ฉางมิ่งคีบขนมชิ้นนั้นขึ้นมา ยกมือปิดปาก พอกินเข้าไปเรียบร้อยก็ใช้นิ้วโป้งเช็ดมุมปาก ใช้เสียงในใจถามกลั้วหัวเราะว่า “สือโหรว ปีนั้นเจ้าถูกหลิวหลีเซียนเวิงหลอมเป็นผีสาวโครงกระดูกที่สวมชุดเสื้อผ้าสีสันสดใสก่อน ภายหลังมาติดตามเจ้าขุนเขาถึงได้รับโชคดีหลังจากเจอโชคร้าย อีกทั้งยังสวมคราบร่างเซียนนี้มานานหลายปี ดังนั้นเจ้าจึงลืมความเคยชินมากมายในอดีตไปแล้วใช่หรือไม่? ข้าพูดถึงความเคยชินเล็กๆ ที่เจ้ามีมาตั้งแต่เด็ก เป็นความเคยชินแบบที่ไม่สะดุดตาน่ะ ยกตัวอย่างเช่น…”
ยกตัวอย่างเช่นตอนเด็กเวลาตื่นเต้นเจ้ามักจะชอบกัดนิ้วมือ หรือยกตัวอย่างเช่นไม่กลัวอากาศร้อนแผดเผา มีเพียงอากาศที่หากหนาวเหน็บแม้เพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกยากทนทานขึ้นมาทันที หรือยกตัวอย่างเช่นเกิดมาก็ชอบเครื่องดนตรีโบราณจำพวกเครื่องตี สิ่งเหล่านี้ฉางมิ่งล้วนได้มาจากเอกสารบันทึกลับในภูเขาลั่วพั่วหลังจากได้รับการบอกเป็นนัยจากหยางเหล่าโถว หาไม่ยาก อาณาเขตสู่โบราณ ควันธูปบางเบา มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงเล็กน้อย…และลักษณะพิเศษที่ฉางมิ่งคิดไว้ในใจเหล่านี้ก็ไปสอดคล้องกับสาเหตุที่ทำให้เมล็ดพันธ์เต๋าแต่กำเนิดสายหนึ่งสามารถเปิดสติปัญญาออกด้วยตัวเองเร็วมาก แต่กลับไม่สามารถฝึกมรรคกถาเต๋าได้อย่างแท้จริง
เพียงแต่ว่าฉางมิ่งไม่ได้ถามออกไป นางทำเพียงแค่ยิ้มมองสือโหรวเท่านั้น
สือโหรวพูดอย่างน่าสงสาร “ยกตัวอย่างอะไรหรือ? พี่หญิงฉางมิ่ง ท่านอย่าข่มขู่ข้าเลย”
ไม่ใช่ว่านางปกปิดอะไรจริงๆ ในความเป็นจริงแล้วเรื่องมาถึงขั้นนี้ นางยังมีอะไรที่มีค่าพอให้ปิดบังอีกเล่า อีกอย่างมีชุยตงซานผู้นั้นอยู่ สือโหรวยังจะกล้าปิดบังอะไรอีกหรือ? นางเคยชินกับวันเวลาที่สงบสุขในตรอกฉีหลงทุกวันนี้แล้วจริงๆ ทุกๆ ค่ำคืนยังสามารถถอดคราบร่างนี้แล้วกลับคืนสู่รูปลักษณ์ของสตรีได้ชั่วครู่ เพราะถึงอย่างไรผีสาวก็คือสตรีนี่นา แล้วนับประสาอะไรกับที่นางหันมาตั้งใจฝึกตนอีกครั้งหนึ่งแล้ว สะสมไปทีละเล็กละน้อย ขยับขอบเขตขึ้นสูงด้วยก้าวย่างที่มั่นคง ไร้ทุกข์ไร้กังวล ถึงอย่างไรไม่ว่าใครก็ไม่มีทางยกเรื่องขอบเขตมาตำหนินาง สือโหรวไม่มีความคิดอื่นใดจริงๆ ได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขซึ่งแต่ละวันแทบไม่ต่างกันเช่นนี้ทำให้สือโหรวรู้สึกพึงพอใจมากเป็นพิเศษ
