วันหนึ่งขณะที่พ่อครัวเฒ่ากำลังทำกับข้าวอยู่ในห้องครัว ชุยตงซานมายืนเอนพิงประตู ยิ้มตาหยีหยิบเอาวัตถุจื่อชื่อที่เป็นแท่นฝึกหมึกชิ้นนั้นออกมา เป่าลมใส่เบาๆ โอ้อวดกับจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองแล้วยิ้มถามประโยคหนึ่งว่า ‘จริงใจกี่ตำลึง’? ชุยตงซานยิ้มร่าตอบว่าเยอะเลยล่ะ เยอะเลยล่ะ ต้องเอาวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งมาแลก แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เรื่องของเงินทองอะไรเท่านั้น พี่หญิงเพ่ยเซียงตำแหน่งสูงกุมอำนาจมาก ย่อมต้องคิดพิจารณาเพื่อแคว้นหู พ่อครัวเฒ่าเจ้าอย่าเสียใจเลยนะ ไม่อย่างนั้นจะทำให้พี่หญิงเพ่ยเซียงเสียใจมากกว่าเดิม
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยว่าแค่นี้ก็ถือว่าเกินความคาดฝันมากแล้ว สีหน้าของเขาเยือกเย็น อีกทั้งยังดูจริงใจอย่างมาก ชุยตงซานจึงถามอีกว่าหากพี่หญิงเพ่ยเซียงเป็นฝ่ายมาขอโทษเจ้าด้วยตัวเองล่ะ ควรจะทำอย่างไร จูเหลี่ยนบอกว่าย่อมต้องมีวิธีรับมือ ช่วยให้นางสบายใจ ไม่อย่างนั้นจะยังทำอย่างไรได้อีกเล่า ชุยตงซานจึงยิ่งรู้สึกนับถือพ่อครัวเฒ่ามากกว่าเดิม สมกับเป็นพ่อครัวเฒ่าที่หนักแน่นจริงๆ คำว่าฝึกจิตใจประสบความสำเร็จไม่อาจเอามาใช้บรรยายได้แล้ว แต่ต้องใช้คำว่าฝึกจิตใจจนโชกโชนแล้ว
ตอนอยู่ตรงประตูภูเขา ชุยตงซานถือโอกาสถามเรื่องจุกจิกยิบย่อยของอาจารย์ลู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต ยิ่งเป็นเรื่องเล็กย่อยเท่าไรก็ยิ่งดี หนึ่งคือไม่ทำให้เฉาฉิงหล่างที่เป็นคนรอบคอบเกิดความสงสัย นอกจากนี้เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งเรื่องสองเรื่อง คำพูดสัพเพเหระที่คุยเล่นกัน แน่นอนว่ายากจะทำให้เห็นนิสัยใจคอที่แท้จริงได้ แต่ขอแค่มีมากพอ กลับกลายเป็นว่าจะยิ่งแสดงให้เห็นถึงจิตใจดั้งเดิมได้ดียิ่งกว่าวีรกรรมใหญ่ๆ เสียอีก แล้วนับประสาอะไรกับที่ยามอยู่กับเฉาฉิงหล่าง เดิมทีลู่ไถก็ค่อนข้างจะจริงใจอยู่แล้ว ดังนั้นชุยตงซานจึงขยับเข้าใกล้ ‘ลู่ไถ’ ตัวจริงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
หากโจวจื่อรู้สึกว่าถึงเวลาอันสมควรแล้วลงมืออย่างแท้จริง หลิวไฉผู้ฝึกกระบี่หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้าอะไรนั่น การสยบกำราบแต่กำเนิดของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สองลูก จะเป็นทั้งวิธีการที่ใช้สยบกำราบอาจารย์ ขณะเดียวกันก็ยิ่งเป็นเวทอำพรางตา ถามกระบี่ไม่ได้อยู่แค่ที่กระบี่ เรื่องที่อาจารย์คิดจนเข้าใจกระจ่างมานานแล้ว วันหน้าอาจถึงขั้นเอาภูเขาตะวันเที่ยงมาซ้อมมือ ใช้หนึ่งกระบี่ถามใจคนผู้นี้ ถ้าอย่างนั้น ‘ถานเทียนโจว’ ที่อาศัยกำลังของคนคนเดียวมาควบคุมอยู่เหนือคนทั้ง ‘สกุลลู่ซัวตี้’ ได้ มีหรือจะไม่รู้
