ห่างออกไปไกลอีกหน่อย ห่างไปพันลี้ อันที่จริงยังมีเซียนจับปลาที่มีชาติกำเนิดจากหลุมน้ำลู่อีกคนหนึ่งที่เนื่องจากทั้งสองฝ่ายทำการอนุมานเอาไว้ หลังจากที่เฉินหลิงจวินหอบหุ้มโชคชะตาน้ำของลำน้ำใหญ่พุ่งลงสู่มหาสมุทรแล้ว จะไปพักผ่อนที่จวนน้ำซึ่งถูกบุกเบิกไว้ชั่วคราวที่นั่น เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่รากฐานพลังชีวิต
สตรีสวมชุดเขียวเรือนกายอ้วนท้วนคนหนึ่งมาลอยตัวอยู่ข้างกายกงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ทั้งสองท่าน แล้วเอ่ยว่า “นายท่านให้ข้านำความมาบอกพวกเจ้าว่าไม่ต้องไปสืบเสาะหาความเป็นมาของคนผู้นั้น ให้ปล่อยเขาไป”
“ไม่เพียงเท่านี้ หากมีคนมาสืบเสาะรากฐานของคนผู้นี้โดยพลการ ยกตัวอย่างเช่นตำหนักฉงเสวียนแห่งต้าหยวนหรือสำนักมังกรน้ำ คิดจะหยั่งเชิงถามจากพวกเจ้า พวกเจ้าก็ลองเกลี้ยกล่อมลองขัดขวางดู หากขัดขวางไม่ได้ก็ให้บอกกับข้าสักคำ”
สตรีโตเต็มวัยยิ้มตาหยี “คิดจะทำให้น้ำท่วมกลบทับภูเขาอิงเอ๋อร์ของเรือนเทพสายฟ้า กงถิงโหวช่างเจ้าอารมณ์นัก”
หลี่หยวนยิ้มแต้ “ต้านต้านฮูหยินบั่นอายุขัยน้องชายแล้ว”
ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานแห่งหลุมน้ำลู่ผู้นี้มีฉายาเต๋าว่าชิงจง เรียกตัวเองว่า ‘ต้านต้านฮูหยิน’
และยังชอบตีสนิทบอกว่าตัวเองเป็นญาติกับผู้ที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ด้วย มีข่าวลือบอกว่านอกประตูใหญ่ของหลุมน้ำลู่แขวนกลอนคู่ตัวอักษรสีทองที่เขียนไว้ว่า ‘ตีระฆังบนนภากาศอันกว้างใหญ่ไพศาล เท้าเหยียบย่ำคลื่นน้ำสีเขียวมรกต’
ขอบเขตบินทะยานแล้วอย่างไร ป๋ายเหย่เคยเขียนกวีบทหนึ่งให้น้ำลู่แล้วอย่างไร ดูความเย่อหยิ่งของเจ้านี่สิ ผยองจนไม่เห็นหัวใครแล้ว มารดาเถอะ หากเจ้ามีความสามารถจริงๆ ก็ไปหยิ่งใส่ฮว่อหลงเจินเหรินพี่น้องคนดีของข้าดูสิ
สตรีจากไปพร้อมรอยยิ้ม อดไม่ไหวชำเลืองตามองผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่อยู่บนทะเลแวบหนึ่ง
แม้ว่าตอนที่นางปรากฏตัวจะเผยสีหน้าสุขุมไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจกลับยังหวาดผวาไม่คลาย ไม่ได้ดีไปกว่าตอนที่พบเจอฮว่อหลงเจินเหรินเลย
ผู้พิฆาตมังกร คิดจะสังหารเผ่าพันธุ์น้ำ จะไม่ยิ่งง่ายดายเพียงแค่ยกมือหรอกหรือ
เฉินหลิงจวินฉลาดหัวไวยิ่งนัก แค่หาข้ออ้างลวกๆ มาอย่างหนึ่งแล้วเริ่มสบถด่าความแปลกประหลาดของกระแสน้ำในแถบนี้ไปพร้อมกับสหายท่านนี้ ไม่นานก็เริ่มเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง คิดไม่ถึงว่าพี่ชายคนนั้นจะแซ่เฉินเหมือนกัน ชื่อจั๋วหลิว (ขุ่นมัว/กระแสน้ำขุ่นมัว) ชื่อนี้ตั้งได้พอๆ กับพี่น้องป๋ายหมางคนดีเลย อีกทั้งแค่มองก็รู้ว่าเป็นคนประเภทที่ผิดหวังมาจากการสอบเคอจวี่ (ในวงการขุนนางจะแบ่งออกเป็นฝ่ายน้ำขุ่นกับน้ำใส ฝ่ายน้ำใสจะหมายถึงขุนนางที่ตำแหน่งสูงทำงานดี ฝ่ายน้ำขุ่นคือตรงกันข้าม) เฉินหลิงจวินพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี เจ้าแซ่เฉิน ข้าแซ่เฉิน ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนจะไม่ใช่พี่น้องบ้านเดียวกันเมื่อห้าร้อยปีก่อนหรอกหรือ?
