อ่านสรุป บทที่ 719.3 ทำเอาใต้หล้าไพศาลตกใจสะดุ้งโหยง จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 719.3 ทำเอาใต้หล้าไพศาลตกใจสะดุ้งโหยง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
เหวยเหวินหลงพูดประโยคเหล่านี้จบกลับมีสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ก็เหมือนอย่างที่อาจารย์จูบอก นี่คือถ้อยคำในใจของข้า เป็นความคิดในใจจริงๆ หากพวกท่านจะตำหนิว่าในสายตาของข้ามีแต่เงินทอง…”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ
บนภูเขาลั่วพั่วไม่กลัวคนพูดจากใจจริง แล้วก็ไม่กลัวว่าจะมีคนที่มีใจเห็นแก่ตัว แล้วนับประสาอะไรกับที่คำพูดประโยคนี้ของเหวยเหวินหลง แท้จริงแล้วทั้งไม่มีใจเห็นแก่ตัว แล้วยังไม่ผิด ตรงกันข้ามคือยังดีมากด้วยซ้ำ
หากเทพเจ้าแห่งโชคลาภคนหนึ่งที่ดูแลเงินทองซึ่งเป็นดั่งกระแสน้ำไหลพรวดๆ ผ่านมือไม่เข้าใจจิตใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้นจูเหลี่ยนก็คงอดเป็นกังวลไม่ได้ว่า ในอนาคตวันใดวันหนึ่งเหวยเหวินหลงจะหลงเดินทางผิด ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าอาจลืมเรื่องหนึ่งไป นั่นคือเขาในเวลานั้นมีหน้ามีตามากเท่าไร อยู่ตำแหน่งสูงแค่ไหนบนภูเขาของหนึ่งทวีป เหตุผลหลักแล้วเป็นเพราะตัวเขาอยู่ที่ใด เหยียบอยู่บนพื้นแห่งหนใด แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับความสามารถของเขาเหวยเหวินหลงเองด้วย แต่สาเหตุไม่ใช่เพียงแค่เพราะเขาเหวยเหวินหลงร้ายกาจเพียงใด บอกตามตรง ให้ข้าจูเหลี่ยนดูแลเงินทอง บางทีอาจไม่โดดเด่นเช่นเจ้าเหวยเหวินหลง แต่อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
เพียงแต่ว่าภูเขาลั่วพั่วยอมรับการที่ร้อยบุปผาประชันกันเบ่งบานได้มากที่สุด คุณชายเองก็คาดหวังให้เป็นเช่นนี้จากใจจริง ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าอาจจะเป็นวิถีวรยุทธหรือวิถีกระบี่ก็ได้ ขอแค่ทำเท่าที่จะทำได้ ปกป้องจิตใจคนของพื้นที่หนึ่งให้อยู่ในร่มเงาเย็นสบาย ต่อให้เป็นดอกหญ้าที่ยังไม่เติบโตก็ยังไร้ทุกข์ไร้กังวล สามารถค่อยๆ เติบโตไปช้าๆ พออากาศอบอุ่นดอกไม้ก็ผลิบาน นั่นก็คือวสันตฤดูเฉกเดียวกัน
เว่ยป้อก็ยิ่งปลาบปลื้มใจ
หมี่อวี้เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนอย่างที่หาได้ยาก “ถ้าอย่างนั้นดวงตาของใต้เท้าอิ่นกวานจะไม่เห็นแต่เงินทองทุกวันหรอกหรือ? นี่มีอะไรเลวร้ายกัน? เหวินหลงอ่า ดูท่าเจ้าจะยังฝึกฝนจิตใจได้ไม่มากพอนะ”
เหวยเหวินหลงเงยหน้าขึ้น กึ่งเชื่อกึ่งกังขา
หมี่อวี้เหลือกตามองบน เลียนแบบคำพูดของอิ่นกวานที่บางครั้งจะพูดตอนอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน “เจ้าโง่หรือไง?”
