แท่นเติงหลงที่ตอนนี้ยังคงไม่อยู่บนสนามรบของนครมังกรเฒ่าชั่วคราว หวังจูฟื้นคืนกำลังกลับมาได้หลายส่วนแล้ว สามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้ว ชุดคลุมอาคมบนร่างของนางตัวนี้มีลักษณะของชุดคลุมมังกรยุคบรรพกาล มีความต่างจากชุดคลุมมังกรของจักรพรรดิในยุคหลังอยู่ไม่น้อย
เคยเป็นทะเลเมฆอาวุธกึ่งเซียนที่อยู่เหนือนครมังกรเฒ่า บวกกับการหลอมรวมเข้ากับคราบร่างหลังจากเดินลงน้ำ จึงกลายมาเป็นอาวุธเซียนที่สมชื่อชิ้นหนึ่ง
เด็กชายชุดเหลืองที่นั่งเหม่ออยู่ตรงขั้นบันไดพลันลุกขึ้นยืน พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หม่าขู่เสวียน! โปรดหยุดด้วย!”
นอกจากหม่าขู่เสวียนที่บนไหล่มีแมวตัวหนึ่งนั่งยองอยู่ ยังมีซู่เตี่ยนสาวใช้ข้างกาย รวมไปถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกคนหนึ่งที่หม่าขู่เสวียนรับมาเมื่อหลายปีก่อน และเขาก็ตั้งชื่อให้เช่นกัน วั่งจู่
เด็กชายชุดเหลืองไม่พอใจเรื่องนี้มากที่สุด วั่งจู่? (ลืมบรรพบุรุษ) นี่จะไม่คล้องเสียงกับหนึ่งในนามแฝงของเจ้านายข้าอย่างชื่อ ‘หวังจู’ หรอกหรือ?
หม่าขู่เสวียนยิ้มถาม “สัตว์เลื้อยคลานน้อย ปีนั้นตอนอยู่ในตรอกหนีผิงเจ้าก็เอาแต่คลานไปทั่ว กว่าจะพูดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จงรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าให้ดี อย่าเอาแต่รนหาที่ตาย”
เด็กชายชุดเหลืองเอ่ย “จะตีงูก็ต้องดูเจ้าของ”
หม่าขู่เสวียนมองงูสี่ขาที่บนหน้าผากมีเขางอกของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต
ฝ่ายหลังถอยหลังไปหนึ่งก้าว เท้าหลังยันอยู่บนขั้นบันได
หวังจูที่นั่งอยู่บนชั้นบนสุดของขั้นบันไดโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งตบให้เจ้าเศษสวะที่แม้แต่จะเฝ้าประตูก็ยังทำไม่ได้กระเด็นออกไป หลุบตาลงต่ำมองหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา “มาทำอะไรที่นี่?”
