ตอน บทที่ 720.3 ข้าคือตงซานไงล่ะ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 720.3 ข้าคือตงซานไงล่ะ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตรงโต๊ะหินริมหน้าผา คนทั้งสองพากันเงียบงัน
ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “หากเจ้าเลือกทำอะไรโดยใช้อารมณ์ ใช้หนึ่งกระบี่ทำลายศาลเทพวารีของแม่น้ำอวี้เย่ให้แหลกเละ วันนี้บนภูเขาลั่วพั่วก็คงไม่มีอวี๋หมี่แล้ว”
หมี่อวี้ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย ใต้เท้าอิ่นกวานพูดถึงการเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามอยู่ตลอดเวลา ข้ารู้หนักเบาและผลได้ผลเสียดี”
ชุยตงซานหันหน้ามามอง
หมี่อวี้เอ่ย “ก็ได้ ข้ามันคนโง่”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะหินมาตบไหล่หมี่อวี้เบาๆ “หมี่อวี้ ขอบคุณมาก”
หมี่อวี้ถาม“จะขอบคุณข้าทำไมกัน”
ชุยตงซานไม่ได้ให้คำตอบ เด็กหนุ่มชุดขาวเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ร่างทั้งร่างเหมือนก้อนเมฆขาวก้อนหนึ่ง เขามองไปยังก้อนเมฆขาวที่ลอยละล่องอยู่นอกหน้าผา
เด็กหนุ่มชุดขาวในอดีต หรือก็คือชุยฉานตอนเป็นหนุ่ม ในปีนั้นเคยติดตามซิ่วไฉเฒ่าเดินทางไปท่องเที่ยวพื้นที่มงคลกระดาษขาวที่หลังจากถูกสำนักประพันธ์ยึดครองไปแล้วก็ทำการบุกเบิกขยับขยายให้กว้างใหญ่อย่างต่อเนื่อง พื้นที่มงคลกระดาษขาวเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงที่แปลกมหัศจรรย์ที่สุดในใต้หล้าไพศาล ความกว้างใหญ่ของฟ้าดินแห่งนั้นมิอาจบอกเป็นจำนวนที่แน่ชัดได้ ผู้ฝึกตนสำนักประพันธ์ทุกคนล้วนสามารถยกพู่กันมาเขียนถึงคนเขียนถึงเรื่องราว ขอแค่สุดท้ายไม่ถูกตัดทิ้งก็จะสามารถช่วยขยับขยายขุนเขาสายน้ำที่ยิ่งใหญ่โอฬารให้กับพื้นที่มงคลได้อย่างต่อเนื่อง
ตอนนั้นชุยตงซานเคยอ่าน ‘ตำราใหญ่หลายเล่ม’ ในพื้นที่มงคลมาก่อนแล้ว มีทั้งเรื่องราวของเทพเซียนบนภูเขา แล้วก็มีทั้งเรื่องราวในยุทธภพ เขาล้วนไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าใดนัก บอกว่าตระกูลเซียนบนภูเขาและพรรคในยุทธภพเหล่านั้นต่างก็มีช่องโหว่ จิตใจคนเปลี่ยนแปลงไปไม่มาก ราวกับว่าขึ้นมาบนภูเขา หรือไม่ก็เข้ามาในพรรคของยุทธภพแล้วต่างก็ปล่อยให้วันเวลาไหลหายไป ผู้คนไม่เคยมีชีวิตที่แท้จริงมาก่อน การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของคน ต่อให้มีจุดหักเหเพียงเล็กน้อยก็ยังดูแล้วแข็งทื่อเกินไป การเติบโตของผู้ที่มีบทบาทเป็นดั่งเทวดาฟ้าดินเล็กทั้งหลาย เส้นทางในหัวใจยังไม่ถือว่าสมบูรณ์มากพอ แต่ทุกคนที่อยู่ข้างกายของเขา ถ้าดีก็ดีอยู่อย่างนั้น ยามที่อยู่ร่วมกับคนอื่นมักจะสมัครสมานปรองดองอยู่เสมอ คนฉลาดก็จะฉลาดไปตลอดกาล คนที่คร่ำครึก็จะคร่ำครึไปทุกเรื่อง สำนักบนภูเขาที่เป็นเช่นนี้ พรรคในยุทธภพที่เป็นเช่นนี้ จิตใจคนไม่มีทางต้านรับการเคาะตีได้ หากขยายใหญ่ไปมากกว่านี้ก็มีแต่จะเป็นเพียงเค้าโครงที่ว่างเปล่า มีแค่จำนวนคนที่มากเท่านั้น ออกมาจากพื้นที่มงคลกระดาษขาวเมื่อไหร่ เพียงแค่ลมพัดก็ล้มลงทันที