หาได้ยากนักที่หมี่อวี้จะมีสีหน้าจริงจังเช่นนี้ “ความตั้งใจเดิมคือหวังดีต่อผู้อื่น ขณะเดียวกันตัวข้าเองก็ได้เงิน ทั้งยังไม่ขัดแย้งกันเอง ภูตทั้งหลายที่อยู่ในแคว้นหู เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมานครลมเย็นจงใจสร้างบรรยากาศเช่นนั้นมาโดยตลอด ทำให้เผ่าพันธุ์ใหญ่ทั้งหลายจับกลุ่มกันเป็นกองกำลัง ต่างฝ่ายต่างมองกันเป็นศัตรูมานานแล้ว ทั้งยังมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฆ่าแกงกันเองก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อย แต่ละปียังมีจิ้งจอกเฒ่าที่ต้องสลัดขนทิ้ง ทำไม เหวินหลงที่เป็นนักบัญชีนั่งดีดลูกคิด คิดอยากจะวิ่งไปเป็นอริยะผู้ทรงคุณธรรมอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อไม่ใช่ เหตุใดพวกเราต้องรู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจจนทำให้ลงมือทำอะไรได้ไม่เต็มที่ด้วยเล่า”
ถึงอย่างไรเหวยเหวินหลงก็มีชาติกำเนิดมาจากเรือนชุนฟาน คือคนกันเองครึ่งตัวของคฤหาสน์หลบร้อน ไม่ว่าสิ่งที่หมี่อวี้พูดจะมีเหตุผลหรือไม่ แต่เขาก็คิดว่าตนเองควรพูดจาเป็นธรรมแทนเหวยเหวินหลงสักสองสามประโยค
หากทำให้พ่อครัวเฒ่าจูเหลี่ยนอาฆาตแค้นตั้งแต่พบเจอหน้ากันคราแรกด้วยสาเหตุนี้ หมี่อวี้ก็ยอมรับชะตากรรมแล้ว
จูเหลี่ยนชูจอกเหล้าขึ้น “เหวินหลง เจ้าดูแคลนการมองคนได้กระจ่างแจ้งของเจ้าขุนเขาพวกเราเกินไปหน่อยแล้ว ข้าขอดื่มร่วมกับเจ้าหนึ่งจอก แล้วดื่มลงโทษตัวเองอีกจอก”
หนึ่งประโยคแฝงถึงสองความหมาย เหวยเหวินหลงดูถูกตัวเอง แล้วก็ดูถูกภูเขาลั่วพั่วด้วย
เว่ยป้อเตรียมจะยกชายแขนเสื้อขึ้น
เหวยเหวินหลงรีบเอ่ยทันที “เว่ยซานจวิน ในกาเหล้าข้ายังเหลือเหล้าอีกเยอะ”
จูเหลี่ยนด่าขำๆ “เจ้าเหวยเหวินหลงตัวดี เป็นเทพเจ้าแห่งเงินทองของภูเขาลั่วพั่วได้อย่างไร? ยังจะต้องประหยัดเหล้าแทนซานจวินใหญ่แห่งขุนเขาเหนือด้วยหรือ? นี่เป็นเพราะเจ้าดูแคลนภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยซานจวิน หรือว่าดูแคลนงานเลี้ยงท่องราตรีของขุนเขาเหนือกันแน่?!”
เว่ยป้อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รบกวนช่วยปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป ได้หรือไม่ ตกลงไหม?”
หมี่อวี้แทะเมล็ดแตง เอ่ยเบาๆ ว่า “พวกเราคนบ้านเดียวกันตอบตกลงก็จริง ทว่านี่คืออาณาเขตของขุนเขาเหนือ มีเซียนซือและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำมากมายรอคอยงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งต่อไปตาปริบๆ อยู่อย่างนั้น ก็ไม่แน่เสมอไปว่าพวกเขาจะตอบตกลงนะ”
เว่ยป้อยกมือสองข้างขึ้นนวดคลึงจุดไท่หยางเบาๆ
จูเหลี่ยนยกจอกเหล้าขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งยังลุกขึ้นยืนด้วย เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “สักวันหนึ่งภูเขาลั่วพั่วของพวกเราจะต้องได้ปรากฎตัวต่อสายตาของคนบนโลกอย่างแท้จริง ซึ่งก่อนจะเป็นเช่นนั้น พวกเราสี่ห้าคนคงต้องลำบากกันสักหน่อยไปก่อน แต่ละคนต่างแสดงฝีมือของตัวเองออกมา เชื่อว่าในอนาคตอีกไม่นาน รอกระทั่งพวกคนหนุ่มสาวในบ้านพากันเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ภูเขาลั่วพั่วจะต้องไม่…”
พูดมาถึงตรงนี้ จูเหลี่ยนก็หันไปมองหมี่อวี้
หมี่อวี้ลุกขึ้นยืนยิ้มกล่าว “จะต้องไม่ทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานผิดหวังอย่างแน่นอน!”