หากจะให้พูดถึงความลับในระบบเต๋าเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยถูกชุยตงซานพูดแฉมานานแล้ว สือโหรวก็ไม่อยากพูดอะไรมากจริงๆ จะให้คุยเรื่องพวกนี้กับพี่หญิงฉางมิ่งไปทำไม ถึงอย่างไรชุยตงซานรู้แล้วก็เท่ากับว่าภูเขาลั่วพั่วครึ่งหนึ่งรู้กันอย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่าไม่ใช่? คงไม่ใช่ว่าแม้แต่เจ้าขุนเขาก็ยังไม่รู้กระมัง? ปีนั้นสาเหตุเพราะบทเพลงพื้นบ้านของตนเพลงนั้น ไม่รู้จริงๆ ว่าในหัวของชุยตงซานบรรจุปฏิทินเหลืองเก่าแก่ไว้มากน้อยแค่ไหนกันแน่ ถึงสามารถคว้าจับรากฐานระบบเต๋าของนางได้ทันที อ้าปากหุบปากก็พ่นประโยค ‘กากเดนสิ้นแคว้นของเมื่อหกร้อยปีก่อน’ ‘ขี้เถ้ายังมอดไม่สิ้นของสาขาแยกลัทธิเต๋า’ ยังบอกอีกว่านางรู้ ‘วิชาลับเฉพาะของบรรพจารย์ผู้กอบกู้’ แล้วยังจะ ‘ลบแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งเมล็ดพันธ์เต๋าของนางไปอย่างสิ้นซาก’ …
บอกตามตรง ตอนนั้นสือโหรวตกใจจนขวัญกระเจิงแล้วจริงๆ
กระทั่งถึงวันนี้ ใครคิดอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถึงอย่างไรข้าสือโหรวก็เป็นตัวแทนเถ้าแก่ของร้านยาสุ้ย ทุกวันคอยช่วยภูเขาลั่วพั่ว ช่วยอาจารย์ของเจ้าชุยตงซานหาเงินด้วยความยากลำบาก ทุกคืนที่ฝึกตนนับว่าขยันขันแข็งไม่น้อย เจ้ายังจะเอาอย่างไรกับข้าอีก?! หากทำให้ข้าโมโหขึ้นมาจริงๆ ข้าจะไปฟ้องอาจารย์ของเจ้า! ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าคือชุยตงซานหรือห่านขาวใหญ่อะไรนั่น!
สหายฉางมิ่งจ้องมองสือโหรวเขม็ง ครู่หนึ่งต่อมาก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ชุยตงซานผู้นี้น่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ แอบทำเรื่องดีโดยที่…ไม่ทิ้งชื่อเอาไว้? หากเขาไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขา ซึ่งถือว่าเป็นคนที่สามารถเชื่อใจได้เต็มที่ ก็คงทำให้คนต้องเป็นกังวลจริงๆ แล้ว”
ฉางมิ่งยิ้มตาหยี “ดูท่าข้าคงจะเข้าใจเจ้าผิดไป คำพูดไร้สาระอย่างเช่นว่าน้องสือโหรวอย่าได้ถือสาอะไรนั่น ข้าคงไม่พูดแล้ว เจ้าสามารถถือสาได้ เพียงแต่ว่าทางที่ดีที่สุดอย่าทำให้ข้าสังเกตเห็นว่าเจ้าถือสามากๆ ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าคงลำบากใจแย่”
ริมฝีปากสือโหรวสั่นระริก ทั้งหวาดกลัวทั้งน้อยใจ เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “พี่หญิงฉางมิ่ง ท่านอย่าขู่ข้าสิ”
กว่าจะได้มีเพื่อนที่รู้ใจสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายมาเป็นอย่างนี้ได้นะ?
