กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 720

พอเถียนจิ่วเอ๋อร์ออกมาจากร้าน ชุยตงซานก็ขึ้นไปนั่งบนโต๊ะคิดเงิน มองผู้เฒ่าที่เรือนกายผ่ายผอมแต่กลับสวมชุดคลุมเต๋าที่กว้างใหญ่อย่างถึงที่สุดแล้วจุ๊ปากเอ่ย “เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรตัวดี กระดูกบนร่างหนักเก้าสิบจิน คาดว่าคงมีจินครึ่งจินที่มาจากคุณความชอบของชุดคลุมอาคมตระกูลเซียนบนร่างชิ้นนี้กระมัง เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยนี่ไม่ได้สวมชุดคลุมเต๋าแล้วนะ นี่มันสวมเงินเทพเซียนกองโตชัดๆ โอ้โหๆๆ ชุดคลุมเต๋านี้ใหญ่จนชายแขนเสื้อแทบจะระพื้นอยู่แล้ว ทำไม เทพเซียนผู้เฒ่าคิดจะไปกวาดพื้นในตรอกฉีหลงงั้นรึ?”

เหงื่อผุดออกมาเต็มหน้าผากเจี่ยเฉิง เขาหัวเราะแห้งๆ เอ่ยว่า “ชุยเซียนซือพูดเรื่องตลกแล้ว พูดเรื่องตลกแล้ว”

นักพรตเฒ่าไม่ได้โง่จริงๆ เสียหน่อย หลายปีมานี้ที่อยู่ในร้านของเมืองเล็ก บ้างก็ไปที่ตัวจังหวัด บ้างก็ขึ้นไปบนภูเขา ขอแค่ได้ยินข่าวเล็กๆ มา ไม่ต้องสนว่าจะใช่ข่าวลือหรือไม่ ก็ล้วนทำให้นักพรตเฒ่าเอามาคิดซ้ำไปซ้ำมา ขบให้แตกยิบย่อยเพื่อที่จะได้คิดให้มากขึ้น เรื่องดีคิดไปในทางเล็ก เรื่องร้ายคิดไปในทางใหญ่เทียมฟ้า ระวังแล้วระวังอีก ใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืนที่ทำให้นักพรตเฒ่าท่องอยู่ในยุทธภพได้โดยที่เรือไม่ล่ม

สำหรับคำพูดประชดประชันของอาจารย์ชุย เขารู้สึกว่าดียิ่งนัก ลมเย็นๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าในวันที่อากาศร้อนระอุทำให้รู้สึกเย็นสบายได้อีกเป็นเท่าตัว (คำว่าประชดประชันภาษาจีนคือ 风凉话 แปลตรงตัวคือคำพูดลมเย็น)

เดิมทีเจี่ยเฉิงไม่รู้สึกว่าลำบากใจแม้แต่น้อย แค่หนังหน้าหล่นลงบนพื้น นักพรตเฒ่าเช่นข้าไม่คิดมากเสียหน่อยหากต้องก้มไปเก็บมันมา แค่ค้อมเอวจะไปเปลืองแรงอะไร!

จ่ายเงินเล็กๆ น้อยๆ กินขนมของร้านด้านข้างสองสามชิ้นก็ชดเชยกลับคืนมาได้แล้ว คาดไม่ถึงว่าแม่นางหลิงชุนเร็วไม่ปรากฎตัวช้าไม่ปรากฎตัว ดันมายืนอยู่หน้าประตูใหญ่ร้านฉ่าวโถวของตนเอาตอนนี้พอดี นางยืนเอาไหล่ข้างหนึ่งพิงกรอบประตู สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อยิ้มตาหยี

ขมขื่นนัก ขมขื่นนัก

เมื่อเจี่ยเฉิงผู้นี้เป็นเพียงแค่นักพรตเฒ่าเจี่ยเฉิงจริงๆ เท่านั้น ชุยตงซานก็คร้านจะพูดไร้สาระให้มากความ เขาใช้นิ้วเคาะโต๊ะ พูดเข้าประเด็นว่า “ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วในทุกวันนี้ค่อนข้างจะขาดแคลน เจ้ารู้บ้างหรือไม่เล่า?”

