเลื่อนเป็นก่อกำเนิดได้ ทว่าครั้งนี้นางกลับกัดฟันอดทนจนถึงท้ายที่สุด แม้ว่าจะได้แค่ชำเลืองตามองประตูสวรรค์แค่แวบเดียว แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงแล้ว
ครั้งนี้ถือว่าไช่จินเจี่ยนเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว หากไม่ผิดไปจากที่คาด เมื่อนางกลับไปถึงสำนัก นอกจากเก้าอี้ในศาลบรรพจารย์ตัวก่อนหน้านี้แล้ว ก็น่าจะยังได้เป็นบรรพจารย์หญิงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของภูเขาเมฆาเรืองอีกด้วย
จวนเซียนหลายแห่งในแจกันสมบัติทวีป ส่วนใหญ่เมื่อผู้ฝึกตนกลายเป็นโอสถทองได้สำเร็จ นอกจากจะสามารถเปิดภูเขาเป็นของตัวเอง ป่าวประกาศให้ทั้งทวีปรับรู้แล้ว ยังสามารถยกระดับความอาวุโสบนทำเนียบขุนเขาสายน้ำได้อีกขั้นหนึ่ง หากโชคดีได้เลื่อนเป็นก่อกำเนิด ลำดับอาวุโสก็จะสูงขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น
ส่วนห้าขอบเขตบนนั้น สามารถเปิดภูเขาตั้งสำนักเป็นของตัวเองได้แล้ว
หลังจากไช่จินเจี่ยนถอยออกมาจากหอบินทะยาน นางก็ไปเยือนโรงเรียนเก่าเพียงลำพัง นางมองไปยังห้องเรียนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
เจียงอวิ้นบุรุษชุดดำ ในฐานะลูกหลานสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ไม่ได้ไปรวมตัวกับเหวยเหลียงผู้ตรวจการใหญ่และอาจารย์ของเขาที่แนวเส้นสนามรบทะเลบูรพาซึ่งสกุลเจียงอวิ๋นหลินเป็นผู้นั่งบัญชาการณ์ทันที แต่หยุดพักเล็กน้อย การเลือกของเขาไม่ต่างจากหลิวป้าเฉียวและไช่จินเจี่ยน นั่นคือไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่เคยมาเยือนอย่างเมืองเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตแห่งนี้อีกครั้ง
เพียงแต่ว่าพอเขาไปถึงบ่อโซ่เหล็กก็ต้องผิดหวังเล็กน้อย หลังจากโซ่เหล็กที่ในอดีตหล่นลงไปใต้บ่อถูกเขาดึงขึ้นมาก็นำไปหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตนานแล้ว
ทั้งสามารถทำให้ฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ของเขากลายเป็น ‘ป่าภูเขาเหล็ก’ ‘สถานประกอบพิธีกรรมอิ๋งเช่อ’ ที่หายสาบสูญไปนาน แล้วยังได้มีสมบัติหนักตระกูลเซียนที่ได้ทั้งโจมตีและป้องกันเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้น
ครั้งนี้เจียงอวิ้นก็เลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดเช่นเดียวกัน
เซียนดินคนอื่นๆ การไต่ทะยานของขอบเขตมีสูงมีต่ำ คนโชคดีที่ได้เห็นรูปโฉมของประตูสวรรค์ ถึงอย่างไรก็มีจำนวนน้อยนิด
ในบรรดาเซียนดินของหนึ่งทวีปที่รีบรุดเดินทางมาที่นี่อย่างเป็นความลับ มีเพียงสองสามในสิบคนเท่านั้นที่มาอย่างฮึกเหิม แต่กลับไปอย่างหม่นหมอง ไม่ได้อะไรกลับไปสักอย่าง เพราะเพียงไม่นานก็หล่นร่วงลงมาจากหอบินทะยาน
ก็แค่ไม่กล้าเผยสีหน้าผิดปกติออกมาแม้แต่น้อยเท่านั้น
‘การชดเชย’ เพียงหนึ่งเดียวก็คงจะเป็นว่า แม้ไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขตที่นี่ แต่หลังจากนี้เมื่อเซียนดินไปเยือนสนามรบของนครมังกรเฒ่า ก็ไม่จำเป็นต้องสะสมคุณความชอบทางการสู้รบมากนัก
สุยโย่วเปียนที่อยู่ในสำนักเจินจิ้งทะเลสาบซูเจี่ยนเพิ่งฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตประตูมังกรมาได้ไม่นาน ถือเป็นเซียนดินโอสถทองที่มีประสบการณ์ตื้นเขินที่สุดในบรรดาคนกลุ่มนี้
ทว่าสุยโย่วเปียนที่เปลี่ยนจากการเป็นผู้ฝึกยุทธไปฝึกตนกลางคันยังสามารถกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องประหลาดเรื่องใหญ่มากแล้ว ในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมายังกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าตะลึงพรึงเพริด เพียงแต่ว่าสำนักกุยหยกและสำนักเจินจิ้ง สองสำนักที่ควันธูปอยู่บนธูปก้านเดียวกันกลับช่วยกันปิดบังให้กับสุยโย่วเปียนอย่างดีเยี่ยม
ดังนั้นหากไม่เป็นเพราะมีสถานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกเป็นสถานะตบตา คนที่มารวมตัวกันที่หอบินทะยานในครั้งนี้ล้วนเป็นเซียนดินของแจกันสมบัติทวีป มีใครบ้างที่ไม่ได้ฝึกปรือจิตใจมาจนเชี่ยวชาญเข้าขั้น ทุกคนย่อมต้องเกิดความกังขาในตัวสุยโย่วเปียนอย่างแน่นอน
ทว่าครั้งนี้สุยโย่วเปียนยังไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขต ได้แค่ไปถึงคอขวดของโอสถทองเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!