สรุปตอน บทที่ 724.3 วิดน้ำทั้งทวีปให้แห้งเพื่อจับปลา – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 724.3 วิดน้ำทั้งทวีปให้แห้งเพื่อจับปลา ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ความคิดของชุยฉานดูเหมือนว่าจะบรรเจิดโลดแล่นไปไกลอยู่เสมอ แต่ก็เหมือนกับว่าสามารถเอื้อมมือคว้าไปสัมผัสได้ทุกครั้ง เมื่อร้อยปีก่อน หากชุยฉานบอกว่าตนเองต้องการอาศัยกองกำลังของหนึ่งแคว้นสร้างกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งที่สองขึ้นมาในใต้หล้าไพศาล ใครบ้างจะไม่รู้สึกว่าเป็นคำพูดของคนเพ้อฝันปัญญาอ่อน? ใครเล่าจะเห็นเป็นจริงเป็นจัง? ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ ความฝันอันงดงามของชุยฉานได้กลายเป็นจริงแล้ว และจุดที่ชุยฉานทำให้คนรู้สึกว่ามิอาจใกล้ชิดได้มากที่สุดก็ไม่ได้มีเพียงแค่ซิ่วหู่ผู้นี้เฉลียวฉลาดเกินไป ยังเป็นเพราะทุกสิ่งที่เขาคิดเขาฝัน เขาไม่เคยนำไปพูดให้ใครฟังแม้แต่ครึ่งคำ
ชุยฉานมีเรื่องงดงามอยู่สามเรื่อง เล่นหมากล้อมเมฆหลากสีกับเจ้าแห่งนครจักรพรรดิขาวเป็นเพียงเรื่องหนึ่งในนั้นเท่านั้น
การประชันด้านศาสตร์ของการคำนวณครั้งหนึ่งของชุยฉาน ยังเคยเอาชนะบรรพบุรุษเปิดขุนเขาของสำนักคำนวณได้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าเหตุใด บรรพจารย์สำนักคำนวณที่ตำแหน่งในเมธีร้อยสำนักอยู่ท้ายปลายแถว แต่จิตใจกลับสูงกว่าแผ่นฟ้าผู้นั้น แม้ว่ารากฐานมหามรรคาจะแพ้ให้กับคนนอกคนหนึ่ง แต่กลับมีความสุขเบิกบานใจอย่างมาก บอกกับตนเองว่า ‘ข้าได้สิบนี้ ใต้หล้าเพียงพอแล้ว’ จนถึงทุกวันนี้นี่ก็ยังเป็นคดีใหญ่ที่ปิดไม่ลง เพราะแม้แต่ฝ่ายในของสำนักคำนวณก็ยังไม่รู้ว่า ‘สิบ’ นี้หมายความว่าอะไรกันแน่
และยังมีก่อนที่ชุยฉานจะทรยศออกจากสายเหวินเซิ่ง เขายังสละตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษา รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นที่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองทิ้งไปพร้อมกันในคราเดียว ไม่อย่างนั้นหากทำไปตามลำดับขั้นตอน อีกร้อยปีให้หลังแม้กระทั่งตำแหน่งเจ้าลัทธิศาลบุ๋นก็ยังสามารถลองช่วงชิงมาได้ น่าเสียดายที่สุดท้ายชุยฉานเลือกจะเดินบนเส้นทางที่ตกอับอย่างถึงที่สุด เป็นสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่งที่ออกท่องไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง จากนั้นค่อยไปเป็นราชครูต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปที่กลายเป็นเรื่องตลกขำขันให้แก่คนทั้งใต้หล้า เพียงแต่ว่าความลับใหญ่เทียมฟ้าเรื่องนี้ เนื่องจากเกี่ยวพันไปถึงฝ่ายในระดับสูงของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง จึงแพร่ไปไม่เป็นวงกว้าง แค่รู้กันเฉพาะคนบนยอดเขาเท่านั้น
น่าเสียดายก็แต่ล้วนเป็นดั่งอดีตที่เหมือนเมฆหมอกจางหายไปหมดแล้ว
แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีคนอยู่บางส่วนที่รู้สึกจากใจจริงว่าหากใต้หล้าไพศาลขาดซิ่วหู่ผู้นี้ไป ก็จะสูญเสียรสชาติดีๆ ไปไม่น้อย
ซิ่วไฉเฒ่าพลันถามขึ้นว่า “สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุดระหว่างฟ้าดินนี้คืออะไร?”
