เมื่อแสงกระบี่พร่างพราวเจ็ดสีเส้นนั้นออกมาจากนครบินทะยาน แล้วแหวกทะลุม่านฟ้าออกจากใต้หล้าไปโดยตรง ตลอดทั้งนครบินทะยานก็จมสู่ความเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง จากนั้นทั่วทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยเสียงฮือฮา แสงตะเกียงนับไม่ถ้วนสว่างไสว ผู้ฝึกกระบี่หลายคนรีบร้อนออกมาจากเรือน แหงนหน้ามองไป หรือว่าหนิงเหยาฝ่าทะลุเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว?!
เรือนสกุลเฉินที่ถนนไท่เซี่ยง เฉินซีอดีตเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่เปลี่ยนชื่อเป็นเฉินจี ทุกวันนี้มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม เดิมทีกำลังเดินเล่นยามค่ำคืนอยู่ในระเบียง จึงเป็นคนแรกๆ ที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ผิดปกตินั้นพอดี ตอนนี้เฉินจีเก็บซ่อนทั้งสถานะที่แท้จริงและขอบเขตเอาไว้ ดังนั้นด้านหลังจึงยังมีข้ารับใช้หญิงที่คอยคุ้มกันอยู่เหมือนเดิม เป็นเวทอำพรางตาที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ อันที่จริงทุกๆ หนึ่งปีที่ผ่านไปในนครบินทะยานแห่งนี้ เฉินจีก็จะขยับเข้าใกล้เฉินซีเซียนกระบี่ที่เคยแกะสลักตัวอักษรในอดีตหนึ่งก้าว ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่องค์รักษ์หญิงที่เป็นนักรบพลีชีพด้านหลัง ‘เด็กหนุ่ม’ จึงยิ่งอยู่ห่างจากความตายมากขึ้นทุกที จากนั้นก็ยิ่งขยับเข้าใกล้จุดสูงของวิถีกระบี่มากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินจีถอนหายใจ รู้สึกว่าหนิงเหยาเรียกกระบี่เซียนออกมาครั้งนี้ เร็วเกินไปหน่อย จะต้องมีภัยแฝงอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นรอกระทั่งหล่อหลอมมันอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วใช้สิ่งนี้มาฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหริน เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน จะเหมาะสมที่สุด เพียงแต่ว่าแม้เฉินจีจะไม่แน่ใจว่าเหตุใดหนิงเหยาถึงทำเช่นนี้ ทว่าในเมื่อหนิงเหยาเลือกจะเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ ก็เชื่อว่านางต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าเฉินจีย่อมไม่คิดจะไปชี้ไม้ชี้มือบงการ ใช้สัจธรรมใหญ่ของนครบินทะยานมาอธิบายเหตุผลกับหนิงเหยาที่แค่รับตำแหน่งอิ่นกวานชั่วคราว หนึ่งเพราะในฐานะอดีตเจ้าประมุขสกุลเฉิน ผู้สืบทอดควันธูปที่สำคัญที่สุดของสายเฉินชิงตู เฉินจีไม่ได้ใจแคบถึงขนาดนั้น นอกจากนี้ทุกวันนี้ขอบเขตของเฉินจียังไม่มากพอ ไปหาหนิงเหยา? ถามกระบี่? อยากโดนฟันหรือไร?
