จูเหลี่ยนแอบใช้จอบเล็กๆ ขุดอยู่ในนครลมเย็นมานานหลายปี สุดท้ายก็ขุดเอาแคว้นหูแห่งหนึ่งไปได้
ตอนที่จูเหลี่ยนเพิ่งพาเพ่ยเซียงกลับมายังภูเขาลั่วพั่ว ก็เป็นช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างจวินเชี่ยนลงจากภูเขาและจั่วโย่วขึ้นมาบนภูเขาพอดี
สวี่หุนเจ้านครลมเย็นเพิ่งออกจากหอบินทะยานไปได้ไม่นานนัก เดิมทีสวี่หุนกับหวงเหอผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าถูกขนานนามให้เป็น ‘ผู้ที่มีพลังพิฆาตสูงสุดต่ำกว่าห้าขอบเขตบน’ แห่งแจกันสมบัติทวีป ทุกวันนี้ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ต่อให้สวี่หุนจะเป็นคนสุขุมหนักแน่นก็ยังอดเผยสีหน้าลำพองใจออกมาไม่ได้ เขาไม่ได้กลับไปที่นครลมเย็น แต่โดยสารเรือกองทัพชายแดนลำหนึ่งของต้าหลีที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว มุ่งหน้าไปเยือนสนามรบของนครมังกรเฒ่าตามกำหนดการของหอบินทะยาน
จากนั้นสวี่หุนก็ได้รับจดหมายจากกระบี่บินฉบับหนึ่ง เพียงไม่นานบนเรือข้ามฟากก็มีพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามขุมหนึ่งถูกปล่อยออกมา ปราณสังหารเข้มข้นประหนึ่งน้ำขึ้นที่เอ่อล้นปกคลุมไปทั่วเรือข้ามฟาก
เพราะผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้มีสถานะที่พิเศษ ดังนั้นจอมยุทธพเนจรแห่งสำนักโม่ที่พาดกระบี่ไว้ด้านหลังเป็นแนวขวางท่านหนึ่งจึงออกจากเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีเงียบๆ มาช่วยคุ้มกันเรือข้ามฟากลำนี้เดินทางลงใต้โดยเฉพาะ ตอนที่สวี่หุนกดข่มพลังอำนาจของห้าขอบเขตบนที่เป็นดั่งกระแสน้ำล้นไหลหลากไม่ได้ เป็นเหตุให้เรือทั้งลำสั่นสะเทือนไม่หยุด ทะเลเมฆทุกผืนที่เรือข้ามฟากล่องผ่าน เมฆขาวกระจุยกระจายไปสี่ทิศ ซัดตลบอบอวลไม่หยุดนิ่ง
สวี่รั่วมีสีหน้าเป็นปกติ มือหนึ่งไพล่ไปด้านหลัง ใช้ ‘วิธีกุมกระบี่’ ที่คิดค้นขึ้นเองหลังจากบรรลุการพิศภาพเซียนกระบี่สู่โบราณภาพหนึ่งผลักด้ามกระบี่ออกจากฝักมาเบาๆ ชุ่นกว่า พลังอำนาจขุมนั้นของสวี่หุนก็ถูกสยบลงในเสี้ยววินาที
จอมยุทธพเนจรสวี่รั่วส่ายหน้าให้กับผู้ดูแลเรือข้ามฟากคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพบู๊ต้าหลี บอกเป็นนัยแก่อีกฝ่ายว่าไม่ต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ การกระทำเช่นนี้ของเจ้านครลมเย็น ทางเรือข้ามฟากสามารถจดลงบันทึกไว้ได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องวิ่งไปซักไซ้เอาความผิดแล้ว
ครู่หนึ่งต่อมาสวี่หุนที่สวมเสื้อเกราะโหวจื่อไว้บนร่างก็ปรากฏตัวบนหัวเรือ เป็นฝ่ายมาหาผู้ดูแลเรือข้ามฟากด้วยตัวเองแล้วเอ่ยขออภัย จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณสวี่รั่ว
สวี่รั่วเพียงแค่ยิ้มเอ่ยว่าไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กเรื่องหนึ่งเท่านั้น
สวี่หุนกลับไปยังที่พักในเรือ มองดูเหมือนว่าจิตแห่งมรรคาจะไร้ริ้วคลื่นกระเพื่อมแล้ว
แม่ทัพบู๊กองทัพชายแดนที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีคนนั้นมาจากภูเขาเจินอู่ และภูเขาเจินอู่กับศาลลมหิมะที่เป็นปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีปสองแห่งนี้ก็สนิทสนมกับสำนักโม่เป็นที่สุด นี่เกิดจากความใกล้เคียงกันของมหามรรคาและความถูกชะตากันและกันเป็นตัวนำพา
แม่ทัพสวมเสื้อเกราะใช้เสียงในใจถามเบาๆ “อาจารย์สวี่ สามารถทำให้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งเสียกิริยาได้ขนาดนี้ เป็นเพราะที่นครลมเย็นเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นหรือ?”
