พื้นที่มงคลรากบัวแห่งหนึ่งที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางได้แค่ไม่กี่ปี ตอนแรกก็เป็นเงินเทพเซียนที่เจียงซ่างเจินหามาได้ บวกกับฝนกระหน่ำที่ตกลงมาถึงสามครั้ง อยู่ดีๆ ก็เลื่อนเป็นคอขวดของพื้นที่มงคลระดับกลาง ราวกับว่าหากโยนเงินฝนธัญพืชลงไปอีกหนึ่งเหรียญก็จะกลายเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงได้อย่างไรอย่างนั้น หากเลื่อนเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงเมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นพื้นที่มงคลรากบัวก็จะต้องมีผลประโยชน์มหาศาลที่ยากจะจินตนาการได้ถึง กลายเป็นจุดหักเหที่ทำให้ภูเขาลั่วพั่วเปลี่ยนจากขาดทุนเป็นกำไร
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดเหรียญทองแดงแก่นทองถึงได้มีมูลค่ามากกว่าเงินเทพเซียนสามชนิดอย่างฝนธัญพืช ร้อนน้อยและเกล็ดหิมะ
ไม่เพียงแค่หาได้ยาก อีกทั้งการสร้างขึ้นมาก็ยากยิ่งกว่า แต่เป็นเพราะเดิมทีเหรียญทองแดงแก่นทองก็สามารถนำมาหลอมเป็นปราณวิญญาณฟ้าดินที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดได้ ขณะเดียวกันก็ยังเต็มไปด้วยปราณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
เพียงแต่ว่าพอเว่ยป้อพูดถึงเรื่องที่จะเชิญให้เซียนกระบี่มาบุกเบิกขุนเขาสายน้ำ สร้างหน้าด่านขึ้น หมี่อวี้กลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วนทันใด อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วถูกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์เอ่ยเย้ยหยันว่า ‘อาศัยใบหน้าสังหารศัตรูห้าขอบเขตบน’ หรือ ‘อันดับหนึ่งของเซียนกระบี่หยกดิบ’ อะไรนั่น หมี่อวี้ยังไม่เคยรู้สึกกระอักกระอ่วนเท่านี้มาก่อน
เรื่องที่ถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลดำรงอยู่ด้วยกันจำเป็นต้องให้เซียนกระบี่บุกเบิกเส้นทาง ขณะเดียวกันยังต้องใช้ปราณกระบี่ค้ำยันฟ้าดินให้มั่นคง ดังนั้นการบุกเบิกและสร้างความมั่นคงให้กับใต้หล้าแห่งที่ห้า ทางฝั่งศาลบุ๋นแผ่นดินกลางจึงต้องเชิญป๋ายเหย่ออกมาจากภูเขา ก็คือหลักการนี้
ปณิธานกระบี่ตื้นลึก เวทกระบี่สูงต่ำ รวมไปถึงปราณวิญญาณมากหรือน้อย ล้วนเป็นการทดสอบสำหรับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งทั้งสิ้น
แม้ว่าก่อนที่หมี่อวี้จะเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ การพกกระบี่ปลิดชีพศัตรูของเขายามที่มีตบะเซียนดิน อันที่จริงล้วนถือเป็นคนอำมหิตที่อยู่บนเส้นทางเดียวกับพวกน่าหลันไฉ่ฮ่วน ฉีโซ่ว ถึงขั้นที่ต้องเรียกว่าเป็นผู้อาวุโสของพวกเขา ดังนั้นอินเฉินผู้นั้นถึงได้มองหมี่อวี้แตกต่างไปจากคนอื่น เพียงแต่ว่าปีนั้นหมี่อวี้ไม่สนใจการที่ถูกอินเฉินมองเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันแม้แต่น้อย ทว่าหลังจากที่หมี่อวี้เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว พออยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็กลายเป็นว่าไม่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปในทันที ถึงขั้นที่ว่ายังอยู่รั้งท้ายในกลุ่มของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนอีกด้วย หมี่อวี้จึงเคยเป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากกับเซียนกระบี่ทรยศเลี่ยจี่ผู้นั้น