จากนั้นเฉินจีก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น ไม่เพียงแต่เขาและองค์รักษ์หญิงเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่แทบทุกคนที่ถูกภาพเหตุการณ์ผิดปกติทำให้ตกใจต่างก็สังเกตเห็นว่าหนิงเหยาที่สวมุดคลุมอาคมสีขาวหิมะสะพายกล่องกระบี่ขี่กระบี่ออกไปจากนครบินทะยาน ดูท่าเหมือนจะเดินทางไกลไปยังสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
สาวใช้ที่รูปโฉมธรรมดาผู้นั้นอดไม่ไหวเอ่ยเสียงเบาว่า “สาวงามประหนึ่งกระบี่หยกประหนึ่งสายรุ้ง คนและแสงกระบี่ล้วนงดงาม”
ในอดีตตระกูลชั้นสูงบนถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่มักจะอบรมปลูกฝังข้ารับใช้ถือกระบี่หญิงที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ไว้หลายคน ปฏิบัติกับพวกนางดีเยี่ยม ในอนาคตยามแต่งงานก็ล้วนอยู่ในบ้านของตัวเอง
สาวใช้ที่คุณสมบัติดีเยี่ยมผู้นี้มีชื่อว่าเหยียนเฉวียน ได้รับการประทานแซ่คือแซ่เฉิน
เฉินเหยียนเฉวียนเลื่อมใสหนิงเหยามานานมากแล้ว มักจะรู้สึกว่าสตรีบนโลก หากเป็นได้อย่างหนิงเหยาก็งดงามอย่างถึงที่สุดจริงๆ
ครั้งนี้หนิงเหยาเดินทางไกลอย่างไร้สัญญาณบอกกล่าว ยังคงสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ เหยียบอยู่บนกระบี่เล่มยาว กระบี่ยาวที่ซ่อนอยู่ในกล่องกระบี่มีชื่อว่าเจี้ยนเซียน
ในอดีตเฉินจีตั้งใจจะจับคู่ให้นางเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของเฉินซานชิว เพียงแต่ว่าเฉินซานชิวยังคงคิดถึงอาลัยอาวรณ์ต่งปู้เต๋ออยู่มิคลาย ความคิดนี้ของเฉินจีจึงเบาบางลง
สีหน้าของเฉินจีเคร่งเครียด “หนิงเหยาจงใจออกห่างไปจากนครบินทะยาน หมายจะล่อให้พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลเหล่านั้นฉวยโอกาสนี้ล้อมฆ่าตัวเอง นางต้องการสะบั้นผลกรรมด้วยตัวเอง ทำให้การสยบกำราบบนมหามรรคามากมายที่เกิดจากนางไม่หล่นลงมาบนนครบินทะยานแม้แต่น้อย”
มิอาจขัดขวางไม่ให้หนิงเหยาออกจากนครได้ ยิ่งไม่อาจช่วยเหลือได้แม้แต่น้อย
เฉินจีเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ขอบเขตไม่พอ หรือว่าจะต้องดื่มเหล้าเอามาผสมจริงๆ?”
หลายปีมานี้เฉินจีจงใจชะลอฝีเท้าในการฝ่าทะลุขอบเขต ดังนั้นทุกวันนี้จึงเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้ไม่นานเท่าไร ไม่อย่างนั้นหากเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเร็วเกินไป ความเคลื่อนไหวรุนแรงเกิน ก็ยากที่เขาจะปิดบังตัวตนได้อีก ชีวิตสุขสบายอย่างทุกวันนี้ เฉินจีอยากจะมีไปอีกหลายปี จะดีจะชั่วก็รอให้เนื้อหนังมังสานี้อายุยี่สิบปีเสียก่อนค่อยออกจากภูเขาก็ยังไม่สาย พอดีกับที่สามารถมองดูการเติบโตของคนรุ่นเยาว์อย่างพวกฉีโซ่ว เกาเหย่โหว ฯลฯ ได้มากหน่อย ภายในเวลาร้อยปีนี้ เฉินจียังไม่ยินดีจะกลับคืนสู่สถานะ ‘เฉินซี’
เฉินเหยียนเฉวียนรู้สึกใคร่รู้ว่าแสงกระบี่เส้นนั้นจะใช้แสงของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เล่าลือกันว่าหนิงเหยาจะไม่เรียกออกมาง่ายๆ อย่างจ่านเซียนหรือไม่
ส่วนเฉินจีก็กังขาว่าอริยะปราชญ์ที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าในทุกวันนี้เป็นเพราะขัดขวางกระบี่เซียน ‘เทียนเจิน’ เล่มนั้นไม่ได้ จึงต้องหลบเลี่ยงประกายแหลมคมของมัน หรือว่าไม่คิดจะขัดขวางจึงปล่อยให้มันออกไปได้ง่ายๆ กันแน่
นี่สำคัญอย่างมาก รู้เพียงเล็กน้อยก็อนุมานไปได้ยาวไกล นี่เกี่ยวพันกับท่าทีที่แท้จริงที่ศาลบุ๋นมีต่อนครบินทะยานว่าจะทำตามสัญญาบางข้อที่บอกว่าจะไม่พันธนาการผู้ฝึกกระบี่หรือไม่
อริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปผู้นั้นจะดูดายอยู่เฉยๆ เพียงแค่รับผิดชอบคอยจับตามองดูใต้หล้าใหม่เอี่ยม ขณะเดียวกันก็ทำตามกฎของหลี่เซิ่งที่ถือโอกาสตรวจตรานครบินทะยาน คอยจดบันทึกการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนของคุณความชอบของใต้หล้าหนึ่งแห่ง หรือว่าเอาจุดสำคัญในการตรวจตรานี้ไปวางไว้บนนครบินทะยาน ป้องกันผู้ฝึกกระบี่ทุกคนราวกับป้องกันโจรกันแน่ นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่เฉินจีให้ความสนใจที่สุด หากเป็นอย่างแรก นครบินทะยานอีกร้อยปีให้หลังยินดีจะปฏิบัติต่อลัทธิขงจื๊ออย่างมีมารยาท ตัดขาดบุญคุณความแค้นที่มีต่อใต้หล้าไพศาลอย่างสิ้นเชิง หากเป็นอย่างหลังเฉินจีก็ไม่ถือสาที่จะใช้สถานะของเฉินซีถามกระบี่ต่อม่านฟ้า
ขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ใครเล่าจะไม่เจ้าอารมณ์บ้างเลย?