เฉินจั๋วหลิวยิ้มบางๆ
ก่อนหน้านี้ไปเจอพื้นที่ลับที่ปริแตกแห่งหนึ่ง แล้วก็เจอคราบร่างเซียนร่างหนึ่งโดยบังเอิญ จึงคืนเนื้อหนังมังสาก่อนหน้านี้ให้กับสารถีหนุ่มแห่งอุตรกุรุทวีป
สารถี ‘ป๋ายหมาง’ ได้เงินเทพเซียนไปถุงหนึ่ง แลกเปลี่ยนมาด้วยการเดินลงลำน้ำสำเร็จของเฉินหลิงจวินในครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ทำมาสูญเปล่า ถึงเวลากลายเป็นว่าเหน็ดเหนื่อยเปลืองแรงอย่างเปล่าประโยชน์ (ป๋ายหมางคือเหนื่อยเปล่า)
หากการเดินลงน้ำราบรื่น ปล่อยให้คลื่นมรสุมใหญ่ซัดเข้ารุกรานสองชายฝั่งอย่างกำเริบเสิบสาน ถ้าอย่างนั้นเฉินหลิงจวินเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบคงไม่ยาก ไม่ใช่มีแค่ร่างเจียวก่อกำเนิดอย่างในเวลานี้ ต้องมีเค้าโครงรูปร่างของมังกรที่แท้จริงเกิดขึ้นมาแล้ว ทว่า ‘เฉินจั๋วหลิว’ อาจอดรนทนไม่ไหว คืนเงินก่อน จากนั้นค่อยใช้กระบี่ตัดหัวพี่น้องคนดีของตนก็เป็นได้
อีกทั้งเมื่อครู่นี้หากผลสำเร็จบนมหามรรคาของเฉินหลิงจวินสูงกว่าเดิมไปอีกระดับหนึ่ง เลือกที่จะโหม่งหัวมาพุ่งชนเรือลำน้อยและสังหารคนที่อยู่สองข้างทางอย่างโอหัง ถ้าเช่นนั้น ‘เฉินจั๋วหลิว’ ก็ย่อมประหยัดแรงกายแรงใจมากกว่าเดิมแล้ว
เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าถึงอย่างไรตนก็ไม่ใช่คนที่รับคนอื่นเป็นพี่น้อง ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองส่งเดช ตอนไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์จึงไปเดินเล่นรอบๆ มารอบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้พบเจอป๋ายหมาง กลับกลายเป็นว่าได้มาเจอกับพี่น้องบ้านเดียวกันนั่งยองกินกุยหลิงเกา (ขนมหวานชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายเฉาก๊วย) อะไรนั่นอยู่ตรงท่าเรือของสวนน้ำค้างวสันต์ บังเอิญขนาดนี้เชียว หากไม่รับเป็นสหายคงน่าเสียดายเกินไปแล้ว ผลคือพอได้คุยกันกลับยิ่งถูกชะตา เฉินจั๋วหลิวผู้นั้นควักเอาถุงเงินเก่าใบหนึ่งออกมา ต่อให้ต้องตบหน้าตัวเองเป็นคนอ้วนก็จะต้องเลี้ยงอาหารเขาให้ได้ ทำเอาเฉินหลิงจวินที่มองดูอยู่รู้สึกเวทนานัก ได้ยินว่าเฉินจั๋วหลิวจะไปเสี่ยงดวงที่หุบเขาผีร้าย เพราะว่าทุกวันนี้นครจิงกวานของที่นั่นไม่มีวิญญาณวีรบุรุษห้าขอบเขตบนตนนั้นอยู่แล้ว โชควาสนาจึงมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง พอเฉินหลิงจวินได้ยินก็รู้สึกว่าสามารถไปทางเดียวกันได้ เพียงแต่ว่าเฉินหลิงจวินยังอยากจะสืบหาข่าวของป๋ายหมางก่อน คิดไม่ถึงว่าเฉินจั๋วหลิวผู้นั้นก็เป็นคนใจกว้าง ถึงกับคอยเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนตนนานถึงสิบวัน กระเป๋าเงินว่างเปล่าไปเกินครึ่ง เหลือเพียงแค่ค่าเรือข้ามฟากเท่านั้น เฉินจั๋วหลิวจึงบอกว่ามีธุระให้ต้องไปทำแล้ว เฉินหลิงจวินตามหาป๋ายหมางอย่างยากลำบากอยู่นานก็ยังหาตัวเขาไม่เจอ จึงได้แต่บอกให้ทางฝั่งของสวนน้ำค้างวสันต์ช่วยจับตาดูให้หน่อย แล้วถึงได้พาเฉินจั๋วหลิวนั่งเรือข้ามฟากไปยังชายหาดโครงกระดูกด้วยกัน
หลี่หยวนที่อยู่ริมลำน้ำใหญ่มองเรือข้ามฟากลำนั้นแล้วพลันขนลุกเยือก
เห็นเพียงว่าปัญญาชนชุดเขียวที่ยืนพิงราวรั้วคนนั้นหันมายิ้มตาหยีให้ตน เสิ่นหลินรีบยอบกายคารวะ เฉินจั๋วหลิวผู้นั้นถึงได้หมุนตัวจากไป
ไปเดินเที่ยวที่ชายหาดโครงกระดูกด้วยกันก่อน ต้องพูดกล่อมกันอยู่นาน เฉินหลิงจวินถึงสามารถโน้มน้าวเฉินจั๋วหลิวได้ว่าอย่าไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระอยู่ในหุบเขาผีร้ายเลย ติดตามเขาไปกินดีอยู่ดีที่แจกันสมบัติทวีปเถอะ!