ถึงเวลานั้นโจวจื่อผู้นั้นจะต้องทำให้ลู่ไถในอดีตรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด จากนั้นจึงกลายมาเป็นหลิวไฉเซียนกระบี่ในใจของโจวจื่อ ถึงท้ายที่สุดก็ทำให้จิตใจของอาจารย์เจ็บปวดทรมานยิ่งกว่า ความจริงใจทุกอย่าง บุญคุณความแค้นในอดีตที่ผ่านมา ความงดงามน้อยใหญ่ระหว่างคนทั้งสองในปีนั้นล้วนจะต้องกลายมาเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่โจวจื่อสร้างขึ้นเพื่อลู่ไถโดยเฉพาะ เป็นกระบี่เล่มที่เฉียบคมที่สุดอย่างแท้จริงของลู่ไถ จุดที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดเลยก็คือ การใช้หนึ่งพิฆาตหนึ่งในใจของโจวจื่ออาจไม่ใช่การบีบให้หลิวไฉสังหารอาจารย์จริงๆ แต่อาจเป็นจุดที่จิตแห่งมรรคาชี้ไป นั่นคือกายดับมรรคาสลายอย่างที่คนบนภูเขาพูดกัน มองดูเหมือนเป็นเรื่องในบ้านของคนคนหนึ่ง แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องของสองบ้านที่เป็นเพื่อนบ้านกัน แค่ร่างกายและใจคนต้องแบ่งแยกบ้านกันเท่านั้น
น้อยครั้งนักที่ชุยตงซานจะรู้สึกกริ่งเกรงใครสักคนเช่นนี้
เจ้าคนผู้หนึ่งที่กล้าเอาสือโหรวมาเป็นสถานประกอบพิธีกรรม แข่งประลองความคิดกลอุบายกับลู่เฉินที่กล่าวว่า ‘ลู่เฉินเจ้าน่าเบื่อ’ ‘ข้าจะเป็นคนแก้เบื่อให้เอง’ คนที่น่ากริ่งเกรงถึงเพียงนี้ จะต้องแข็งแกร่งว่าสตรีบางคนที่ดีแต่จะใช้ด้ายแดงไม่กี่เส้นเคลื่อนย้ายโชคชะตากระบี่ของหนึ่งทวีปมาขัดเกลามหามรรคาเป็นพันเป็นหมื่นเท่าอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าเรื่องใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ เลิกคิดจะพูดให้ศิษย์น้องเฉาฉิงหล่างฟังไปได้เลย ถึงอย่างไรเฉาฉิงหล่างก็อายุยังน้อย อีกทั้งยังขาดการขัดเกลาที่แท้จริงอยู่อีกมาก
ทว่าแค่ได้ ‘คุยเล่น’ กับเฉาฉิงหล่าง อารมณ์ของชุยตงซานก็ดีขึ้นได้หลายส่วน อยู่ในสายบุ๋นเดียวกัน ภายภาคหน้าจะมีคนมาสืบทอดกิจการ แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนที่เหมาะแก่การแบกรับหน้าที่ยิ่งใหญ่ นี่คู่ควรให้ชุยตงซานคาดหวังยิ่งกว่าใครบนภูเขาลั่วพั่วมีหมัดสูงหนึ่งสองขอบเขต หรือในอนาคตใครจะได้เลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาคนถัดไปเสียอีก
ศิษย์น้องเล็กที่ดูเหมือนว่าแต่ละปีที่ผ่านพ้นไปก็ยิ่งทำให้เก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กเล็กลงเรื่อยๆ ข้างกายผู้นี้ ปีนั้นตอนอยู่บ้านเกิดเป็นเด็กหนุ่มสวมชุดเขียวที่ร่างค่อนข้างผอมบาง ทุกวันนี้กลับเป็นคนหนุ่มลัทธิขงจื๊อที่รูปโฉมงดงามราวกับหยกแล้ว
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่ง นอกจากจวินเชี่ยนแล้ว ถ้าอย่างนั้นแม้แต่ตัวอาจารย์เอง อันที่จริงโชควาสนาด้านสตรีก็ล้วนไม่เลว ต้องบอกว่าไม่เลวมากๆ เลยถึงจะถูก
พอมาถึงรุ่นของเฉาฉิงหล่าง แม้แต่ชุยตงซานก็ไม่กล้าแน่ใจแล้ว เพราะถึงอย่างไรต่อให้โชคด้านสตรีจะดีแค่ไหนก็ต้องฉลาดด้วยไม่ใช่หรือ? ไม่อย่างนั้นหากเป็นตอไม้ทึ่มทื่อเหมือนจั่วโย่ว ต่อให้ผู้เฒ่าจันทราจะขยันมาเยือนถึงบ้านมากแค่ไหน กลับถูกเจ้าทุบด้ายแดงจนเละทุกครั้ง หรือไม่ก็กระชากด้ายแดงไปหาศิษย์พี่ศิษย์น้องสุดแรง แล้วตัวเองยังจะลำพองใจ รู้สึกว่าไม่ว่าเรื่องอะไรตัวเองก็เข้าใจไปเสียหมด คนที่เป็นอาจารย์ คนที่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องอยู่ข้างๆ จะยังทำอย่างไรได้อีกเล่า?