เฉินจีพลันยิ้มถามว่า “เหยียนเฉวียน เจ้ารู้สึกว่าใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราคนนั้นยามอยู่ข้างกายหนิงเหยาจะกล้าพูดจาแรงๆ ใส่นาง จะสามารถทำตัวเหมือนลูกผู้ชายอย่างเราๆ หรือไม่?”
เฉินเหยียนเฉวียนได้ยินแล้วก็หยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ในอดีตตอนที่อยู่นอกประตูจวนหนิง ดูเหมือนว่าหนิงเหยาจะเชื่อฟังใต้เท้าอิ่นกวานอยู่มาก ส่วนตอนอยู่ในจวนหนิง บ่าวคาดว่าใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราคงยากจะมีมาดวีรบุรุษองอาจอะไรได้ ได้ยินมาว่าทุกครั้งที่อิ่นกวานมาดื่มเหล้าที่ร้านของตัวเอง พอไปถึงหน้าประตูจวนหนิงกลับทำตัวราวกับโจร แล้วก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่บนโต๊ะเหล้าในเมืองล้วนเล่าลือกันเช่นนี้ ที่ยิ่งเกินกว่าเหตุก็คือมีผีขี้เหล้าที่ท่องกลอนได้คนหนึ่งพูดจาน่าเชื่อถือ ตบอกรับรองว่าตัวเองเคยเห็นกับตาว่ามีคืนหนึ่งใต้เท้าอิ่นกวานกลับไปถึงบ้านดึกเกินไป เคาะประตูอยู่นานก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตูให้ แล้วก็ไม่กล้าปีนกำแพง เขาที่หวังดีก็เลยนั่งคุยเป็นเพื่อนอิ่นกวานจนฟ้าสาง ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้เขาจะต้องรู้สึกอยากปาดน้ำตาแทนอิ่นกวานทุกที”
เฉินจีพูดอย่างฉุนๆ ปนขัน “ขนบธรรมเนียมบนโต๊ะเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตบริสุทธิ์เรียบง่ายถึงเพียงนั้น รอกระทั่งบัณฑิตสองคนมาถึงก็เริ่มเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิม เละเทะจนทนมองทนฟังไม่ได้”
เฉินเหยียนเฉวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “อันที่จริงบ่าวค่อนข้างคิดถึงใต้เท้าอิ่นกวาน”
เฉินจียิ้มถาม “เป็นเพราะเจ้ารู้สึกว่าหัวสมองของเฉินผิงอันค่อนข้างดี?”
เฉินเหยียนเฉวียนส่ายหน้า “บ่าวแค่รู้สึกว่ายามที่อิ่นกวานหนุ่มอยู่ในสังคม มีจิตใจที่สงบเป็นกลาง ดังนั้นคนอื่นๆ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดข้อผิดพลาด”
เฉินจีพยักหน้า “เข้าใจได้”
หนิงเหยาขี่กระบี่ไปยังป้ายศิลาอักษร ‘กระบี่’ ที่ถูกตั้งวางใหม่ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของนครบินทะยานเพียงลำพัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!