เหวยเหวินหลงเองก็ลุกขึ้นชูจอกเหล้า “ภูเขาลั่วพั่วจะต้องมีเงินทองไหลมาเทมา”
เว่ยป้อลุกขึ้นเป็นคนสุดท้าย เอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “พยายามให้ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงท่องราตรีที่หลอกลวงคนอื่นอีกก็แล้วกัน”
ทุกคนกระดกดื่มเหล้าในจอกจนหมด
จากนั้นก็พากันนั่งลง มีเพียงเว่ยป้อที่ยังยืนอยู่ มองมายังจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนถาม “คุยธุระเสร็จแล้ว พี่เว่ยเชิญไปทำธุระของตัวเองเถอะ ในฐานะซานจวินแห่งขุนเขาใหญ่ ต้องมีกิจธุระรัดตัวอย่างแน่นอน ข้าคงไม่รั้งพี่เว่ยไว้อย่างไร้มโนธรรมแล้ว”
หมี่อวี้ยังไม่เข้าใจความหมายแฝงอันลึกล้ำ
เหวยเหวินหลงกลับตาดี สังเกตเห็นว่าจูเหลี่ยนเก็บจอกเหล้าซึ่งเป็นของเลียนแบบจอกสิบสองเทพบุปผาใส่ไปในชายแขนเสื้อแล้ว
ดังนั้นเหวยเหวินลงจึงยื่นมือไปกุมจอกเหล้า ช่วยแสดงท่าทีแทนภูเขาลั่วพั่ว
เรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลกจากอิ่นกวานเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่เรียนรู้ความหน้าหนาจากอิ่นกวานจะมีอะไรยากกัน
หมี่อวี้ที่รู้สึกตัวช้าคลี่ยิ้มพลางยื่นมือไปบังทับจอกเหล้า “หนึ่งคนดื่มเหล้าสองกา คืนนี้ดื่มได้เต็มคราบนัก ดื่มมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ คราวหน้าค่อยว่ากันใหม่”
เว่ยป้อถอนหายใจ ครั้นจึงวางจอกเหล้าในมือไว้บนโต๊ะไปด้วยกันเสียเลย ก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไป กลับไปที่ภูเขาพีอวิ๋นอีกครั้ง
สามคนที่เหลือพากันหัวเราะเสียงดังลั่น
……
ก่อนหน้านี้สุยโย่วเปียนไปที่ร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลงมารอบหนึ่ง เล่าสถานการณ์เกี่ยวกับทะเลสาบซูเจี่ยนและสำนักเจินจิ้งให้กับตัวแทนเถ้าแก่อย่างสือโหรวฟังคร่าวๆ
ส่วนตบะของตัวนางเอง เพียงแค่บอกว่าเป็นคอขวดโอสถทองเท่านั้น
ส่วนหรงช่างผู้ฝึกกระบี่จากทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ลูกศิษย์ใหญ่ของเซียนกระบี่หญิงลี่ไฉ่ก็ได้พาศิษย์น้องหญิงอย่างสุยจิ่งเฉิงไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว
ก่อนหน้านี้คนทั้งสองก็เคยมาเยือนแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงคุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี
ส่วนจ้งชิวกับเฉาฉิงหลางที่เดินทางจากเหนือลงใต้ก็กลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วตามหลังหรงช่างและสุยจิ่งเฉิงไม่นาน
ชุยเหวยที่ไปเยือนหอบินทะยานมารอบหนึ่ง พอเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดแล้วก็ไปยังสนามรบของนครมังกรเฒ่า
เดิมทีเพ่ยเซียงนึกว่าจูเหลี่ยนจะแค่ ‘คุยเล่น’ จริงๆ นึกไม่ถึงว่าเรื่องที่จูเหลี่ยนพูดคุย แต่ละเรื่องกลับใหญ่ไม่แพ้กันเลย
อันดับแรกก็พูดถึงภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วทั้งหลายที่เตรียมไว้สำหรับการจัดวางแคว้นหู รวมไปถึงสถานการณ์ล่าสุดของพื้นที่มงคลรากบัวแห่งนั้นคร่าวๆ ความหมายก็คือให้นางเลือกสถานที่ด้วยตัวเอง
จากนั้นจูเหลี่ยนก็บอกให้เพ่ยเซียงคิดพิจารณาดีๆ ไปก่อน ส่วนตัวเองหันไปคุยเรื่องของการสร้างจวนน้ำขึ้นที่ภูเขาหวงหู ภูเขาลั่วพั่วสามารถออกเงินเทพเซียนในการเปิดจวนให้นางได้มากน้อยแค่ไหน
ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าหมี่ลี่น้อยจะไม่เอ่ยอะไร แต่กลับรับฟังคำพูดของพ่อครัวเฒ่าด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ได้ทำท่าเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจอีกแล้ว แต่เป็นมึนงงก็คือมึนงงจริงๆ
หลังจากทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันจบ จูเหลี่ยนก็ยิ้มถามว่า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา มีความคิดของตัวเองที่ต้องการพูดหรือไม่?”