ฉางมิ่งถอนหายใจยาว “ข้าจะช่วยเจ้าเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง สอบถามความเห็นจากชุยเซียนซือดูก่อน หากเป็นไปได้ก็จะได้ตกปลาตัวใหญ่ หากไม่เหมาะจะแหวกหญ้าให้งูตื่นก็คงต้องวางลงไว้ก่อนชั่วคราว…”
พูดมาถึงตรงนี้ ฉางมิ่งก็ยื่นนิ้วมือข้างหนึ่งออกมาดันไว้ตรงหว่างคิ้ว แสงสีทองจุดหนึ่งพลันเปล่งวาบขึ้น ฉางมิ่งยิ้มถาม “เจ้าลัทธิสาม ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”
สือโหรวหมดสติไปแล้ว ทั่วทั้งร่างมีประกายแสงเจ็ดสีไหลริน
นอกประตูมีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาก่อน หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาแล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งก็ก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา เขาปรบมือเบาๆ ยิ้มกว้างพูดว่า “พี่หญิงฉางมิ่งช่างมีความคิดดีนัก มีวิธีการที่ดี มีพลังที่ดี! อาจารย์ของข้าได้เจอกับคนที่เพียบพร้อมที่สุดแล้ว!”
ฉางมิ่งขมวดคิ้ว “ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันดีอยู่แก่ใจนานแล้ว ขอถามชุยเซียนซือสักหน่อยว่า เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้เจ้าลัทธิลู่มองดูเหตุการณ์อยู่ไกลๆ มาจนถึงทุกวันนี้?”
ชุยตงซานฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะคิดเงิน ยืดคอยาวออกไปมองสือโหรวที่นอนอยู่ด้านหลังโต๊ะ หันหลังให้ฉางมิ่ง ดีดนิ้วหนึ่งที ร่างของสือโหรวที่อยู่บนพื้นก็ดีดขึ้นสูง จากนั้นก็หล่นกระแทกลงพื้นอย่างแรง เขายิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ เจ้าลัทธิลู่มีดีอยู่อย่างหนึ่ง หากเป็นเรื่องใหญ่ๆ แต่ไหนแต่ไรมากล้าเดิมพันก็กล้ายอมรับความพ่ายแพ้เสมอ ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ขี้หมูราขี้หมาแห้งทั้งหลาย เขาดูแคลนจะยื่นมือมาวางแผนเล่นงานจริงๆ อย่างมากสุดหากอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ บางครั้งก็จะเหลือบมองมายังภาพเหตุการณ์ในตรอกฉีหลงบ้าง ทุกครั้งที่ร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือข้ามผ่านใต้หล้าสองแห่ง สิ่งที่ได้เห็นมีไม่มาก แต่สิ่งที่ต้องเผาผลาญไปกลับมากกว่า เดิมทีนี่ก็เป็นการมอบให้สือโหรวอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าสือโหรวโง่เกินไป จึงไม่รู้ตัวสักนิดก็เท่านั้น”
ชุยตงซานฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ สองเท้าลอยพ้นพื้น หันหน้ามายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แล้วนับประสาอะไรกับที่พี่หญิงฉางมิ่งคงยังไม่รู้ว่าหากเจ้าลัทธิลู่เบื่อหน่ายขึ้นมา ข้าก็จะบันเทิงเริงใจอย่างมาก ทุกครั้งที่ขอบเขตข้าสูงขึ้นหนึ่งขั้น บนร่างของแม่นางสือโหรวผู้นี้ก็จะมีตราผนึกลับที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนมาเพิ่มขึ้นอีกชั้น นอกจากเจ้าพวกตะพาบเฒ่าบางคน และเว้นเสียจากว่าลู่เฉินมามองดูสือโหรวใกล้ๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็จะสัมผัสถึงอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย พูดง่ายๆ ก็คือเรื่องที่เจ้าลัทธิลู่มองเห็น ข้าล้วนรู้ทั้งหมด ถึงขั้นที่ว่าเรื่องบางเรื่องที่เขาเห็นยังเป็นเรื่องที่ข้าจงใจให้เจ้าลัทธิรู้ด้วยซ้ำ บางทีข้าพูดเช่นนี้ ฟังไปแล้วอาจจะน่าเหลือเชื่อ แต่พี่หญิงฉางมิ่ง เจ้าจะต้องเชื่อในสายตาการเลือกลูกศิษย์ของอาจารย์ข้านะ!”