สวี่จวินส่ายหน้า “ไม่รู้ คือคำถามที่ลูกศิษย์คนแรกในอดีตถามอาจารย์ของเขาหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าถามเองตอบเอง “คือคุณธรรม”
สวี่จวินพยักหน้ารับ “เห็นด้วยอย่างยิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอีกว่า “มีแค่จุดด่างพร้อยเล็กน้อย แล้วอย่างไรเล่า”
สวี่จวินยิ้มกล่าว “ก็คือหลักการเช่นนี้”
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าเอ่ยว่า “ไปแล้วๆ”
สวี่จวินประสานมือคารวะ
ซิ่วไฉเฒ่าจึงต้องประสานมือคารวะกลับคืน
อริยะปราชญ์ผู้เฒ่าผู้อาวุโสเหล่านี้มักจะชอบทำตัวเกรงใจมีมารยาทกับตนเช่นนี้เสมอ ถือเป็นความเสียเปรียบเพราะไม่มียศซิ่วไฉนั่นเอง
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเสียงในใจกับเฉินฉุนอันหนึ่งประโยค บอกให้ช่วยพาตนข้ามทวีปไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ตนจะเอ่ยประโยคหนึ่งกับเจ้าคนตัวโตของภูเขาสุ้ยซานสักหน่อย เสร็จแล้วช่วยกระชากตนกลับมาด้วย
อยู่ตรงหน้าประตูภูเขาของภูเขาสุ้ยซาน ซิ่วไฉเฒ่าเซสะดุดล้มหัวทิ่มไปด้านหน้า ล้มคว่ำหน้าทิ่มดิน
เทพเกราะทองนั่งอยู่บนขั้นบันไดยิ้มเอ่ย “โอ้ พิธีการยิ่งใหญ่ เมื่อก่อนที่ติดหนี้ภูเขาสุ้ยซานของข้าไว้บานเบอะ ก็จะถือเสียว่าเจ้าใช้ครบหมดแล้วก็แล้วกัน”
พอลุกขึ้นมาได้ก็สะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง ซิ่วไฉเฒ่าก้าวยาวๆ มาถึงตีนเขา ยืนอยู่ข้างกายเทพภูเขาของภูเขาสุ้ยซาน คนหนึ่งยืนกับคนหนึ่งนั่ง ความสูงจึงไม่ต่างกันเท่าไร
ซิ่วไฉเฒ่าเงยหน้ามองไปบนยอดเขาของภูเขาสุ้ยซาน สีหน้าเคร่งขรึม
เทพภูเขาร่างกำยำยิ้มเอ่ย “ทำไม มีเรื่องจะมาขอร้องคนอื่นอีกแล้วหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าถูมือแล้วค่อยยกมือขึ้นมาถูหน้า เอ่ยว่า “ขอร้องคนอื่นเหมือนกลืนกระบี่สามฉื่อ ยากนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องอย่างการขอร้องคนอื่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าถนัดอยู่แล้ว ยากบนความยากเข้าไปอีก”
เทพภูเขารู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง หากขอร้องปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้วมีประโยชน์ อีกฝ่ายก็คงไม่ใช่ปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้วจริงๆ
ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ามาถาม “ก่อนหน้านี้ได้เจอตาเฒ่า ได้เอ่ยประโยคว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งหรือไม่?”