‘ข้าไม่พูดถึงว่าสถานการณ์โดยรวมทั้งหมดของพื้นที่มงคลกระดูกขาวเป็นอย่างไร เพียงแค่พูดถึงสถานการณ์ส่วนใหญ่ว่าเป็นอย่างไร หลักการเหตุผลในใต้หล้านี้ต้องพูดให้ชัดเจน ต้องพูดให้เห็นถึงสัดส่วนมากน้อย’
‘สหายที่อยู่ข้างกายของคนผู้นั้นเป็นจอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรมก็จะไม่มีทางทำผิดแล้วหรือ? เทพเซียนบนภูเขาไม่มีทางไม่ระวังสังหารคนผิดหรือ? แต่ละคนกลับเหมือนคนที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าอริยะผู้ทรงธรรมของใต้หล้าไพศาลเสียอีก’
‘คนที่อยู่ข้างกายของคนผู้นั้น ระหว่างพวกเขาก็เพียงแค่เพราะเป็นเพื่อนของเพื่อน ก็เลยจะกลายมาเป็นเพื่อนกันได้ตลอดชีวิตงั้นหรือ? คนที่เป็นศัตรูกับคนผู้นั้น เหตุใดล้วนต้องเป็นพวกชั่วร้ายทั้งหมด มีคนที่ใช้ชีวิตได้อย่างเปี่ยมสีสันอยู่น้อยมาก เหตุใดถึงไม่อาจได้รับความเคารพนับถือจากคนของที่แห่งอื่น? เทพเซียนบนภูเขา เหตุใดจึงมีแต่จะต้องเป็นสหายกับน้ำพุในป่า กับเมฆขาว กับต้นสนเขียว? ตอนที่ลงมาจากภูเขา ชาวบ้านร้านตลาดไม่รู้จักเงินเทพเซียนในกระเป๋า อยากจะซื้อเหล้าชั้นเลวสักกามาจากลูกจ้างจากเถ้าแก่ร้าน เงินนั่นก็จะไม่ใช่เงินเทพเซียนอีกแล้วหรือ?’
‘หรือว่าพื้นที่มงคลกระดาษขาวที่กว้างใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งใต้หล้าแห่งนี้มีไว้ให้เพื่อเทพเทวดาน้อยหลายร้อยคนนั้นเท่านั้น?! ช่างเป็นมหามรรคาที่ดียิ่งนัก!’
ตอนนั้นบรรพจารย์เปิดขุนเขาของสำนักประพันธ์เพียงแค่ลูบหนวดยิ้มเท่านั้น
กลับเป็นบรรพจารย์อายุน้อยและคนหนุ่มผู้มีความสามารถหลายคนที่ได้รับการยอมรับว่า ‘จรดพู่กันบุปผาผลิบาน ความสามารถดุจน้ำพุพรั่งพรู’ ซึ่งยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่าเสียอีกที่พอถูกคนนอกคนหนึ่งแฉข้อด้อยออกมาต่อหน้า สีหน้าก็ไม่ค่อยน่ามองเท่าใดนัก ขาดก็แค่ไม่ได้เอ่ยประโยคที่ว่า ‘แน่จริงเจ้าก็มาเขียนเองสิ’
ไม่อย่างนั้นหากอิงตามนิสัยของชุยฉานในเวลานั้น คงจะต้องกลายเป็นว่าให้ข้าเขียนก็เขียนสิอย่างแน่นอน
จะได้สอนให้พวกเขารู้ว่าอะไรที่เรียกว่า ‘ฝีมืออันเลิศล้ำที่ต้องสะสมให้มากใช้ให้น้อยของคนธรรมดา คือการบรรยายง่ายๆ อย่างเป็นธรรมชาติตามแต่ใจข้าชุยฉาน’
โชคดีที่ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่ารีบช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ด่าลูกศิษย์ของตัวเองไปก่อนประโยคหนึ่งว่า ‘ถึงอย่างไรความรู้ที่ได้มาจากหน้ากระดาษก็ยังไม่สมบูรณ์มากพอ เจ้าจะเข้าใจกะผายลมอะไร ผลงานการประพันธ์ยิ่งใหญ่อย่างการเขียนนิยายนี้ จะเขียนให้ดีก็ต้องเขียนมาถึงหลายหมื่นหลายแสนตัวอักษร หาได้เรียบง่ายอย่างบทกลอนไม่กี่ประโยคที่เจ้าท่องส่งเดชในเวลาปกติไม่’ จากนั้นก็ช่วยคนหนุ่มผู้มีความสามารถทั้งหลายคุยโวไปอีกคำรบใหญ่ ต่อมาค่อยให้คำชี้แนะอีกเล็กน้อย ล้วนเป็นข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่มากพอจะปิดบังจุดเด่นได้
