โจวมี่ยิ้มถามว่าบุตรชายเจ้ากลับแจกันสมบัติทวีปไปแล้วหรือ?
หลี่เอ้อยิ้มพลางพยักหน้ารับ บอกว่ากลับไปแล้ว จะเอาแต่เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกไม่ได้ ก็บุตรชายข้าเป็นบัณฑิตนี่นะ
จนถึงตอนนี้หลี่เอ้อกับภรรยาก็ยังคงรู้สึกว่าเรื่องที่เอาออกมาโอ้อวดได้มากที่สุดของบ้านตน ก็คือสถานะบัณฑิตของบุตรชายหลี่ไหว
ส่วนบุตรสาวหลี่หลิ่ว ยามอยู่กับหลี่เอ้อ แน่นอนว่านับแต่เด็กมานางก็คือลูกสาวที่ดีเยี่ยมและรู้ความอย่างถึงที่สุด ทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
เจ้ายอดเขาคลี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ไม่ใช่ว่าหลี่ไหวไม่รู้ความ แต่เป็นเพราะรู้ความเกินไป เพื่อโชคแห่งเซียนบนภูเขาของพี่สาวเขาแล้ว ไม่ว่าคำพูดน่าขนลุกแค่ไหนก็ล้วนพูดออกมาจากปากได้ หนึ่งเพราะยอดเขาสิงโตไม่เคยมีขนบธรรมเนียมเช่นนี้ นอกจากนี้ก็เพราะตอนอยู่นอกภูเขาผู้เฒ่าก่อกำเนิดเคยชินกับคำยกยอบนโต๊ะสุรามานานแล้ว จึงไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนเฒ่ามิอาจรับคำประจบเหล่านั้นได้ แต่เป็นเพราะเจ้าเด็กนั่นเดี๋ยวก็พูดว่า ‘พี่สาวข้ามือไม้งุ่มง่ามแต่จิตใจไม่ชั่วร้าย ต้องมีโชควาสนายิ่งใหญ่แค่ไหนถึงสามารถมาฝึกตนอยู่บนยอดเขาสิงโตแห่งนี้ได้’ เดี๋ยวก็เอ่ยว่า ‘หากพี่สาวของข้าไม่ทันระวังหวังดีทำเรื่องดีๆ พัง อาจารย์ผู้เฒ่าเจ้ายอดเขาแค่มองก็รู้ว่าเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่เล่าเรียนเขียนอ่านเปี่ยมความรู้ ขอท่านโปรดช่วยดูแลนางสักหน่อย จะตีหรือดุด่าสักสองสามคำให้นางอยู่ในกฎในระเบียบก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว’ ก่อกำเนิดผู้เฒ่าได้แต่หัวเราะเฮอๆ ไม่กล้าพูดมากแม้แต่คำเดียว กล้ารับคำหรือ? ไหนเลยจะกล้า
บรรพจารย์ผู้เฒ่าผู้บุกเบิกภูเขาของยอดเขาสิงโตไม่ได้เห็นเหวยไท่เจินเซียนดินก่อกำเนิดเป็น ‘สาวใช้ข้างกาย’ เหมือนอย่างในสายตาของหลี่ไหว นางถึงขั้นใช้งานปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานของหลุมน้ำลู่ตนหนึ่งดั่งบ่าวไพร่ตามแต่ใจปรารถนาด้วยซ้ำ
หลังจากดื่มเหล้ากับพวกหลี่เอ้อสองคนแล้ว โจวมี่ก็มายังศาลาชมทัศนียภาพที่การมองเห็นเปิดกว้างเพียงลำพังแล้วถอนหายใจเบาๆ
“อาจารย์ เรื่องในใต้หล้าที่ทำได้และทำไม่ได้ พวกเราลงมือทำกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากอาจารย์รู้สึกว่าหนทางยาวไกล ศิษย์ก็จะรับหน้าที่นั้นแทน ทำหน้าที่แต่งตั้งอย่างเป็นพิธีการแทนท่าน แต่อย่าลืมส่งคำสั่งศาลบุ๋นที่ทำจากวัสดุสีเขียวนั่นมาให้ศิษย์ด้วยล่ะ”
เนื่องจากมีชื่อแซ่เดียวกับปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่ง จดหมายที่อริยะลัทธิขงจื๊อซึ่งคิดว่าตัวเองนิสัยดีมากผู้นี้ส่งไปให้ศาลบุ๋น เนื้อความจึงอยู่ในกรอบยึดหลักเกณฑ์ เพียงแต่ว่าช่วงท้ายของจดหมายที่ส่งไปให้อาจารย์ตัวเอง ขาดอีกนิดเดียวก็จะถือว่าไม่ให้ความเคารพได้แล้ว