สวี่รั่วพยักหน้า “มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นแคว้นหูแห่งนั้น พวกเราไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ย่อมต้องมีสายลับคอยจับตามองที่นั่นอยู่”
รากฐานในการหยัดยืนของนครลมเย็นคือแคว้นหู นอกจากนั้นคือความสามารถในการหาเงิน อย่างเจ้านครสวี่หุนผู้นี้ แม้ว่าจะมีสถานะสูงส่ง แต่อันที่จริงแล้วสำหรับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือเรื่องของการใช้เงิน กลับกลายเป็นว่าจิตใจสงบนิ่งไร้ความปรารถนาประหนึ่งอริยะผู้ทรงธรรม แน่นอนว่าภรรยาคนนั้นของสวี่หุนคือคนที่หาเงินได้เก่ง แล้วก็เป็นคนที่เข้าใจเสวยสุขด้วย คำวิพากษ์วิจารณ์ในวงการขุนนางของเมืองหลวงต้าหลีจึงมีทั้งดีและร้ายปนกันอย่างละครึ่ง
สวี่รั่วถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาได้รู้ความลับใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่งมาจากทางฝั่งของราชครูชุยฉาน น่าเสียดายที่ตนปลีกตัวไปไม่ได้ จึงไม่ทันได้ไปเจอกับป๋ายเหย่ที่เป็นเซียนแห่งบทกลอนและยิ่งเป็นเซียนกระบี่ผู้นั้น
ก่อนหน้านี้หลังจากจูเหลี่ยนกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว คืนนั้นก็ลากเอาเว่ยป้อ หมี่อวี้และเหวยเหวินหลงมาปรึกษาเรื่องใหญ่ๆ ด้วยกันหลายเรื่อง
ผู้ดูแลที่เป็นผู้ฝึกยุทธ ซานจวินผู้เป็นพันธมิตร เซียนกระบี่ผู้ถวายงาน ผู้ฝึกลมปราณโอสถทองที่ดูแลเงินคิดบัญชี ฝึกตนกันคนละเส้นทาง มาจากบ้านเกิดที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายกลับมาเจอกันบนภูเขาลั่วพั่ว
จูเหลี่ยนที่เป็นผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วเพิ่งเคยจะได้พบเจอกับหมี่อวี้และเหวยเหวินหลงเป็นครั้งแรก เพียงแต่ว่าการปรึกษาหารือครั้งนี้เขากลับไม่เห็นทั้งสองเป็นคนนอกเลยแม้แต่น้อย
คนทั้งกลุ่มนั่งลงข้างโต๊ะหินในลานบ้านของจูเหลี่ยน เว่ยป้อโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งบนโต๊ะก็มีเหล้าหมักตระกูลเซียนของตำหนักฉางชุนเพิ่มมาสี่กา รวมไปถึงของเลียนแบบอักษร ‘ลี่’ สี่ใบจากในแก้วเทพบุปผาสิบสองใบ ตามคำกล่าวของล่างภูเขา นี่ถือเป็น ‘ข้าวของเครื่องใช้ของทางการ’ ตามแบบฉบับ พูดง่ายๆ ก็คือจอกเหล้าเล็กสี่ใบที่เล่าลือกันว่ามาจากพื้นที่มงคลร้อยบุปผานี้มีค่ามากกว่าเหล้าหมักชุนฮวาเจียวสี่กามากนัก งานเลี้ยงท่องราตรีหลายครั้งไม่ได้จัดขึ้นอย่างเสียเปล่า เว่ยซานจวินรีดไถของเล่นหายากตระกูลเซียนมาได้ไม่น้อยเลย
จูเหลี่ยนเอ่ย “คืนนี้เพียงแค่จิบนิดหน่อย ใครก็ห้ามดื่มเยอะ”
เว่ยป้อจึงยกชายแขนเสื้อขึ้นอีกครั้ง ดูจากท่าทางแล้วเตรียมจะเก็บเหล้าไปให้หมดทีเดียว จูเหลี่ยนรีบยื่นมือมาบังกาเหล้าที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง “แค่จิบเบาๆ ให้พอกระชุ่มกระชวย ไม่ดื่มก็ไม่เป็นไร”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ “มาพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน”