เหวินเซิ่งเอ่ยชมเชยและช่วยชี้แนะข้อบกพร่องให้กับปากตัวเอง แน่นอนว่าต้องเหนือกว่าความปากเปราะของลูกศิษย์มากนัก ยอดฝีมือของสำนักประพันธ์เหล่านั้นจึงไม่ได้ถือสาอะไรชุยฉานอีก
คนผู้หนึ่งที่นอกจากตำแหน่งลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งแล้ว ก็ถือว่าเป็นแค่เด็กรุ่นหลังที่ไร้ชื่อเสียง จะไปเข้าใจอะไร
ทว่าชุยฉานกลับไม่ยอมหยุดแต่พอสมควร ตอนนั้นคนหนุ่มที่ยังไม่ได้ฉายประกายอย่างเต็มที่ยังเอ่ยอีกประโยคหนึ่งที่ฟังแล้วเหมือนตบหน้าคนอย่างแรง ‘ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่าตัวของภาษาเองก็คือกรงขังแห่งหนึ่ง ตัวอักษรบนโลกต่างหากถึงจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของสำนักประพันธ์ เพราะขอบเขตของภาษาและถ้อยคำที่เกิดจากการประกอบกันของตัวอักษร ก็คือขอบเขตที่ไร้รูปลักษณอย่างที่ข้าคิดไว้ในใจ หากยังไม่อาจก้าวข้ามมันไปได้วันหนึ่ง ก็ยากจะพิสูจน์มรรคาอยู่อย่างนั้น’
ตอนนั้นมีเพียงบรรพจารย์ผู้เฒ่าของสำนักประพันธ์ที่พยักหน้ารับเบาๆ สายตาที่มองไปยังชุยฉานตอนเป็นหนุ่มเผยความชื่นชม ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มจนปากกว้างเท่ากระด้งครึ่งใบ ไม่ได้เอ่ยอะไร นับว่ายังพอมีคุณธรรมอยู่บ้าง
บรรพจารย์เฒ่าชำเลืองตามองแวบหนึ่ง ดีนักนะ แม้แต่หัวก็ยังไม่ผงกให้แล้ว
ต่อมาภายหลังชื่อเสียงของชุยฉานโด่งดังขึ้น นับว่าไม่ผิดต่อสถานะลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง หลังจากนั้นมาอีก ชื่อเสียงของชุยฉานก็เลื่องลือไปทั่วใต้หล้า เล่นหมากล้อมเมฆหลากสีเป็นเพียงแค่หนึ่งใน ‘สามเรื่องอันงดงาม’ ถึงท้ายที่สุดชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไกล
อันที่จริงเรื่องเหล่านี้ใต้หล้าไพศาลล้วนรู้ดี เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่มักลืมเรื่องหนึ่งไปแล้ว ในอดีตตอนที่ชุยฉานยังอยู่ในสายเหวินเซิ่ง มักจะถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แทนอาจารย์บ่อยๆ
ชุยตงซานเหม่อมองไปยังภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่หันไปทางทิศใต้อยู่ตลอดเวลา
คนผู้มีความสามารถเป็นชุยฉานคนนั้นมาโดยตลอด ไม่ว่าภายหลังเขาจะยังถือเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งหรือไม่ เขาก็ยังคงเป็นซิ่วหู่ชุยฉานที่มี ‘เรื่องงดงามสามเรื่องแห่งใต้หล้าไพศาล’ คือราชครูต้าหลีที่จะไม่ยอมทำเพียงแค่เติมบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับวิถีทางโลกเด็ดขาด
ข้าไม่ใช่
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ ก่อนพึมพำเบาๆ ว่า “ข้าเป็นแค่ชุยตงซานแล้ว เป็นเด็กหนุ่มตงซานผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา”