เพียงแต่ว่าพอขึ้นเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาเดินทางลงใต้ ไปถึงท่าเรือตำหนักฉางชุน เฉินจั๋วหลิวกลับบอกว่าเดี๋ยวเขาค่อยตามไปที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว เฉินหลิงจวินจึงนัดหมายกับเขาว่าจะไปเจอกันที่ภูเขาลั่วพั่ว จากนั้นจึงเดินทางลงใต้ไปเพียงลำพัง
ไปถึงท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว สองเท้าสัมผัสพื้น เฉินหลิงจวินก็ยกมือเช็ดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดเศร้าใจอย่างอดไม่ไหว
ห้อยยันต์กระบี่เรียบร้อยก็ทะยานลมไปยังหน้าประตูภูเขาบ้านตน พอเห็นเฉาฉิงหล่าง เฉินหลิงจวินก็หัวเราะฮ่าๆ นานพักใหญ่ ก้าวเดินเร็วๆ ไปหาเฉาฉิงหล่าง “ฉิงหล่างอ่า ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี ขอบเขตยังเป็นดั่งมดไต่เนินเขาอยู่เลยนะ แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
เฉาฉิงหล่างยืนอยู่ที่เดิม พยักหน้ารับเบาๆ คลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
เฉินหลิงจวินยิ้มถาม “หลายปีนี้ที่ข้าไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว มีใครรังแกเจ้าหรือไม่ บอกข้ามาคำเดียว ตอนนี้เป็นเรื่องแค่ฝ่ามือเดียวของพี่เฉินอย่างข้าแล้ว”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า “ไม่มี”
เฉินหลิงจวินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เริ่มเดินก้าวยาวๆ ขึ้นภูเขา ไม่ได้เจอกับเฉินยวนจี เดี๋ยวนี้ไม่ขยันฝึกเดินนิ่งเลยหรือ
ทว่าเพียงไม่นานเฉินหลิงจวินก็ได้เจอกับแม่นางน้อยชุดดำที่กำลังเดินลาดตระเวนทั่วภูเขา เขาตีหน้าเคร่ง กลั้นยิ้ม ใช้ไม้เท้าปักตรึงพื้น ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
เมล็ดแตงหลายเมล็ดถูกนำมาทำเป็นอาวุธลับ แม่นางน้อยกระโดดผลุงขึ้นหนึ่งที บิดเอวหมุนตัว ตะโกนเสียงดังว่าเจ้าไปได้แล้วโยนอาวุธลับชิ้นหนึ่งออกไป
ตลอดทางที่เดินลาดตระเวนมานี้ก็คอยพูดว่าเจ้าไปได้ เจ้าไปได้อยู่ตลอด ทำเอาพวกต้นไม้ใบหญ้าไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน แต่ละต้นอึ้งงันเป็นไก่ไม้
เผยเฉียนยังไม่กลับมาจากเดินทางไกล ใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาจึงไร้ศัตรูเทียมทานบนภูเขาลั่วพั่วอย่างแท้จริง
เฉินหลิงจวินกระแอมหนึ่งที “หมี่ลี่น้อย”
โจวหมี่ลี่อึ้งค้างอยู่กับที่ จากนั้นก็กอดคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก ชักเท้าวิ่งตะบึงมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินหลิงจวิน ตะโกนเสียงดังว่า “จิ่งชิง จิ่งชิง จิ่งชิง!”
ได้ยินชื่อที่จะได้ยินเฉพาะตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วชื่อนี้ เฉินหลิงจวินพลันตาแดงก่ำ หมี่ลี่น้อยกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ถูกคนรังแกหรือ? ใครกัน หากสู้ไหวข้าจะไปเล่นงานเขาให้เอง ต่อให้ต้องลงจากภูเขาออกเดินทางไกลก็ไม่กลัว”
เฉินหลิงจวินหัวเราะ ลูบศีรษะเล็กของหมี่ลี่น้อย ค้อมเอวลงต่ำถามว่า “นายท่านยังไม่กลับมาบ้านอีกหรือ?”
โจวหมี่ลี่พยักหน้า “หนทางยาวไกลขนาดนั้น เจ้าขุนเขาคนดีต้องเดินได้ช้าเป็นแน่”
เฉินหลิงจวินอืมรับหนึ่งที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!