เดิมทีเหวยเหวินหลงกำลังมองประเมินจอกเหล้าอย่างละเอียด ในใจกำลังประเมินว่าราคาเท่าไร พอได้ยินถ้อยคำของเว่ยซานจวินแล้วก็รีบเก็บความคิดทุกอย่างทันที
จูเหลี่ยนจิบเหล้าหนึ่งอึกแล้ววางจอกเหล้าลง สองนิ้วหมุนจอกกระเบื้องที่งามประณีติอย่างถึงที่สุดใบนั้นเบาๆ
เรื่องแรกที่พูดคุยกันจูเหลี่ยนก็สอบถามทันทีว่าเจ้าขุนเขาจะกลับมายังใต้หล้าไพศาลเมื่อไหร่ รวมไปถึง…สรุปแล้วว่าจะสามารถกลับมาถึงบ้านเกิดได้หรือไม่กันแน่
จูเหลี่ยนเตรียมพร้อมรับมือกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว ถึงขั้นเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องโดนเว่ยป้อด่าแสกหน้า
แต่จูเหลี่ยนกลับได้รับข่าวที่ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดข่าวหนึ่ง ไม่ใช่ข่าวที่แม่นยำอะไร แต่เป็นหมี่อวี้บอกว่าอาจารย์หลิวท่านนั้น ซึ่งก็คือศิษย์พี่ของใต้เท้าอิ่นกวานค่อนข้างจะมั่นใจกับเรื่องนี้ ไม่กล้าบอกว่าศิษย์น้องเล็กจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน แต่ความหวังที่จะได้กลับมาโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีอยู่บ้าง จะต้องมีโอกาสรอดชีวิตอยู่เสี้ยวหนึ่งแน่ๆ สวรรค์ไม่ไร้หนทางให้คนเดิน หากมีโอกาสที่ว่านั้นจริงๆ ศิษย์พี่อย่างพวกเขา ไม่ว่าจะต้องวางแผนก็ดี ส่งกระบี่ก็ดี หรือออกหมัดก็ช่าง ไม่ว่าจะเป็นแผนการหรือใช้หมัดใช้กระบี่ก็ต้องช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งนั้นมาให้ศิษย์น้องเล็กให้จงได้
จูเหลี่ยนเอ่ย “ความโกลาหลบนม่านฟ้าสามครั้งที่เกิดขึ้นเหนืออาณาเขตของขุนเขาเหนือก่อนหน้านี้ล้วนได้เห็นอยู่กับตา น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง เป็นวิชาหมัดที่ดีเยี่ยม เป็นวิชาหมัดที่ดีเยี่ยมจริงๆ”
เพียงแต่ว่าไม่ใช่ว่าจูเหลี่ยนไม่เคารพนับถือในตัว ‘จวินเชี่ยน’ ผู้นี้ แต่เป็นเพราะในใจของจูเหลี่ยนแล้ว สำหรับความคิดเห็นที่เขามีต่อวิชาหมัดและการเรียนวรยุทธ แต่ไหนแต่ไรมาก็แปลกประหลาดอยู่เสมอ ในความคิดของจูเหลี่ยน เมื่อเทียบกับปณิธานหมัดของชุยเฉิงแล้ว แม้ว่าจวินเชี่ยนทั้งคนทั้งหมัดจะอยู่สูงบนฟ้าได้เหมือนกันก็จริง แต่ปณิธานหมัดกลับยังคงหล่นจากฟ้าลงมาเบื้องล่าง ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงเลื่อมใสผู้ฝึกยุทธชุยเฉิงมากกว่า ก็เหมือนกับเด็กรุ่นหลังติงอิง หากอิงตามคำกล่าวของคุณชายและจ้งชิว จนกระทั่งถึงแก่ความตาย ติงอิงก็ยังคงรู้สึกเหมือนมีเทพยดาองค์หนึ่งกดข่มอยู่เหนือศีรษะและหัวใจตลอดเวลา ถามหมัดต่อแผ่นฟ้า แน่นอนว่าดีอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นเรียกได้ว่าเผด็จการ ทว่าจูเหลี่ยนกลับรู้สึกว่าต่อให้เทพเทวามายืนอยู่ตรงหน้าข้า ต่อให้เจ้าเป็นเทพยดา ก็ยังเหมือนอย่างสัจธรรมหมัดที่ชุยเฉิงศรัทธาที่บอกว่า เบื้องหน้าผู้ฝึกยุทธ ไร้คู่ต่อสู้ที่มีฝีมือทัดเทียม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!