พรุ่งนี้ก็ยังจะถือว่าเป็นเด็กหนุ่มตลอดกาล
อายุน้อยอยู่ทุกปี ข้าเป็นหนึ่งในนั้นมาโดยตลอด
อันที่จริงใช่ว่าชุยตงซานจะไม่เคยคิดมาก่อน ไม่อยากจะเป็นหนึ่งในนั้น ทว่าปีนั้นชุยฉานกลับไม่ยอมตอบตกลง กลับตอกคืนมาด้วยเหตุผลที่ชุยตงซานมิอาจปฏิเสธได้
ชุยฉานก็เป็นเช่นนี้ หากจะวางแผนอย่างจริงจังขึ้นมา แม้แต่ตัวเองก็ยังอยู่ในแผนการนั้นด้วย
หมี่อวี้ไม่ได้หาปัญหาใส่ตัว เพียงแค่นั่งอยู่ด้านข้างเงียบๆ จะไม่เป็นฝ่ายเปิดปากพูดคุยกับเด็กหนุ่มชุดขาวก่อนแน่
ในฐานะเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกร นักพรตเฒ่าเช่นข้าร่ายวิชาอภินิหารชั้นสูง ‘เปิดตาสวรรค์’ ก็ยังพอจะมองเห็นรูปโฉมและหุ่นก้านของสหายหลิงชุนผู้นั้นได้คร่าวๆ
สือโหรวยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน คร้านจะเหลือบตามองเจี่ยเฉิงด้วยซ้ำ
นักพรตเฒ่าที่เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกปานนี้ ยังจะทำอะไรได้อีกเล่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ได้ไปสร้างกระท่อมฝึกตนที่ภูเขาหวงหู ไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขตเหมือนแมวตาบอดเจอหนูตาย ก็มักจะมาคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่กับตนทุกเมื่อเชื่อวัน เปิดปฏิทินเหลืองโอ้อวดความมีหน้ามีตาของบรรพบุรุษให้ฟัง รอกระทั่งขอบเขตประตูมังกรหล่นลงมาจากฟ้าจริงๆ ก็ดีนักนะ รีบเปลี่ยนลูกไม้ใหม่ทันที แม้แต่เถ้าแก่ใหญ่สือก็ไม่ยินดีจะเรียกแล้ว ไม่พูดประโยคที่ว่าเถ้าแก่ใหญ่สือพวกเราสองพี่น้องต้องช่วยดูแลกันและกันอะไรนั่นแล้ว อ้าปากหุบปากก็เรียกแต่ ‘น้องสือ’ จากนั้นก็โอ้อวดถึงความลี้ลับมหัศจรรย์ทั้งหลายของขอบเขตประตูมังกรเขาว่ามิอาจแพร่งพราย มิอาจแพร่งพราย ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่หุบปากไปเสียเลยเล่า?
หากไม่เป็นเพราะสือโหรวเห็นว่าจิ่วเอ๋อร์และเติงเกาต่างก็น่าสงสารจริงๆ นางเองก็ไม่อยากทำให้สองศิษย์พี่ศิษย์น้องวางตัวลำบาก ไม่อย่างนั้นนักพรตเฒ่ากล้ามาเยือนถึงที่ นางก็เตรียมจะเงื้อลูกคิดตบคนด่าคน จากนั้นก็เอาไม้กวาดไล่ไปนานแล้ว
นักพรตเฒ่าเอนตัวพิงประตูบานใหญ่ ในมือถือพัดพับไม้ไผ่หยกไว้เล่มหนึ่ง พูดกลั้วหัวเราะร่วน “น้องสือ เหตุใดวันนี้แม่นางหลิงชุนถึงไม่อยู่ที่ร้านล่ะ”
สือโหรวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
นักพรตเฒ่าคลี่พัดออกดังพรึ่บ พัดเอาลมเย็นๆ ใส่ตัว เงียบไปครู่หนึ่ง เสียงพัดดังพั่บๆ คลอมาเป็นระยะ เขาพลันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้งว่า “น้องสือเจ้าดูสิ ไม่ทันระวังก็สร้างเรื่องตลกอีกแล้ว พี่ใหญ่อย่างข้าอยู่ในยุทธภพล่างภูเขามานาน เอาแต่ง่วนอยู่กับการกำจัดปีศาจปราบมาร เกือบจะลืมไปแล้วว่าอันที่จริงตนเองในทุกวันนี้ไม่รู้ร้อนหนาวของโลกมนุษย์แล้ว”