การคุยเล่นระหว่างชุยตงซานกับเฉาฉิงหล่างครั้งนั้น อันที่จริงก็คือการบอกลากับภูเขาลั่วพั่วชั่วคราว
ตอนที่ก้อนเมฆสีขาวก้อนหนึ่งทะยานลมจากไปไกล ก็อดที่จะหันกลับไปมองขุนเขาเขียวน้ำใสเบื้องหลังไม่ได้
ไปแล้วๆ หากมองนานกว่านี้อีกหน่อยคงจะอดใจไม่ไหวกลับไปแทะเมล็ดแตงเพิ่มอีกจริงๆ
ภูเขาบ้านตนมีพ่อครัวเฒ่าและผู้คุมกฎฉางมิ่งอยู่ สามารถวางใจได้ นอกภูเขามีพี่ใหญ่เสี้ยนหยาง ก็สามารถวางใจได้เหมือนกัน
จุดที่หลิวเสี้ยนหยางทำให้ชุยตงซานวางใจอย่างแท้จริงไม่ใช่เพราะขอบเขตผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่มาจากการฝึกกระบี่ในฝัน แต่เป็นเพราะคำที่เขาบอกว่า ‘สามารถมองหลิวไฉอยู่ไกลๆ สักแวบได้ไหม’
ได้เห็นแล้ว แล้วอย่างไร? แน่นอนว่าหลิวเสี้ยนหยางต้องไปฆ่าคนในความฝัน! หลิวเสี้ยนหยางไม่คิดจะถามหาต้นสายปลายเหตุแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ถามถึงค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายว่ามากหรือน้อย ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่สถานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่อ่านตำราอริยะปราชญ์มาจนเต็มอิ่ม หลิวเสี้ยนหยางก็พร้อมจะวางลงไว้ก่อน!
เรื่องใหญ่เป็นตายบางอย่างที่ทำให้คนต้องไปเดินวนอยู่หน้าประตูผี เมื่อผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง เคยลิ้มรสความขมขื่นทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงมาแล้ว จะทำให้คนรู้จักที่จะฉลาดขึ้น
ปีนั้นหลิวเสี้ยนหยางที่อยู่บ้านเกิดก็เคยทำเพื่อสหายไปแล้วครั้งหนึ่ง วันนี้ได้เจอกับเรื่องใหม่ของเพื่อนคนเดิม เขากลับยังคงไม่ฉลาดอยู่อย่างนี้
ชุยตงซานมั่นใจเลยว่าอาจารย์ของตนอย่างเฉินผิงอัน ต่อให้จนถึงทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าหลิวเสี้ยนหยางเป็นคนที่ฉลาดกว่าเขามากมายนัก และบางทียังอาจคิดอย่างนี้ไปชั่วชีวิต
ดังนั้นตอนนั้นชุยตงซานถึงได้เหมือนยืมดีสุนัขก้อนหนึ่งมาจากผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายตรอกฉีหลง ยอมเสี่ยงที่จะโดนอาจารย์ด่า ก็ยังจะต้องจัดการให้หลิวเสี้ยนหยางติดตามสกุลเฉินผู้รอบรู้เดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่โดยพลการให้จงได้
ในฐานะ ‘เซียนเหริน’ ตัวน้อยๆ ที่หลบๆ ซ่อนๆ คนหนึ่ง แน่นอนว่าชุยตงซานก็สามารถทำอะไรได้มากมาย แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจไม่มีเหตุผลพูดได้เต็มปากเต็มคำ เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจว่าถูกต้องตามหลักฟ้าดินเฉกเช่นหลิวเสี้ยนหยางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่สามารถลงมือทำจากจิตใจดั้งเดิมได้อย่างหลิวเสี้ยนหยางที่รู้สึกว่าข้าจะทำอะไร เจ้าเฉินผิงอันพูดห้ามแล้วได้ผลหรือ? เขาแค่ฟังก็พอแล้ว
‘หากคำพูดของข้าใช้ไม่ได้ผลกับเฉินผิงอัน ข้าก็ไม่ใช่หลิวเสี้ยนหยาง เฉินผิงอันก็ไม่ใช่เฉินผิงอันแล้ว’
ต่อให้เป็นชุยตงซานก็จำต้องยอมรับว่า ประโยคที่หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้เอ่ยออกมาจากปากนี้ยอดเยี่ยมน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!