ตรงโต๊ะหินริมหน้าผา คนทั้งสองพากันเงียบงัน
ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “หากเจ้าเลือกทำอะไรโดยใช้อารมณ์ ใช้หนึ่งกระบี่ทำลายศาลเทพวารีของแม่น้ำอวี้เย่ให้แหลกเละ วันนี้บนภูเขาลั่วพั่วก็คงไม่มีอวี๋หมี่แล้ว”
หมี่อวี้ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย ใต้เท้าอิ่นกวานพูดถึงการเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามอยู่ตลอดเวลา ข้ารู้หนักเบาและผลได้ผลเสียดี”
ชุยตงซานหันหน้ามามอง
หมี่อวี้เอ่ย “ก็ได้ ข้ามันคนโง่”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะหินมาตบไหล่หมี่อวี้เบาๆ “หมี่อวี้ ขอบคุณมาก”
หมี่อวี้ถาม“จะขอบคุณข้าทำไมกัน”
ชุยตงซานไม่ได้ให้คำตอบ เด็กหนุ่มชุดขาวเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ร่างทั้งร่างเหมือนก้อนเมฆขาวก้อนหนึ่ง เขามองไปยังก้อนเมฆขาวที่ลอยละล่องอยู่นอกหน้าผา
เด็กหนุ่มชุดขาวในอดีต หรือก็คือชุยฉานตอนเป็นหนุ่ม ในปีนั้นเคยติดตามซิ่วไฉเฒ่าเดินทางไปท่องเที่ยวพื้นที่มงคลกระดาษขาวที่หลังจากถูกสำนักประพันธ์ยึดครองไปแล้วก็ทำการบุกเบิกขยับขยายให้กว้างใหญ่อย่างต่อเนื่อง พื้นที่มงคลกระดาษขาวเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงที่แปลกมหัศจรรย์ที่สุดในใต้หล้าไพศาล ความกว้างใหญ่ของฟ้าดินแห่งนั้นมิอาจบอกเป็นจำนวนที่แน่ชัดได้ ผู้ฝึกตนสำนักประพันธ์ทุกคนล้วนสามารถยกพู่กันมาเขียนถึงคนเขียนถึงเรื่องราว ขอแค่สุดท้ายไม่ถูกตัดทิ้งก็จะสามารถช่วยขยับขยายขุนเขาสายน้ำที่ยิ่งใหญ่โอฬารให้กับพื้นที่มงคลได้อย่างต่อเนื่อง
ตอนนั้นชุยตงซานเคยอ่าน ‘ตำราใหญ่หลายเล่ม’ ในพื้นที่มงคลมาก่อนแล้ว มีทั้งเรื่องราวของเทพเซียนบนภูเขา แล้วก็มีทั้งเรื่องราวในยุทธภพ เขาล้วนไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าใดนัก บอกว่าตระกูลเซียนบนภูเขาและพรรคในยุทธภพเหล่านั้นต่างก็มีช่องโหว่ จิตใจคนเปลี่ยนแปลงไปไม่มาก ราวกับว่าขึ้นมาบนภูเขา หรือไม่ก็เข้ามาในพรรคของยุทธภพแล้วต่างก็ปล่อยให้วันเวลาไหลหายไป ผู้คนไม่เคยมีชีวิตที่แท้จริงมาก่อน การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของคน ต่อให้มีจุดหักเหเพียงเล็กน้อยก็ยังดูแล้วแข็งทื่อเกินไป การเติบโตของผู้ที่มีบทบาทเป็นดั่งเทวดาฟ้าดินเล็กทั้งหลาย เส้นทางในหัวใจยังไม่ถือว่าสมบูรณ์มากพอ แต่ทุกคนที่อยู่ข้างกายของเขา ถ้าดีก็ดีอยู่อย่างนั้น ยามที่อยู่ร่วมกับคนอื่นมักจะสมัครสมานปรองดองอยู่เสมอ คนฉลาดก็จะฉลาดไปตลอดกาล คนที่คร่ำครึก็จะคร่ำครึไปทุกเรื่อง สำนักบนภูเขาที่เป็นเช่นนี้ พรรคในยุทธภพที่เป็นเช่นนี้ จิตใจคนไม่มีทางต้านรับการเคาะตีได้ หากขยายใหญ่ไปมากกว่านี้ก็มีแต่จะเป็นเพียงเค้าโครงที่ว่างเปล่า มีแค่จำนวนคนที่มากเท่านั้น ออกมาจากพื้นที่มงคลกระดาษขาวเมื่อไหร่ เพียงแค่ลมพัดก็ล้มลงทันที
‘ข้าไม่พูดถึงว่าสถานการณ์โดยรวมทั้งหมดของพื้นที่มงคลกระดูกขาวเป็นอย่างไร เพียงแค่พูดถึงสถานการณ์ส่วนใหญ่ว่าเป็นอย่างไร หลักการเหตุผลในใต้หล้านี้ต้องพูดให้ชัดเจน ต้องพูดให้เห็นถึงสัดส่วนมากน้อย’