หม่าขู่เสวียนเพิ่งจะเตรียมยกเท้าก้าวขึ้นมาบนแท่นเติงหลง หวังจูก็หรี่ตาลง “คิดให้ดีก่อนล่ะ”
หม่าขู่เสวียนไม่ได้กลัวนาง ก็แค่มีเรือนกายขอบเขตบินทะยาน ไม่ได้มีตบะขอบเขตบินทะยานเสียหน่อย เขาหม่าขู่เสวียนถูกมองเป็นบุคคลที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่ามาโดยตลอด อันที่จริงฝีมือในการรักษาชีวิตรอดย่อมเป็นสิ่งที่เขาถนัดมากที่สุด
เพียงแต่หม่าขู่เสวียนไม่ยินดีจะทำให้นางโกรธ ตอนนี้เดิมทีหวังจูก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลจะทำให้อารมณ์ของนางเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้นหม่าขู่เสวียนจึงเงยหน้ามองนางอยู่อย่างนั้น ถามนางว่า “ข้าจะพยายามช่วยเจ้ากอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา แต่ก็พูดได้แค่ว่าจะพยายามเท่านั้น”
ใบหน้าหวังจูเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา
หนึ่งในสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง คำพูดคำจากลับใหญ่โตยิ่งกว่าหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเสียอีก
หม่าขู่เสวียนเพียงแค่ยิ้มบางๆ “ไม่ได้บอกว่าจะสังหารเฟยเฟยสักหน่อย ข้าคนนี้ไม่มีนิสัยชอบเพ้อฝันมากที่สุด”
หนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโจวเสินจือนั้น ถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่งฆ่าตายทั้งเป็น
แน่นอนว่านี่เกี่ยวข้องกับที่ถ้ำซานสุ่ยที่โจวเสินจืออยู่ต้องรับศึกใหญ่ติดต่อกันหลายครั้งอย่างมากด้วย ทว่าการเข่นฆ่าระหว่างขอบเขตบินทะยาน เอาชนะฝ่ายตรงข้ามกับสังหารฝ่ายตรงข้ามได้นั้น ความหมายต่างกันมาก มากเหลือเกิน
เฟยเฟยเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้นั่งบัลลังก์สิบสี่แห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเช่นกัน หม่าขู่เสวียนไม่ได้โง่เสียหน่อยถึงจะได้พาตัวไปตายที่สนามรบ แค่หาโอกาสทักทายอยู่ไกลๆ ก็พอแล้ว
สนามรบในทุกวันนี้ บุคคลบางส่วนที่ซิ่วหู่และโจวมี่เก็บมาใส่ใจ เกินครึ่งคือหากลงมือหรือหากปรากฏตัวก็ล้วนต้องตาย
หวังจูแห่งตรอกหนีผิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็ไม่ใช่เพิ่งจะโดนกระบองของหยวนโส่วฟาดมาอย่างเต็มแรงหรอกหรือ?
อันที่จริงทุกวันนี้หม่าขู่เสวียนถูกคนของนครมังกรเฒ่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหู บางคนก็รู้สึกว่าในเมื่อเขาเป็นหนึ่งในตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า อีกทั้งยังสามารถออกคำสั่งให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปโจมตีม่านฟ้าได้ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะเข่นฆ่าอยู่ในแนวรบเส้นแรกของนครมังกรเฒ่า สร้างคุณความชอบที่สอดคล้องกับสถานะของตัวเอง แล้วก็มีบางคนที่รู้สึกว่าในฐานะที่หม่าขู่เสวียนคืออันดับหนึ่งของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์แห่งแจกันสมบัติทวีป เขามีนิสัยสันโดษและเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป ควรจะเอาอย่างเซียนกระบี่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่กล้าถามกระบี่ต่อผู้แข็งแกร่งครั้งแล้วครั้งเล่า
หากไม่ได้ยินเองกับหู โดยทั่วไปแล้วหม่าขู่เสวียนจะไม่ค่อยถือสานัก มีอยู่ครั้งหนึ่งอยู่ที่นครนอกอันเป็นที่ตั้งจวนอ๋องเจ้าเมืองนครมังกรเฒ่า บังเอิญได้ยินเข้าจริงๆ เขาก็แค่ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ต่อหน้าคนพูดว่า ‘ตำแหน่งหนึ่งในสำรองสิบคนไม่ได้มีค่าเสียหน่อย ข้ายกให้เจ้า เจ้าก็ไปตายซะเถอะ’
หวังจูไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่หันหน้าไปมองทางทิศเหนือ
ตลอดทั้งบริเวณโดยรอบอาณาเขตของขุนเขาใต้ วานรย้ายภูเขา สุนัขไล่ภูเขา มัลละผ้าเหลือง มัลละเกราะเงินของสำนักสายยันต์ และยังมีหุ่นเชิดที่อาจารย์กลไกสำนักโม่สร้างขึ้น ยังคงพากันสร้างเส้นแนวรบชั้นแล้วชั้นเล่าขึ้นมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ขอแค่ราชวงศ์ต้าหลียังมีเงิน อีกทั้งได้อุตรกุรุทวีปมาคอยช่วยเหลือ ดังนั้นทั้งกำลังคนและทรัพยากรจึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
สร้างป้อมปราการแข็งแกร่งกักตุนเสบียง? ไม่จำเป็น ยามที่นครมังกรเฒ่าถูกข้าศึกยึดครอง จะไม่ทิ้งของสิ่งใดไว้ให้เผ่าปีศาจแม้แต่ชิ้นเดียว จะมีแต่ซากปรักที่ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น
หลังจากนั้นต่อให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจจะบุกรุดหน้าไปถึงตีนเขาของขุนเขาใต้ ก็จะยังเป็นเช่นนี้
หม่าขู่เสวียนเพียงแค่มองสตรีที่เย็นชาผู้นั้นอย่างสงบนิ่ง
ดีมาก ปีนั้นที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู นางก็ไม่เหมือนใครที่สุดแล้ว ทุกวันนี้ก็โชคดีที่นางยังคงเป็นเช่นนี้
นางอยู่ในตรอกหนีผิง เขาอยู่ในตรอกซิ่งฮวา ไม่ได้พบเจอกันบ่อยๆ จำนวนครั้งที่มากที่สุดก็คือทุกวันยามเช้าตรู่ ข้างบ่อโซ่เหล็กแห่งนั้น เห็นนางแสร้งทำเป็นตักน้ำอย่างเปลืองแรงก็จะรู้สึกว่านางช่างน่ารักเหลือเกิน บางครั้งนางจะแอบนอนขี้เกียจ จึงออกมาตักน้ำสายหน่อย เขาก็จะนั่งยองรอนานอีกหน่อย สุดท้ายก็จะได้เจอหน้านาง
หม่าขู่เสวียนพลันใช้เสียงในใจถามว่า “อิ่นกวานลำดับที่สิบเอ็ดผู้นั้นคือคนที่เจ้าผูกพันธะสัญญาด้วยอย่างแท้จริงใช่หรือไม่?”
ดูเหมือนว่าอารมณ์ของหวังจูจะดีขึ้นโดยพลัน นางจึงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เมื่อก่อนไม่ได้ฆ่าเจ้าให้ตาย วันหน้าก็ไม่แน่แล้วนะ”
……
ใบถงทวีป
สำนักใบถงจับขังผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ไว้กลุ่มใหญ่ ทุกคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ในระดับสูงสุดของสำนักใบถงเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
หากเป็นคนหนุ่มสาวที่ไม่โดดเด่นมากพอ ล้วนตายหมดแล้ว อีกทั้งยังตายด้วยน้ำมือของบรรพจารย์ ผู้ถวายงานและเค่อชิงในศาลบรรพจารย์บ้านตนทั้งหมด ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำอธิบายให้กับกระโจมเจี่ยจื่อ
บอกว่าจับขังเป็นนักโทษ แน่นอนว่าเป็นความจริง ไม่ขาดการลงทัณฑ์ของตระกูลเซียน เพียงแต่ว่าหกคนในนั้นที่คุณสมบัติดีที่สุดถูกแยกไปจับขังอยู่ในซากปรักของถ้ำสวรรค์อู๋ถงที่ปริแตกของสำนักใบถง
หลี่หวานย่ง ฉินสุ้ยหู่ ตู้เหยี่ยน อวี๋ซิน ฟู่ไห่จู่ และยังมีคนต่างถิ่นอีกคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักใบถง หวังซือจื่อ ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทอง อีกทั้งอีกไม่นานก็จะฝ่าทะลุคอขวดอยู่ที่นี่
คนหนุ่มสาวเหล่านี้ก็คือ ‘กากเดนลูกศิษย์’ ของสำนักใบถงที่ตอนนั้นยืนหยัดจะขอให้จั่วโย่วอยู่ต่อ
แม้แต่หลี่หวานย่งที่ตอนนั้นจิตแห่งกระบี่เกือบจะแหลกสลายเพราะจั่วโย่วก็ยังเลือกทำเช่นนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!