นักพรตเฒ่าย่อมต้องรู้แน่อยู่แล้ว ปีนั้นตอนที่สร้างศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว ซานจวินใหญ่เว่ยยังมาเข้าร่วมพิธีด้วย!

อีกอย่างเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเจ้าขุนเขาหนุ่มกับแม่นางหร่วน นักพรตเฒ่าอย่างข้าตาบอดจริงๆ แล้วอย่างไรเล่า ไม่ได้ถูกน้ำมันหมูบังใจเสียหน่อย ย่อมต้องรู้ชัดเจนดี!

ชุยตงซานที่เพิ่งไปเยือนศาลเทพวารีของแม่น้ำอวี้เย่มารอบหนึ่งเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้ารับลูกศิษย์ที่ดีไว้จริงๆ รักและหวงแหนแม้แต่ไม้กวาดด้ามเก่าของตัวเองก็ถือว่าใจไม่กว้างมากพอ ไม่สมกับเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วแล้ว”

ชุยตงซานพลันยกฝ่ามือตบป้าบลงบนโต๊ะคิดเงิน ทำเอานักพรตเฒ่าตกใจจนต้องรีบทำคอย่นก้มหัว ยิ่งค้อมเอวลงต่ำ

ชุยตงซานกระโดดลงมาจากโต๊ะ เดินวนรอบร่างของนักพรตเฒ่าที่เงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาวหลายรอบ ปากก็บริภาษไปด้วย “ย่ำยีสมบัติแห่งสวรรค์ ความเห็นแก่ตัวเข้มข้นเกินไป นี่เรียกว่าเป็นคนที่ไร้คุณธรรมแล้ว! เป็นเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรก็เลยเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ? ดาวอายุยืนกินยาเบื่อหนูเข้าไปรึ? เจ้าอยากจะกินสักกี่จินล่ะ บอกข้าผู้อาวุโสมาให้ชัดเจนเลยสิ! มารดาเถอะ หากข้าผู้อาวุโสให้เจ้าขาดไปหนึ่งหรือสองจินก็ถือว่าข้าผู้อาวุโสไม่ใจกว้างเหมือนกับเจ้า!”

เจี่ยเฉิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ในใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข บนใบหน้าเหี่ยวชราเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เอ่ยเสียงสั่นว่า “ชุยเซียนซือ ความหมายของท่านผู้อาวุโส ข้าเข้าใจดี เพียงแต่ว่าในใจข้ามีความทุกข์ทนที่พูดไม่ออก วันนี้ได้เจอกับชุยเซียนซือเลยยอมเสียสละศักดิ์ศรีหน้าตาอันน้อยนิดแค่นี้ แต่ก็ต้องบังอาจพูดกับท่านผู้อาวุโสสักคำถึงคัมภีร์อ่านยากเล่มนั้นของพวกเราสามอาจารย์และศิษย์”

พูดถึงเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดใจ ผู้เฒ่าก็เช็ดหัวตา เพียงแต่ว่าปากก็ไม่ได้หยุดพูด “ร่างกายของจิ่วเอ๋อร์ข้าสอดคล้องกับกฎแห่งสวรรค์จริงๆ หาใช่เพราะข้าผู้เป็นนักพรตเฒ่าเสียดาย ‘สมบัติวิเศษแห่งฟ้าดิน’ น้อยนิดแค่นี้ไม่ ในฐานะผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อ ข้าผู้เป็นนักพรตเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้มโนธรรม สำหรับภูเขาลั่วพั่วและใต้เท้าเจ้าขุนเขา ข้ารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณจนนึกอยากจะตั้งป้ายบูชาเขาไว้ในบ้าน จุดธูปกราบไหว้ทุกวันเลยด้วยซ้ำ ก็ไม่ใช่เพราะอาศัยบุญวาสนาอันลึกล้ำของเจ้าขุนเขาเราหรือไร ข้าผู้เป็นนักพรตถึงได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตประตูมังกรเล็กๆ นั่นได้ ตามหลักแล้วควรจะทำเรื่องดีที่เป็นการเป็นงานให้กับภูเขาลั่วพั่วบ้าง เพียงแต่ว่าในอดีตข้าผู้เป็นนักพรตออกเดินทางไกล คอยกำจัดปีศาจปราบมาร นับว่ายังใจแข็งอยู่บ้าง ทว่าตบะอ่อนด้อยอยู่ปลายแถว ความสามารถก็ไม่มากพอ ทำให้ชุยเซียนซือได้เห็นเรื่องตลกแล้ว เลือดสดของจิ่วเอ๋อร์ผู้เป็นลูกศิษย์ ข้าผู้เป็นนักพรตจะไม่รู้ถึงข้อดีได้อย่างไร กลัวก็เพียงแต่ว่าทำเช่นนี้จะทำลายความปรองดอง วันหน้าหากเจ้าขุนเขารู้เข้า กลับกลายเป็นว่าจะถูกตำหนิ ไม่อย่างนั้นข้าผู้เป็นนักพรตก็คงให้จิ่วเอ๋อร์ทำเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว ต่อให้ในใจนางจะไม่ยินยอม สายตาตื้นเขินไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณของภูเขาลั่วพั่ว ในฐานะอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคาให้แก่นาง ไม่เพียงแต่จะต้องให้นางมอบน้ำพุยันต์หลายจินมาให้ในเวลาที่กำหนด ยังจะสอนให้นางได้รู้ถึงหลักการเหตุผลในการอยู่ร่วมกันของคนบนโลกอย่างดีด้วย! ไม่ว่าข้าผู้เป็นนักพรตจะสงสารลูกศิษย์ทั้งสองขนาดไหน ก็ยังต้องตัดใจฟาดกระบองสั่งสอนให้พวกเขาเป็นคนกตัญญูรู้คุณคนให้จงได้!”

แน่นอนว่าเจี่ยเฉิงผู้นี้พูดจาเหลวไหล พูดส่งเดชไปเรื่อยเปื่อย ไม่เพียงแต่ยกยอตัวเองให้สูงส่ง ยังจะสาดโคลนสกปรกใส่บนร่างของเถียนจิ่วเอ๋อร์ผู้เป็นลูกศิษย์อีกด้วย

อันที่จริงมีแค่ประโยคเดียวที่เจี่ยเฉิง ‘เทพเซียนผู้เฒ่า’ ขอบเขตประตูมังกรพูดความจริง กลัวว่าเฉินผิงอันเจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ทำลายความปรองดองของทุกคน ทำให้เขาเจี่ยเฉิงที่คิดจะประจบเอาใจกลับกลายเป็นว่าไม่ได้ดี นี่ไม่เท่ากับเป็นการค้าขายที่ขาดทุนซึ่งใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ

เจี่ยเฉิงตาบอดแต่ใจไม่บอด รู้ดีถึงบรรทัดฐานของภูเขาลั่วพั่ว ก็คือต้องมีมโนธรรมมีจิตสำนึกในการเป็นคนเสียหน่อย

ส่วนเรื่องการอวดฉลาดและการใช้อุบายเรื่องอื่นๆ ก็ล้วนไม่ถึงขั้นทำให้เขาต้องเสียชามข้าวเทพเซียนในการเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วใบนี้ไป

ในความเป็นจริงแล้ว จนถึงตอนนี้คนที่ฉลาดเหมือนนักพรตเฒ่าก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจว่า เจ้าขุนเขาหนุ่มคนนั้นมีทิพย์จักษุได้อย่างไร ถึงได้มาถูกใจพวกเขาสามอาจารย์และศิษย์ได้ ทำให้พวกเขาที่นอนกลางดินกินกลางทรายมาจนชินแล้วโชคดีได้มากินข้าวอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว

ชุยตงซานกระตุกชายแขนเสื้อคลุมเต๋าของนักพรตเฒ่า จากนั้นก็เอาพัดพับไม้ไผ่หยกที่นักพรตเฒ่าแสร้งเอามาใช้ทำให้ตัวเองสง่าสูงส่งมาคลี่เปิดเบาๆ ด้านหนึ่งก็เดินวนอ้อมรอบตัวนักพรต อีกด้านหนึ่งพัดเอาลมเย็นๆ เข้าสู่ตัว

ชุยเซียนซือไม่พูดไม่จา ส่วนนักพรตเฒ่าที่หลังจากร่าย ‘ความในใจ’ ประโยคนั้นจบก็ไม่เหลือความกล้าและไม่เหลือสมองให้เฟ้นหาถ้อยคำที่มากกว่านี้แล้ว