‘สหายที่อยู่ข้างกายของคนผู้นั้นเป็นจอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรมก็จะไม่มีทางทำผิดแล้วหรือ? เทพเซียนบนภูเขาไม่มีทางไม่ระวังสังหารคนผิดหรือ? แต่ละคนกลับเหมือนคนที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าอริยะผู้ทรงธรรมของใต้หล้าไพศาลเสียอีก’
‘คนที่อยู่ข้างกายของคนผู้นั้น ระหว่างพวกเขาก็เพียงแค่เพราะเป็นเพื่อนของเพื่อน ก็เลยจะกลายมาเป็นเพื่อนกันได้ตลอดชีวิตงั้นหรือ? คนที่เป็นศัตรูกับคนผู้นั้น เหตุใดล้วนต้องเป็นพวกชั่วร้ายทั้งหมด มีคนที่ใช้ชีวิตได้อย่างเปี่ยมสีสันอยู่น้อยมาก เหตุใดถึงไม่อาจได้รับความเคารพนับถือจากคนของที่แห่งอื่น? เทพเซียนบนภูเขา เหตุใดจึงมีแต่จะต้องเป็นสหายกับน้ำพุในป่า กับเมฆขาว กับต้นสนเขียว? ตอนที่ลงมาจากภูเขา ชาวบ้านร้านตลาดไม่รู้จักเงินเทพเซียนในกระเป๋า อยากจะซื้อเหล้าชั้นเลวสักกามาจากลูกจ้างจากเถ้าแก่ร้าน เงินนั่นก็จะไม่ใช่เงินเทพเซียนอีกแล้วหรือ?’
‘หรือว่าพื้นที่มงคลกระดาษขาวที่กว้างใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งใต้หล้าแห่งนี้มีไว้ให้เพื่อเทพเทวดาน้อยหลายร้อยคนนั้นเท่านั้น?! ช่างเป็นมหามรรคาที่ดียิ่งนัก!’
ตอนนั้นบรรพจารย์เปิดขุนเขาของสำนักประพันธ์เพียงแค่ลูบหนวดยิ้มเท่านั้น
กลับเป็นบรรพจารย์อายุน้อยและคนหนุ่มผู้มีความสามารถหลายคนที่ได้รับการยอมรับว่า ‘จรดพู่กันบุปผาผลิบาน ความสามารถดุจน้ำพุพรั่งพรู’ ซึ่งยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่าเสียอีกที่พอถูกคนนอกคนหนึ่งแฉข้อด้อยออกมาต่อหน้า สีหน้าก็ไม่ค่อยน่ามองเท่าใดนัก ขาดก็แค่ไม่ได้เอ่ยประโยคที่ว่า ‘แน่จริงเจ้าก็มาเขียนเองสิ’
ไม่อย่างนั้นหากอิงตามนิสัยของชุยฉานในเวลานั้น คงจะต้องกลายเป็นว่าให้ข้าเขียนก็เขียนสิอย่างแน่นอน
จะได้สอนให้พวกเขารู้ว่าอะไรที่เรียกว่า ‘ฝีมืออันเลิศล้ำที่ต้องสะสมให้มากใช้ให้น้อยของคนธรรมดา คือการบรรยายง่ายๆ อย่างเป็นธรรมชาติตามแต่ใจข้าชุยฉาน’
โชคดีที่ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่ารีบช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ด่าลูกศิษย์ของตัวเองไปก่อนประโยคหนึ่งว่า ‘ถึงอย่างไรความรู้ที่ได้มาจากหน้ากระดาษก็ยังไม่สมบูรณ์มากพอ เจ้าจะเข้าใจกะผายลมอะไร ผลงานการประพันธ์ยิ่งใหญ่อย่างการเขียนนิยายนี้ จะเขียนให้ดีก็ต้องเขียนมาถึงหลายหมื่นหลายแสนตัวอักษร หาได้เรียบง่ายอย่างบทกลอนไม่กี่ประโยคที่เจ้าท่องส่งเดชในเวลาปกติไม่’ จากนั้นก็ช่วยคนหนุ่มผู้มีความสามารถทั้งหลายคุยโวไปอีกคำรบใหญ่ ต่อมาค่อยให้คำชี้แนะอีกเล็กน้อย ล้วนเป็นข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่มากพอจะปิดบังจุดเด่นได้
เหวินเซิ่งเอ่ยชมเชยและช่วยชี้แนะข้อบกพร่องให้กับปากตัวเอง แน่นอนว่าต้องเหนือกว่าความปากเปราะของลูกศิษย์มากนัก ยอดฝีมือของสำนักประพันธ์เหล่านั้นจึงไม่ได้ถือสาอะไรชุยฉานอีก