เทพภูเขาส่ายหน้า “ไม่ใช่เจ้าสักหน่อย ไม่ได้เอ่ยสักคำเดียว”
ซิ่วไฉเฒ่าทำสีหน้าคลางแคลงใจ เห็นเจ้าคนตัวโตมีมาดเที่ยงตรงไม่แพ้ให้กับอริยะปราชญ์ที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลบุ๋นเลย ก็ได้แต่เอ่ยอย่างเสียดายว่า “ไม่หัวไวเอาเสียเลย พวกเราสองพี่น้องพูดคุยกันมามากขนาดนั้น หากข้าเป็นเจ้า ป่านนี้ก็คงเอาโต๊ะน้ำชา เอาน้ำชาไปวางไว้บนยอดเขานานแล้ว จากนั้นค่อยถามตาเฒ่าว่าต้องการให้ข้าไปนวดศีรษะให้หรือไม่ พร้อมตบอกเสียงดังสนั่นฟ้า ตาเฒ่าเจ้าพูดมาแค่คำเดียว ต่อให้ขึ้นภูเขาดาบลงทะเลเพลิง เทพน้อยอย่างข้าย่อมเห็นหน้าที่มาเป็นอันดับหนึ่ง เมตตาธรรมอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง พร้อมลงมืออย่างไม่มีเกี่ยงงอน หากฟันอีกฝ่ายไม่ตาย ข้าก็จะหิ้วหัวมาพบหน้า…”
เทพภูเขาหน้าดำทะมึน “เจ้าคิดว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ไม่ได้ยินคำพูดเหลวไหลของเจ้าจริงๆ รึ?”
เมื่อก่อนมีกันอยู่แค่สองคน ซิ่วไฉเฒ่าจะพูดจาส่งเดชอย่างไรก็ได้ แต่ตอนนี้ปรมาจารย์มหาปราชญ์นั่งอยู่บนยอดเขา เขาในฐานะเจ้าของภูเขาสุ้ยซานก็ไม่กล้าทำตัวน้ำเข้าสมองเป็นเพื่อนซิ่วไฉเฒ่าจริงๆ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ไม่ชอบล้อเล่นกับใครหรอกนะ
หากยังอยู่ในกฎเกณฑ์ หลี่เซิ่งกลับพอจะพูดหยอกล้อได้สักคำสองคำ
ส่วนหย่าเซิ่งนั้นขึ้นชื่อเรื่องความระมัดระวังรอบคอบอยู่แล้ว
อันที่จริงนอกจากซิ่วไฉเฒ่าแล้ว บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของระบบสายบุ๋นส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนจริงจังเอาการเอางานกันทั้งนั้น
ซิ่วไฉเฒ่ากระโดดตบหัวเขาดังป้าบ “บังอาจนัก! ถึงขั้นกล้าดูแคลนมรรคกถาอันไร้ที่สิ้นสุดของปรมาจารย์มหาปราชญ์พวกเรา! ตาเฒ่ายกพู่กันเขียนบทความกับวางพู่กันขยับมือ มีอะไรบ้างที่ไม่ไร้ศัตรูทัดเทียม ทั้งบุ๋นและบู๊ล้วนเป็นเอกไม่มีใครเทียบได้ บุ๋นมีอันดับหนึ่ง บู๊ไร้อันดับสอง ต่อให้เป็นเต๋าเหล่าเอ้อผู้นั้นก็ยังต้องรู้สึกตะขิดตะขวงใจ อยากจะชมตาเฒ่าของพวกเราก็กระดากปาก บนม้วนภาพขุนเขาสายน้ำวิหคบุปผาของเฉาหรงก็เลยทำหลบๆ ซ่อนๆ วกวนอ้อมค้อม…มารดาเถอะ ก็เพราะว่าตอนนั้นเฉาหรงไม่ได้มาขอให้ข้าประทับตรา ไม่อย่างนั้นข้าคงซื้อหนึ่งแถมหนึ่งไปให้แล้ว ประทับตราคำว่า ‘เชิญนั่งลง’ ไปก่อน จากนั้นค่อยประทับตรา ‘เจ้าไม่ผ่านเกณฑ์’ ลงไปด้านข้างตราประทับของเต๋าเหล่าเอ้อ…ครั้งนี้ตาเฒ่าลงมือ มีทั้งพระเดชและพระคุณ เป็นทั้งอริยะปราชญ์และวีรบุรุษในคนเดียวกัน ฝีมือยิ่งใหญ่ มีกำลังยิ่งใหญ่ มีความหมายยิ่งใหญ่!”
เทพภูเขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ดูท่าเรื่องที่ซิ่วไฉเฒ่าจะมาขอร้องในวันนี้คงไม่ใช่เล็กๆ ไม่อย่างนั้นในอดีตเวลาพูดอะไรต่อให้หนังหน้าจะหล่นลงบนพื้น จะดีจะชั่วก็ยังหล่นอยู่ตรงปลายเท้า คิดจะเก็บขึ้นมาแค่ใช้เท้าเกี่ยวหนังหน้าก็กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมได้แล้ว ทว่าวันนี้ถือว่าเสียหน้าจนสิ้นแล้ว ทั้งชมคนอื่นและชมตัวเองไปในคราวเดียว คุณความชอบคุณความเหนื่อยยากล้วนพูดขึ้นมาก่อน
แล้วร่างของซิ่วไฉเฒ่าก็เซวูบถูกกระชากขึ้นไปยังยอดเขาโดยตรงจริงๆ ดูท่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็คงทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
อาจารย์ผู้เฒ่าที่อยู่บนยอดเขาเอ่ยว่า “ซิ่วไฉ ยังคงเป็นตอนที่เจ้าโต้วาทีของสามลัทธิมากกว่าที่เป็นที่น่าชื่นชอบของผู้คน”
ซิ่วไฉเฒ่าประสานมือคารวะพอยืดตัวขึ้นตรงแล้ว ถึงได้พูดหน้าเจื่อน “ก็ทางศาลบุ๋นไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้แสดงความสามารถในการทะเลาะมากกว่านั้นนี่นา”
ความนัยในถ้อยคำนี้ก็คือ ไม่ใช่ว่าข้าซิ่วไฉเฒ่าไม่ยินดีจะออกแรงให้กับลัทธิขงจื๊อ แต่เป็นศาลบุ๋นที่ไม่ให้บัณฑิตอย่างข้าแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ ปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านจะฝืนบังคับให้คนลำบากใจไม่ได้ จะให้ข้าแบกรับความอยุติธรรมใหญ่เทียมฟ้า แล้วจะไม่ให้ข้าบ่นเสียบ้างเลยก็คงไม่ได้กระมัง
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มถาม “มาเพื่อป๋ายเหย่หรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าชำเลืองตามองไปยังทิศทางของฝูเหยาทวีปแล้วถอนหายใจ “ไม่ต้องให้ข้าขอร้องแล้ว”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่นั่งเปิดตำราอยู่บนยอดเขาสุ้ยซานท่านนี้ยังคงคุมเชิงอยู่กับผู้เฒ่าชุดเทาที่ร่องเจียวหลงอยู่ไกลๆ
โดยภาพรวมแล้วก็ถือว่ามีคำตอบแล้ว
ส่วนฝูเหยาทวีปแห่งนั้น
ป๋ายอิ๋ง อู่เยว่ หย่างจื่อ หยวนโส่ว หนิวเตา เชี่ยอวิ้น
ก็แค่ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หกตัวเท่านั้น จะกลัวอะไร บวกกับหลิวชาอีกคนที่เตรียมจะออกกระบี่อย่างเต็มกำลังแล้วอย่างไร ทุกวันนี้ฝูเหยาทวีปเป็นอาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วอย่างไร
ก็หนีไม่พ้นเท่ากับว่าป๋ายเหย่ที่เกินครึ่งคงไม่มีกระบี่เซียน ‘ไท่ป๋าย’ อีกแล้ว บวกกับที่เทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์อีกท่านที่ไม่ได้ถือกระบี่เซียนไว้เหมือนกัน บวกกับเฉินฉุนอันที่อยู่ในทักษินาตยทวีปครึ่งหนึ่ง บวกกับฝูลู่อวี๋เสวียนอีกหนึ่งคน แล้วก็บวกกับฮว่อหลงเจินเหรินอีกคนหนึ่ง บวกกับเจิ้งไหวเซียนแห่งนครจักรพรรดิขาวที่แผนการลดน้อยลงไปเล็กน้อย สุดท้ายบวกกับท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวธวัลทวีปที่อำพรางตัวลึกลับไม่เผยกาย
คนเพียงแค่นี้เท่านั้น
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ยืนพูดจะได้ไม่ปวดเอวงั้นรึ?”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบนั่งลงด้านข้างทันที “ฟ้าดินเป็นพยาน!”