โจวหมี่ลี่ที่นั่งนิ่งไม่ขยับมานานยกมือเกาแก้ม “ไม่ต้องมีได้ไหม?”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ได้สิ”
โจวหมี่ลี่หัวเราะร่าทันที “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มี”
ตอนนี้ในสมองของนางยังดังอื้ออึงอยู่เลยนะ
จากนั้นแม่นางน้อยก็พลันรู้สึกลำบากใจ ถามเบาๆ ว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ พ่อครัวเฒ่าเจ้าไม่เรียกพี่หญิงหน่วนซู่มาด้วยหรือ? หากพี่หญิงหน่วนซู่รู้เข้าจะเสียใจหรือไม่”
จูเหลี่ยนอธิบายด้วยรอยยิ้ม “หน้าที่ของหน่วนซู่ใหญ่ยิ่งกว่านี้มากนัก ไหนเลยจะต้องมาคอยดูแลเรื่องพวกนี้ ดังนั้นวันนี้พวกเราคุยอะไรกันไปบ้าง เจ้าล้วนสามารถไปเล่าให้หน่วนซู่ฟังได้ จำไว้ว่าไม่ต้องจงใจปิดบังนาง”
โจวหมี่ลี่รีบหยิบคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าบนโต๊ะขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้นข้าไปลาดตระเวนบนภูเขาก่อนนะ อวี๋หมี่ยังรอข้าอยู่”
จูเหลี่ยนโบกมือ หลังจากนั้นก็พูดถึงรายละเอียดเรื่องการเลือกสถานที่และการเปิดจวนกับเพ่ยเซียงและหงเซี่ย
เพ่ยเซียงเลือกเอาแคว้นหูไปไว้ในพื้นที่มงคลรากบัว ส่วนหงเซี่ยไม่ยินดีจะให้ภูเขาลั่วพั่วควักเงิน บอกว่าตัวเองพอจะมีทรัพย์สมบัติสะสมอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าในเรื่องของช่างบนภูเขาที่จะให้มาสร้างจวนคงต้องขอให้ภูเขาลั่วพั่วช่วยประสานงานให้
จากนั้นจูเหลี่ยนก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ต้องให้ศาลบรรพจารย์จ่ายเงินแม้แต่แดงเดียว เพราะแม่นางหงเซี่ยคิดจะสร้างภูเขาเป็นของตัวเองงั้นหรือ? คิดจะแยกจวนน้ำปกครองตัวเองเป็นอิสระ ทำตัวเป็นราชาใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำที่รับบัญชาเฉพาะการศึก ไม่รับการตบรางวัลใดๆ หรือ?”
คำพูดนี้ดังออกจากปาก ทำเอาหงเซี่ยตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยอีกว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น แค่ล้อเล่นเท่านั้น แม่นางหงเซี่ยดีกว่าเจ้ามารผจญอวิ๋นจื่อที่ต้องขัดเกลานิสัยอีกหลายส่วนเยอะเลย”
หงเซี่ยไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่ครึ่งคำ
จูเหลี่ยนโบกมือ “จุดใดที่ควรต้องใช้เงิน ภูเขาลั่วพั่วไม่คิดจะประหยัด หงเซี่ย เจ้ามาที่นี่น้อยครั้ง กฎเกณฑ์หลายอย่างจึงไม่เข้าใจ ดังนั้นวันนี้ก็จำกฎข้อหนึ่งไว้ให้ดีก่อนแล้วกัน น้ำใจคนที่อยู่ในกฎเกณฑ์ ถึงจะเรียกว่าน้ำใจคน ขนาดกฎเกณฑ์ยังไม่เข้าใจ แต่กลับพูดถึงน้ำใจคนอย่างเหลวไหล วันหน้าหากภูเขาลั่วพั่วไม่ชดใช้น้ำใจสำหรับในใจของเจ้า เจ้าก็จะเกิดความไม่พอใจหรือไม่? ไม่มีเหตุผลเลยนะ ใช่หลักการเหตุผลเช่นนี้หรือไม่?”
หงเซี่ยลุกขึ้นยืน ยอบตัวคารวะ พูดด้วยสีหน้าจริงใจ “หงเซี่ยน้อมรับคำสั่งสอน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!