‘หากแม้แต่เรื่องนี้อาจารย์ยังทำไม่ได้ ศิษย์ก็คงต้องเอาหลักการอริยะปราชญ์ที่อาจารย์ถ่ายทอดให้คืนกลับไปให้อาจารย์แล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ยังจะลาออกจากตำแหน่งเจ้าขุนเขา ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อโจวมี่ต้องการไปเจอหน้าโจวมี่มหาสมุทรแห่งความรู้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นั้นดูสักหน่อย ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วสองคนก็เหลือได้เพียงคนเดียวเท่านั้น’
ทางฝั่งของเรือนสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์ ในที่สุดนายท่านใหญ่จากต่างถิ่นสองคนก็ไสหัวไปได้เสียที
เจ้าคนที่ชื่อเฉินหลิงจวินผู้นั้น ถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่ก้มหัวยอมรับผิด แล้วยังวางท่าว่า ‘พวกเจ้ายอมรับผิดแล้วแก้ไขเสียก่อน แล้วข้าผู้อาวุโสค่อยขอโทษ’ การที่เรือนสายฟ้ายอมปล่อยคนก็เพราะว่าหลี่หยวนหลงถิงโหวได้ส่งจดหมายลับมาเป็นฉบับที่สอง บนจดหมายมีแค่ประโยคเดียว ให้หน้าแล้วอย่าไม่ไว้หน้า หากพี่น้องคนสนิทของข้าต้องกินข้าวแดงในตะรางบ้านพวกเจ้าอีกมื้อหนึ่ง ข้าผู้อาวุโสก็จะทำให้เรือนสายฟ้าของเจ้ากลายเป็นคุกน้ำแห่งหนึ่ง!
เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินหลิงจวินยังถูกปิดหูปิดตา รู้สึกแค่ว่าที่ตัวเองพร่ำอธิษฐานอยู่ในใจ ขอให้สวรรค์ช่วยคุ้มครอง ในที่สุดก็สำแดงอิทธิฤทธิ์แล้ว
ชื่อเสียงความองอาจของทั้งชาติล้วนสูญสิ้นที่เรือนสายฟ้า
แต่ในที่สุดก็ไม่ต้องกินข้าวแดงในคุกอย่างระมัดระวังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นหากวันใดมีรสชาติของเนื้อติดมาสักเล็กน้อย เฉินหลิงจวินก็คงรู้สึกว่านั่นคือข้าวหัวขาดแล้ว แล้วพอหันไปมองสหายรักข้างกายที่กำลังสวาปาม ความเศร้าก็พลันผุดขึ้นในใจ รู้สึกเพียงว่าตัวเองทำให้สหายรักต้องมาเดือดร้อนไปด้วย
ตอนนี้กลับดีแล้ว ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ เทพเซียนผู้เฒ่าในเรือนสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์กลุ่มนั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเรื่องความเสียหายของสองตัวอักษร ‘เรือนเทพ’ กับตน กลับยังจับกลุ่มกันมากลุ่มใหญ่ พาตนส่งลงจากภูเขาอย่างปรองดองอีกด้วย
เฉินหลิงจวินแอบเอาเงินเทพเซียนที่พกติดตัวทิ้งไว้ในคุก เพียงแค่เก็บใบไม้สีทองและเงินก้อนส่วนหนึ่งที่รับประกันได้ว่าเขากับสหายรักจะไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องการกินอยู่เอาไว้ เรือนเทพสายฟ้าทำอะไรไม่พิถีพิถัน แต่เขาเฉินหลิงจวินกลับเป็นคนพิถีพิถันคนหนึ่ง
พอลงมาจากภูเขา เฉินหลิงจวินก็อดรู้สึกอัดอั้นไม่มีความสุขไม่ได้
สารถีหนุ่มคนนั้นเอ่ยว่า “เทพเซียนผู้เฒ่าของเรือนสายฟ้าล้วนไม่ยอมรับผิด พวกเราสองพี่น้องก็ไม่ยอมรับผิดเหมือนกัน ก็ถือเสียว่าหายกันแล้ว”
เฉินหลิงจวินมองไปยังภูเขาอิงเอ๋อร์ไกลๆ แวบหนึ่ง “ล้วนเป็นคนที่เป็นเทพเซียนกันแล้ว แค่ยอมรับผิดแล้วแก้ไขให้ถูกต้อง มันยากขนาดนั้นเชียวหรือ?”