ป๋ายเจ๋อพลันปรากฎกาย ณ ที่แห่งนี้ เอ่ยเตือนปรมาจารย์มหาปราชญ์ว่า “คนที่ศาลบุ๋นของพวกเจ้าต้องระวังอย่างแท้จริงคือมหาสมุทรแห่งความรู้ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างผู้นั้น เขาทยอยกินเจ้าอารามดอกบัวและเหย้าเจี่ยไปแล้ว คนผู้นี้มีแผนการยิ่งใหญ่ หากคนผู้นี้ที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างกินอิ่มแล้ว แล้วได้หวนกลับคืนมาโอ้อวดบารมีที่บ้านเกิดอีกครั้งจะยิ่งเป็นปัญหามากกว่านี้แน่นอน”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ
ป๋ายเจ๋อไม่มีทางมีความรู้สึกที่ดีใดๆ ต่อเจี่ยเซิงได้ มหาสมุทรความรู้โจวมี่ผู้นี้ อันที่จริงล้วนไม่มีความผูกพันอะไรกับทั้งสองใต้หล้า หรือควรจะพูดว่านับตั้งแต่นาทีที่เขาก้าวข้ามกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปก็เลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางสายเก่าที่ไม่มีคนเดินผ่านมาหมื่นปีแล้ว ดูเหมือนว่าต้องการจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่สูงส่งบนฟ้า หลุบตาลงต่ำลงมองโลกมนุษย์
ซิ่วไฉเฒ่าขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา สุดท้ายถึงถอนหายใจเอ่ยว่า “ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะใช้กำลังของคนคนเดียววางแผนยาวนานหมื่นปี มีเพียงคนคนเดียวที่เป็นประชาราษฎร์ของใต้หล้า ความเป็นคนถูกสังหารจนหมดสิ้น เปรียบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่า ไม่ถูกสิ ยังเทียบพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลทั้งหลายไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ซิ่วไฉเฒ่าเหลียวซ้ายแลขวา ถามเสียงเบาต่อปรมาจารย์มหาปราชญ์และป๋ายเจ๋อว่า “พวกเราจะยอมตอบตกลงได้หรือ?”
ป๋ายเจ๋อรู้สึกจนใจยิ่งนัก เวลานี้หากพยักหน้ารับคงไม่เข้าท่า แต่ส่ายหน้าไม่ตอบตกลง? เขาป๋ายเจ๋อสามารถส่ายหน้าได้หรือ? ขนาดภาพค้นภูเขาภาพนั้นยังมอบให้ไปแล้ว จะให้เอาตัวเองมอบไปพร้อมกันอีกคงไม่ได้กระมัง
ป๋ายเจ๋อจึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฝูเหยาทวีปกำลังวิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา”
มีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์คอยสูบกินปราณวิญญาณของฟ้าดินในหนึ่งทวีปอย่างบ้าคลั่ง รอแค่ป๋ายเหย่เผาผลาญปราณวิญญาณจนหมดสิ้นเท่านั้น
ซิ่วไฉเฒ่าม้วนชายแขนเสื้อ
ป๋ายเจ๋อเอ่ย “แสร้งทำท่าให้ใครดูกัน”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าเห็นไหมๆ นี่ทำให้คนเจ็บปวดใจยิ่งนัก เป็นพี่ป๋ายสองคนที่ข้าเคารพเลื่อมใสที่สุดเหมือนกัน ดูคนอื่นเขาอย่างป๋ายเหย่ที่บทกวีไร้เทียมทานแล้วยังเป็นเซียนกระบี่ด้วยนั่นสิ อันดับแรกก็ใช้หนึ่งกระบี่ฟันถ้ำสวรรค์หวงเหอให้แตกก่อน จากนั้นค่อยใช้อีกกระบี่ฟันปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานของแผ่นดินกลางที่ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือให้ตาย แล้วยังพกกระบี่ไปบุกเบิกใต้หล้าแห่งที่ห้าโดยไม่เคยพร่ำบ่นถึงความเหน็ดเหนื่อย ต่อมาก็ใช้สามกระบี่ฟันปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เหย้าเจี่ยให้ตาย ตอนนี้ยังใช้กำลังของคนคนเดียวท้าทายปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หกตน..”
อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างเฉยชา “มารดาเถอะ เรื่องพวกนี้ข้าแม่งรู้หมดแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบหดคอยิ้มเอ่ยทันใด “ดีเลยขอรับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!