คนผู้หนึ่งที่นอกจากตำแหน่งลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งแล้ว ก็ถือว่าเป็นแค่เด็กรุ่นหลังที่ไร้ชื่อเสียง จะไปเข้าใจอะไร
ทว่าชุยฉานกลับไม่ยอมหยุดแต่พอสมควร ตอนนั้นคนหนุ่มที่ยังไม่ได้ฉายประกายอย่างเต็มที่ยังเอ่ยอีกประโยคหนึ่งที่ฟังแล้วเหมือนตบหน้าคนอย่างแรง ‘ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่าตัวของภาษาเองก็คือกรงขังแห่งหนึ่ง ตัวอักษรบนโลกต่างหากถึงจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของสำนักประพันธ์ เพราะขอบเขตของภาษาและถ้อยคำที่เกิดจากการประกอบกันของตัวอักษร ก็คือขอบเขตที่ไร้รูปลักษณอย่างที่ข้าคิดไว้ในใจ หากยังไม่อาจก้าวข้ามมันไปได้วันหนึ่ง ก็ยากจะพิสูจน์มรรคาอยู่อย่างนั้น’
ตอนนั้นมีเพียงบรรพจารย์ผู้เฒ่าของสำนักประพันธ์ที่พยักหน้ารับเบาๆ สายตาที่มองไปยังชุยฉานตอนเป็นหนุ่มเผยความชื่นชม ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มจนปากกว้างเท่ากระด้งครึ่งใบ ไม่ได้เอ่ยอะไร นับว่ายังพอมีคุณธรรมอยู่บ้าง
บรรพจารย์เฒ่าชำเลืองตามองแวบหนึ่ง ดีนักนะ แม้แต่หัวก็ยังไม่ผงกให้แล้ว
ต่อมาภายหลังชื่อเสียงของชุยฉานโด่งดังขึ้น นับว่าไม่ผิดต่อสถานะลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง หลังจากนั้นมาอีก ชื่อเสียงของชุยฉานก็เลื่องลือไปทั่วใต้หล้า เล่นหมากล้อมเมฆหลากสีเป็นเพียงแค่หนึ่งใน ‘สามเรื่องอันงดงาม’ ถึงท้ายที่สุดชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไกล
อันที่จริงเรื่องเหล่านี้ใต้หล้าไพศาลล้วนรู้ดี เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่มักลืมเรื่องหนึ่งไปแล้ว ในอดีตตอนที่ชุยฉานยังอยู่ในสายเหวินเซิ่ง มักจะถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แทนอาจารย์บ่อยๆ
ชุยตงซานเหม่อมองไปยังภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่หันไปทางทิศใต้อยู่ตลอดเวลา
คนผู้มีความสามารถเป็นชุยฉานคนนั้นมาโดยตลอด ไม่ว่าภายหลังเขาจะยังถือเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งหรือไม่ เขาก็ยังคงเป็นซิ่วหู่ชุยฉานที่มี ‘เรื่องงดงามสามเรื่องแห่งใต้หล้าไพศาล’ คือราชครูต้าหลีที่จะไม่ยอมทำเพียงแค่เติมบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับวิถีทางโลกเด็ดขาด
ข้าไม่ใช่
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ ก่อนพึมพำเบาๆ ว่า “ข้าเป็นแค่ชุยตงซานแล้ว เป็นเด็กหนุ่มตงซานผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา”
พรุ่งนี้ก็ยังจะถือว่าเป็นเด็กหนุ่มตลอดกาล
อายุน้อยอยู่ทุกปี ข้าเป็นหนึ่งในนั้นมาโดยตลอด
อันที่จริงใช่ว่าชุยตงซานจะไม่เคยคิดมาก่อน ไม่อยากจะเป็นหนึ่งในนั้น ทว่าปีนั้นชุยฉานกลับไม่ยอมตอบตกลง กลับตอกคืนมาด้วยเหตุผลที่ชุยตงซานมิอาจปฏิเสธได้
ชุยฉานก็เป็นเช่นนี้ หากจะวางแผนอย่างจริงจังขึ้นมา แม้แต่ตัวเองก็ยังอยู่ในแผนการนั้นด้วย
หมี่อวี้ไม่ได้หาปัญหาใส่ตัว เพียงแค่นั่งอยู่ด้านข้างเงียบๆ จะไม่เป็นฝ่ายเปิดปากพูดคุยกับเด็กหนุ่มชุดขาวก่อนแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!