หมี่อวี้ไม่กล้าพูดอะไรเหลวไหลกับเรื่องที่เกี่ยวพันกับกิจการใหญ่พันปีของภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่ในใจนึกเสียดายที่ตอนนั้นป๋ายเหย่มาเป็นแขกบนภูเขาลั่วพั่วแล้วจูเหลี่ยนดันไม่อยู่บนภูเขา
ขนาดหมี่อวี้ยังทำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นอริยะหร่วนฉงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียน ต่อให้สามารถเชื่อใจได้ ก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่
ดังนั้นความคิดของเว่ยป้อก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเชิญให้สวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่มาช่วยเหลือ
หมี่อวี้ดื่มเหล้าดับทุกข์หนึ่งคำ พอมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ดูเหมือนว่าตนจะทำอะไรเป็นการเป็นงานไม่สำเร็จเลยสักเรื่อง เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “หากเซียนกระบี่จั่วอยู่ก็ดีน่ะสิ”
เว่ยป้อกล่าวอย่างจนใจ “ทุกวันนี้อาจารย์จั่วอยู่ที่ใบถงทวีป รอบทิศล้วนมีแต่ศัตรูแข็งแกร่ง ไม่มีทางปรากฏตัวได้แน่นอน”
ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องวางพักไว้ก่อนชั่วคราว
ถึงอย่างไรก็สามารถรอให้พื้นที่มงคลรากบัวเลื่อนเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงได้เสียก่อน พื้นที่มงคลกับถ้ำสวรรค์เล็กบ่อโบราณเชื่อมโยงถึงกัน ไม่ใช่กิจเร่งด่วนอะไร
ในเมื่อร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปร้อนใจดีกว่า
จูเหลี่ยนดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วขยับปากหยับๆ เหล้าดีๆ คราวหน้าจะขอจากเว่ยซานจวินมาอีกสักหลายสิบกา จากนั้นก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “มีสหายฉางมิ่งอยู่บนภูเขา ช่างเป็นความโชคดีของภูเขาลั่วพั่วเราจริงๆ”
เหวยเหวินหลงก็ยิ่งตาเป็นประกาย พยักหน้ารับอย่างแรง ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้จริง พอสหายฉางมิ่งมาถึงภูเขาลั่วพั่ว โชคด้านเงินทองของพวกเราก็ดีเยี่ยม ไม่ว่าเรื่องไหนที่ชวนให้ลำบากใจ กลับกลายเป็นว่าสามารถรับมือได้อย่างสบายๆ เหลือแหล่ในทันที…ทำเอาข้าแทบจะดีดลูกคิดไม่เป็นแล้ว!”
เว่ยป้อกล่าว “การประชุมคราวหน้า สามารถเรียกสหายฉางมิ่งมาร่วมด้วยได้”
จูเหลี่ยนพลันเอ่ยว่า “แน่ใจหรือว่าเชื่อใจนางได้?”
เว่ยป้อกล่าว “ทั้งมีจดหมายลับจากเจ้าขุนเขา และสหายฉางมิ่งก็มีนิสัยระมัดระวังรอบคอบ ถึงได้ไปเยือนใบถงทวีปมารอบหนึ่งเพื่อขอของแทนตัวจากอาจารย์จั่วมาชิ้นหนึ่ง”
จูเหลี่ยนส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “เป็นเพราะคุณชายของข้ากังวลว่าพวกเราจะไม่เชื่อใจสหายฉางมิ่ง ถึงได้ทำเรื่องที่เกินความจำเป็นเช่นนี้”
หมี่อวี้รู้สึกว่าในที่สุดฟ้าดินเล็กๆ ของตนแม่งก็ได้เวลาปรากฏตัวสักที จึงรีบกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ พูดด้วยสีหน้ามีชีวิตชีวาว่า “ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน แต่ไหนแต่ไรมาใต้เท้าอิ่นกวานก็คิดคำนวณทุกเรื่องอย่างรอบคอบ นี่เป็นเรื่องที่ทั้งคฤหาสน์หลบร้อนและเรือนชุนฟานต่างก็ให้การยอมรับโดยทั่วกัน คนที่ถูกใต้เท้าอิ่นกวานจัดการกับจิตใจมาก่อน มีใครบ้างที่ไม่ใช่พวกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ สุดท้ายแต่ละคนก็ต้องยอมศิโรราบทั้งกายและใจไม่ต่างกัน เป้าหมายในการเล่นงานของใต้เท้าอิ่นกวานมีเพียงแค่หัวปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ถูกบั่นหล่นลงบนมหาสมุทรซะเมื่อไหร่?!”