ชุยตงซานพลันหมุนตัวพลิ้วกายลงยืนบนพื้น หันหน้าเข้าหาสหายฉางมิ่ง เด็กหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก “ฟ้าดินเป็นพยานได้!”
สหายฉางมิ่งส่ายหน้า “ต่อให้เจ้าลัทธิลู่จะติดกับแผนการของเจ้า แต่เทพมีจิตแห่งสวรรค์ ครั้งหนึ่งคำนวณไม่ถึง หลายครั้งเข้าก็จะสามารถคำนวณถึงแผนการของเจ้าได้เอง”
ชุยตงซานพยักหน้ารับอย่างแรง “แล้วอย่างไรล่ะ? ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างกันหนึ่งใต้หล้า ต่อให้ร่างจริงเขามาที่นี่ ปีนั้นก็ถูกสยบขอบเขตไว้ที่บินทะยานเหมือนกัน บวกกับที่เพียงแค่ใช้ฝ่ามือพิศขุนเขาสายน้ำก็น่าจะใช้ขอบเขตเซียนเหริน หากคิดจะมาวางแผนเล่นงานข้า แต่จะชนะข้าได้หรือ?”
ชุยตงซานส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ได้จริงๆ”
ฉางมิ่งถึงได้พยักหน้ารับเบาๆ เพียงแต่กลับเอ่ยว่า “ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้นายท่านฟังอย่างไม่มีตกหล่น”
ชุยตงซานประสานมือคารวะ “อาจารย์มีผู้ช่วยเช่นนี้ ภาระบนบ่าของศิษย์ก็ถูกปลดเปลื้องไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว”
ฉางมิ่งรู้สึกอ่อนใจอยู่ไม่น้อย
นางพลันถามว่า “เจ้าคำนวณได้ล่วงหน้าว่าวันนี้ข้าจะหยั่งเชิงสือโหรวหรือ?”
ชุยตงซานชูสองมือขึ้น ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะกว้างมากจริงๆ จึงหล่นลงมาโปะทับปิดใบหน้าของเขา ถูกเขาเป่าออก วางมือลง ยกมือตบอกเต็มแรง “ฟ้าดินเป็นพยาน ล้วนเสี่ยงดวงเอาทั้งนั้น!”
ฉางมิ่งเงียบงันไม่เอ่ยอะไร
ชุยตงซานชี้ไปที่หัวของตัวเอง เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ก็ไม่ใช่ว่าอาศัยโชคช่วยทั้งหมด เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่หลี่ไหวนี่นะ บุคคลอันดับหนึ่งอย่างท่านมาอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะไม่สนใจไยดีได้หรือ แล้วท่านก็อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเว่ยป้อแจ้งข่าวให้ข้า นอกจากเว่ยซานจวินแล้ว ในเมืองเล็ก อันที่จริงท่านยังหาตัวสายลับที่ข้าจัดวางไว้ออกมาไม่ได้ทั้งหมด ดังนั้นข้าใช้การมีใจมาวางแผนกับคนไม่มีเจตนา…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มชุดขาวก็เริ่มโคลงศีรษะ พูดอย่างเอ้อระเหยลอยชาย “คำพูดไร้สาระอย่างเช่นว่าพี่หญิงฉางมิ่งอย่าได้ถือสาอะไรนั่น ข้าคงไม่พูดแล้ว ท่านสามารถถือสาได้ เพียงแต่ว่าทางที่ดีที่สุดอย่าทำให้ข้าสังเกตเห็นว่าท่านถือสามากๆ ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าคงลำบากใจแย่”
ฉางมิ่งหลุดหัวเราะพรืด เพียงแต่ความรู้สึกที่มากกว่านั้นคือความวางใจ
ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งกลับสามารถอำพรางตัวอยู่ข้างกายตนได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!