สารถีหนุ่มยิ้มเอ่ย “เทพเซียนหน้าใหญ่ หรือว่าเป็นชาวบ้านที่หน้าใหญ่กันล่ะ น้องชายเอ๋ยน้องชาย เจ้าช่างโง่จริงๆ เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ”
เฉินหลิงจวินหัวเราะฮ่าๆ ก่อนกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ช่างแม่งหน้าตามันเถอะ”
สารถีหนุ่มกล่าว “ไปดื่มเหล้าดีๆ กัน จะไปสนใจกับมารดามันทำไม จำไว้ว่าต้องเลือกเอาแพงๆ หน่อย ไอ้ที่กินดื่มอย่างประหยัด ขี้เหนียวเค็มเป็นเกลือนั่น ไม่ใช่นิสัยของพวกเราสองคน”
ตรงนครแห่งหนึ่งริมทะเล เฉินหลิงจวินพบหอสุราแห่งหนึ่งแล้วจึงสั่งสุราอาหารมาโต๊ะใหญ่ เฉินหลิงจวินดื่มสุราร่วมกับพี่น้องคนสนิทที่ร่วมทุกข์ยากมาด้วยกัน แล้วก็พากันเมามาย สองพี่น้องต้องใช้กลิ่นอายของสุราชำระล้างกลิ่นอายความอัปมงคลเสียหน่อย
คนหนุ่มที่เป็นสารถีผู้นั้นมีนามว่าป๋ายหมาง (เหนื่อยเปล่า) ชื่ออาจจะแปลกไปสักหน่อย มีครั้งหนึ่งเฉินหลิงจวินดื่มจนเมาหนักจึงพูดว่าชื่อนี้ไม่ค่อยเป็นมงคลสักเท่าไร ตบอกรับรองกับสหายรักว่ารอให้พวกเรากลับบ้านเกิดด้วยกัน จะให้นายท่านของข้าช่วยตั้งชื่อให้เจ้าอย่างแน่นอน ตอนนั้นเฉินหลิงจวินยืนอยู่บนม้านั่ง ยกนิ้วโป้งขึ้น บอกว่าด้านการตั้งชื่อของนายท่านข้า เป็นอย่างนี้!
แม้ว่าจะเป็นคนขับรถอายุน้อยคนหนึ่ง แต่กลับเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามตัวจริง ท่องยุทธภพมาจนเคยชินแล้ว
เฉินหลิงจวินคบหาสหายไม่ได้ดูที่ขอบเขต แล้วนับประสาอะไรกับที่บ้านเกิดของเขา เรื่องอย่างขอบเขตนี้อย่าได้เอาจริงเอาจัง เป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก
ฟ้าดินกว้างใหญ่ ความถูกชะตาใหญ่ที่สุด
วันนี้ดื่มเหล้ากับสหายรักป๋ายหมางที่ร้านเหล้า สั่งอาหารจานเด็ดของที่ร้านมาโต๊ะใหญ่ ป๋ายหมางเอ่ยประโยคที่ฟังแล้วสุภาพไพเราะ บอกว่าหาได้ยากที่ ‘วันนี้ไม่มีเรื่องไม่มีราว’ เหมาะจะดื่มสุราเลิศรสเป็นที่สุด
อะไรที่เรียกว่าสุราเลิศรส ก็ต้องสุราราคาแพงอย่างไรเล่า เฉินหลิงจวินชอบมาก ป๋ายหมางก็มีเรื่องนี้แหละที่ดีที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเอาแต่ใจ ความจริงใจบนร่างของป๋ายหมางที่ราวกับบอกว่า ‘พี่น้องเช่นข้ากินเปล่าดื่มเปล่าอยู่กับเจ้าทุกวันเพราะเอาเปรียบเจ้าหรือ เป็นไปไม่ได้ เป็นเพราะเห็นเจ้าเป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปีต่างหาก’ เฉินหลิงจวินชอบมากจากใจจริง พี่น้องหลี่หยวนผู้นั้น ความไม่สมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวในความงดงาม ก็คือบนร่างขาดมาดของวีรบุรุษส่วนนี้ไป