สือโหรวเพียงแค่หัวเราะเหอะๆ
นักพรตเฒ่ามีสีหน้าปล่อยวางโล่งใจ ประกบพัดพับติดกันอย่างแรง จะโทษน้องสือที่รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองก็ไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว ทว่าขอบเขตก็ยังต่างกันนี่นา
เจี่ยเฉิงเดินเนิบช้า วิจารณ์รสชาติของขนมแต่ละชนิด คีบขนมชิ้นหนึ่งในนั้นขึ้นมา รู้ว่าอีกเดี๋ยวน้องสือก็จะเปิดปากพูดแล้ว เฮอะ ทุกวันนี้น้องสือก็ได้แต่เฝ้าสถานะเถ้าแก่ร้านนี้เอาไว้เท่านั้น แล้วก็จริงดังคาด สือโหรวเปิดปากเอ่ยประโยคหนึ่งว่าข้าขอคิดบัญชีก่อน สิ้นเดือนจะคิดบัญชีรวมไปด้วย
เจี่ยเฉิงยิ้มเอ่ย “น้องสือคิดราคาสองเท่าก็ได้นะ เพราะถึงอย่างไรของอย่างขนมหวานพวกนี้ ขายได้หลายสิบหลายร้อยจินก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะเทียบเท่าราคาของชิ้นหนึ่งที่ขายออกไปจากร้านข้า”
สือโหรวก้มหน้าพลิกเปิดสมุดบัญชี “ไม่ต้อง”
ในใจเจี่ยเฉิงยิ้มบางๆ ไม่หยุด น้องสือหน้าบางเกินไปแล้ว ยังจะทำตัวห่างเหินกับพี่ชายอีก ต่อให้ข้าเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรแล้วอย่างไรเล่า ก็ยังเป็นพี่เจี่ยที่อยู่ร้านติดกันกับเจ้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
เจี่ยเฉิงมาอยู่ในร้านยาสุ้ยได้ครึ่งชั่วยามก็ยังไม่ได้เจอกับแม่นางหลิงชุน ถึงได้เอาพัดพับเหน็บไว้หลังคอเสื้อ สองมือไพล่หลัง สาวเท้าเดินเนิบช้ากลับร้านตัวเองไป
ผลคือ ‘ได้เจอ’ กับเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกำลังนั่งเอ้อระเหยลอยชายอยู่บนโต๊ะคิดเงิน เจี่ยเชิงไม่ได้มีท่าทีหยุดชะงักใดๆ เห็นเพียงว่านักพรตเฒ่ายื่นมือไปหยิบพัดมาเหน็บตรงเอว ขณะเดียวกันก็ก้าวเดินไปข้างหน้าเร็วๆ ค้อมตัวประสานมือคารวะ เอ่ยเรียกอย่างตกตะลึงระคนยินดี “ชุยเซียนซือ”
ชุยตงซานไม่ได้สนใจเขา เพียงแต่บอกให้จิ่วเอ๋อร์ที่เฝ้าร้านไปหาขนมในร้านด้านข้างกินก่อน ให้คิดลงบัญชีของสือโหรวได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ ไม่อย่างนั้นเขาชุยตงซานได้อารมณ์ร้อนใส่สือโหรวแน่
ส่วนจ้าวเติงเกาศิษย์พี่ของเถียนจิ่วเอ๋อร์ไปหาต่งกู่ลูกศิษย์ใหญ่ของหร่วนฉงที่สำนักกระบี่หลงเฉวียน ทั้งสองฝ่ายถูกชะตากันมาก จ้าวเติงเกามักจะไปหาฝ่ายหลังเพื่อขอความรู้เรื่องการฝึกตนอยู่เสมอ เจี่ยเฉิงอาจารย์ของเขาที่แต่ไหนแต่ไรมาพูดคุยด้วยยากอยู่เสมอ ในเรื่องนี้กลับกระตือรือร้นยิ่งกว่าลูกศิษย์เสียอีก ราวกับว่าคนที่ฝึกตนจริงๆ คือเขาเจี่ยเฉิง และในทางส่วนตัวยังเคยโน้มน้าวจ้าวเติงเกาด้วยว่า เจ้าอย่าได้หน้าบาง ต้องไปเป็นแขกที่นั่นบ่อยๆ ต่งเซียนซือท่านนั้นคือเทพเซียนพสุธาคนหนึ่งแล้ว ต่อให้สมองของเจ้าจะโง่เง่าแค่ไหนก็ยังสามารถรับเอากลิ่นอายเซียนกลับมาได้ ส่วนกิจการของร้านแห่งนี้มีศิษย์น้องของเจ้าคนเดียวดูแลก็พอแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!