เหวยเหวินหลงก้มหน้าดื่มเหล้า ในที่สุดเซียนกระบี่หมี่ก็ยืดอกตรงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้ว ไม่ง่ายเลยจริงๆ
จูเหลี่ยนชูจอกเหล้า “มาดื่มกับเซียนกระบี่หมี่สองจอก หนึ่งจอกถือเป็นสุราเลี้ยงต้อนรับ อีกหนึ่งถือว่าดื่มเพื่อคุณชายของข้า เพื่อใต้เท้าอิ่นกวานของเซียนกระบี่หมี่”
หมี่อวี้รีบรินเหล้าเต็มจอกแล้วดื่มหมดก่อนใคร จากนั้นก็เทอีกจอก เพียงแต่ว่าเทได้แค่ครึ่งจอกเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรการประชุมในวันนี้ก็มีเพียงเขาที่พูดน้อย ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ดื่มเหล้าให้มากหน่อยแล้ว
จูเหลี่ยนที่ชูจอกขึ้นเรียบร้อยแล้วรีบหันมาบ่นทันที “พี่เว่ย เหล้าล่ะ? ให้เซียนกระบี่หมี่ดื่มได้แค่ครึ่งจอก มันเข้าท่าแล้วหรือ?”
เว่ยป้อเหล่ตามองเขา เจ้าพ่อครัวเฒ่าตัวดี นี่คงคิดคำนวณไว้เรียบร้อยแล้วสินะ? ดังนั้นบนโต๊ะจึงมีเหล้าหมักตระกูลเซียนเพิ่มมาอีกสี่กา
จูเหลี่ยนเอ่ยว่า “เว่ยซานจวินมีหน้าเก็บเงินค่าเหล้า ข้าก็มีหน้าไม่จ่าย!”
เหวยเหวินหลงพลันค้นพบว่าพอ ‘พ่อครัวเฒ่า’ ผู้นี้มาถึงภูเขาลั่วพั่ว ขนบธรรมเนียมก็เปลี่ยนไปเป็นแบบที่เขาคุ้นเคยได้อีกเท่าตัว เหมือนกับปีนั้นที่อยู่เรือนชุนฟาน ช่วงเวลาที่มีเพียงตน เยี่ยนหมิง และน่าหลันไฉ่ฮ่วนอยู่ในห้องคิดบัญชี บรรยากาศย่อมอุดอู้ชวนอึดอัดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้หมี่อวี้เองก็นั่งเหม่ออยู่บนธรณีประตูด้วย ทว่ามีเพียงอิ่นกวานหนุ่มปรากฏตัวเท่านั้น ทุกอย่างถึงจะต่างออกไปทันที อันที่จริงอิ่นกวานไม่เคยจงใจพูดจาแบบใด เพียงแค่พูดคุยไปตามธรรมชาติ ทำเรื่องที่เป็นดั่งน้ำมาคลองสำเร็จเท่านั้น เหวยเหวินหลงไม่คิดจะเลียนแบบอิ่นกวาน เพราะเรียนรู้เอามาไม่ได้
จูเหลี่ยนเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าจะไปเจอกับสหายฉางมิ่งก่อน คุยกันก่อนสักสองสามคำ แล้วค่อยตัดสินใจว่าการประชุมคราวหน้าควรจะเรียกนางมาด้วยหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!