ชุยตงซานเอ่ย “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ให้จิ่วเอ๋อร์สะสมน้ำพุยันต์ตามจำนวนและเวลาที่กำหนด วันหน้าจะมีประโยชน์อย่างมาก เพียงแต่ต้องจำไว้ว่าห้ามให้ทำลายมหามรรคาของจิ่วเอ๋อร์แม้แต่เสี้ยวเดียว”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก กุมหมัดเอ่ยว่า “น้อมรับคำสั่งของชุยเซียนซือ ข้าจะทั้งช่วยอาจารย์ชุยสะสมน้ำพุยันต์ แล้วก็จะเห็นแก่จิ่วเอ๋อร์ด้วย ไหนเลยจะหักใจให้นางถูกทำร้ายได้ ถึงอย่างไรนางก็เหมือนลูกสาวแท้ๆ ของข้า”

เจี่ยเฉิงผู้นี้ฝึกตนเลอะเลือน แต่คำพูดคำจากลับไม่เลอะเลือนเลยจริงๆ

ในความเป็นจริงแล้วก็เพราะว่าเจี่ยเฉิงฉลาดมากเกินไป กลับกลายเป็นว่าทางเลือกที่ไม่ฉลาดบางอย่างของนักพรตเฒ่าที่ทำให้เขาเข้าตาภูเขาลั่วพั่ว

ลูกศิษย์สองคนนั้นมาเจออาจารย์อย่างเขา น่าสังเวชก็น่าสังเวชจริงอยู่ เอะอะก็ทุบตี เอะอะก็ด่าทอ ไม่ว่าคำพูดร้ายกาจแค่ไหนก็ล้วนพูดได้หมด ยามที่ตีลูกศิษย์ขึ้นมาก็ยิ่งไม่แพ้ให้กับยามสังหารปีศาจปราบมารเพื่อหาเงินเลยแม้แต่น้อย แต่มีเรื่องบางอย่างที่เจี่ยเฉิงทำไม่เหมือนเทพเซียนบนภูเขาอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นรับลูกศิษย์ที่มีชาติกำเนิดเป็นภูตมาไว้ข้างกาย แล้วยังช่วยปิดบังตัวตนให้กับเขา หรือยกตัวอย่างเช่นไม่ได้ขายเถียนจิ่วเอ๋อร์ส่งต่อให้กับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาสายยันต์

เถียนจิ่วเอ๋อร์ลูกศิษย์ของนักพรตเฒ่ามีพรสวรรค์โดดเด่น เลือดสดคือ ‘น้ำพุยันต์’ ที่เหมาะให้ผู้ฝึกตนใช้วาดยันต์มากที่สุด

ในอดีตไม่ว่าเจี่ยเฉิงจะหาเงินก็ดี หรือแสร้งทำเป็นเจินเหรินของลัทธิเต๋าเพื่อหลอกเอาเงินคนอื่นเข้ากระเป๋าตัวเองก็ช่าง หากต้องวาดยันต์อสนีที่เป็นวิชานอกรีตไว้บนฝ่ามือ ก็มักจะต้องใช้น้ำพุยันต์อยู่เสมอ

เพียงแต่ว่าเงินทองเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาหลังจากอาศัยความสามารถที่แท้จริงและจากที่แสร้งทำท่าหลอกคนอื่น เมื่อเทียบกับการขายเถียนจิ่วเอ๋อร์ไปในราคาสูงแล้วก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว

ชุยตงซานพยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ ผู้เยาว์คงไม่รบกวนการฝึกตนของเทพเซียนผู้เฒ่าแล้ว”

ชุยตงซานโยนพัดพับคืนให้นักพรตเฒ่า

เจี่ยเฉิงรีบใช้สองมือรับไว้ประหนึ่งได้รับสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน

ชุยตงซานเดินไปหาสหายฉางมิ่งที่อยู่หน้าประตู แล้วจู่ๆ ก็หันขวับกลับมา “น้ำพุยันต์หนึ่งจิน หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ถือเสียว่าข้าซื้อมาจากแม่นางจิ่วเอ๋อร์ ไม่เกี่ยวอะไรกับภูเขาลั่วพั่ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!