วันนี้เฉิงหลิงจวินดื่มจนเมาอีกแล้ว เพียงแต่หาได้ยากที่ไม่ได้คุยโวกับป๋ายหมาง กลับกันเขายังรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ยิ่งพูดกลายเป็นว่าเสียงยิ่งแผ่วเบา “เมื่อก่อนข้ามักจะชอบฟังถ้อยคำไพเราะ ฟังคำพูดที่ไม่น่าฟังไม่ได้แม้แต่ครึ่งคำ ภายหลังได้มาเจอกับนายท่าน เขาก็บอกกับข้าว่า ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ดีหรือไม่ดีก็ต้องฟัง อย่าเก็บเอามาคิดเป็นจริงเป็นจังมากเกินไปนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่คำน่าฟังสิบประโยค ส่วนใหญ่ก็มักจะถูกคำร้ายๆ ประโยคเดียวฆ่าตายอยู่เสมอ ดังนั้นทุกครั้งที่ได้ยินคนอื่นพูดเพราะ ก็ให้ข้าเหลือค้างไว้ก่อนเก้าส่วน ถึงเวลานั้นเมื่อสะสมถ้อยคำดีๆ ได้มากพอแล้วก็สามารถรอให้คำไม่น่าฟังมาเป็นแขกถึงบ้านได้แล้ว จะไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย”
สารถีหนุ่มส่ายหน้า “น้องหลิงจวินเอ๋ย คนบนโลก น้อยนักที่จะมีคนที่คิดคำนวณบัญชีอย่างชัดเจน รู้จักเสริมเส้นทางหัวใจด้วยตัวเองเช่นนี้ คนส่วนใหญ่มักจะชอบเลือกฟังแต่คำดีๆ ไม่อย่างนั้นก็เป็นพวกสูงศักดิ์ร่ำรวยที่อยู่ว่างกินอิ่มไม่มีอะไรทำถึงได้เลือกอะไรที่ไม่น่าดูมาดู”
เฉินหลิงจวินยิ้มเอ่ย “พูดถึงข้าหรือ”
สารถีหนุ่มคลี่ยิ้ม “พูดถึงตัวข้าเองด้วย พวกเราสองพี่น้องต่างก็เป็นเหมือนกัน จะดีจะชั่วก็ยังรู้จักเหตุผล ทำได้หรือไม่ ดื่มเหล้าอิ่มหนำแล้วค่อยว่ากัน มัวอึ้งอยู่ทำไม กลัวว่าข้าจะดื่มจนเจ้ายากจนเลยหรือไง ข้ายกก่อน เจ้าก็ยกตามมาด้วย!”
เฉินหลิงจวินรีบดื่มเหล้าในชามให้หมดพร้อมกับป๋ายหมาง
เฉินหลิงจวินถอนหายใจอย่างอดไม่อยู่ วันนี้อารมณ์ของเขาออกจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย อยู่ดีๆ เฉินหลิงจวินก็คิดถึงพี่ชายที่ภูเขาหวงหูขึ้นมา จึงเอ่ยว่า “ป๋ายหมาง วันหน้าไปเป็นแขกที่บ้านข้า ข้าจะแนะนำสหายคนหนึ่งให้เจ้ารู้จักโดยเฉพาะ คือนักพรตเฒ่าแซ่เจี่ยคนหนึ่ง พูดจาน่าสนใจ แล้วยังดื่มเหล้าเก่ง เป็นคนที่คุยกับข้าถูกคอที่สุดในบ้านเกิด”
ป๋ายหมางยิ้มกล่าว “เจี่ย? เจี่ยที่แปลว่าปลอมน่ะหรือ? ปลอมแล้วล่ะมั้ง?”
เฉินหลิงจวินหัวเราะหึหึ “พูดแบบนี้ไม่มีการศึกษาแล้วนะ แต่ในฐานะคนในยุทธภพ อักษรตัวใหญ่ๆ กลับรู้จักแค่ไม่กี่ตัว ก็ไม่ถือว่าน่าอายสักเท่าไร แต่เจ้าต้องยกหนึ่งชาม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!