กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 735

สรุปบท บทที่ 735.5 ค่ำคืนที่หิมะตกพักค้างแรมบนภูเขาฝูหรง: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 735.5 ค่ำคืนที่หิมะตกพักค้างแรมบนภูเขาฝูหรง – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 735.5 ค่ำคืนที่หิมะตกพักค้างแรมบนภูเขาฝูหรง ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

เกี่ยวกับเรื่องนี้ชุยตงซานรู้ดีอยู่แก่ใจ และไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม

ในความเป็นจริงแล้ว ชุยตงซานเชื่อว่าภูเขาลูกหนึ่ง เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนี้ ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้

หากทุกคนล้วนเป็นคนดี เป็นอริยะปราชญ์ผู้มีคุณธรรมเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น หรือทุกคนล้วนเป็นคนถ่อยที่เห็นแก่ผลประโยชน์ กลอุบายในใจล้ำลึกยิ่งกว่าจวนเซียน แบบนั้นล้วนไม่เหมาะสม

ชุยตงซานมองไปยังขุนเขาสายน้ำนอกศาลา พึมพำเบาๆ ว่า “ลมเกิดมาจากไหน หิมะหล่นลงตรงที่ใด?”

จูเหลี่ยนยิ้มตอบอย่างขอไปที “กลางภูเขาฝูหรง?”

ในพื้นที่มงคลรากบัวมีภูเขาฝูหรงอยู่แห่งหนึ่ง ถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในสถานที่มองเมฆชมหิมะสี่แห่งใหญ่ในใต้หล้าคู่กับยอดเขาเหนี่ยวคั่น ตำหนักคลื่นวสันต์และพรรคหูซาน

ชุยตงซานเอ่ยอย่างจนใจ “ก่อนหน้านี้ข้าจับตามองที่นั่นนานเป็นครึ่งๆ วัน น่าเสียดายไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด พ่อครัวเฒ่าเจ้าว่ามันน่ากลัดกลุ้มหรือไม่เล่า”

……

ใต้หล้าแห้งที่ห้า ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำห่างไกลอันเงียบสงบซึ่งเชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตของพรรคเซียนจั้งและกองกำลังภูเขาปิงเจี่ย ผู้ฝึกตนอิสระของใต้หล้ามืดสลัวคนหนึ่งที่ไม่มีสถานะเป็นนักพรตเต๋าได้ไปเจอกับคนบนเส้นทางเดียวกันอีกคนหนึ่งที่ยังไม่ได้อยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูล

คนหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดลัทธิขงจื้อ ท่าทางเหมือนปัญญาชน

อีกคนหนึ่งมีนามว่าอวี๋เจินอี้ รูปร่างเป็นเด็ก เป็นขอบเขตหยกดิบที่เพิ่งเลื่อนขั้นอย่างเงียบเชียบอยู่ในใต้หล้าใหม่เอี่ยม แต่กลับมาจากใต้หล้าไพศาล ตอนแรกไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว จากนั้นก็มาที่นี่

ปัญญาชนหนุ่มหาตัวอวี๋เจินอี้พบ ฝ่ายหลังกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ลอยตัวอยู่ สูดลมหายใจเข้าออกเนิบช้า รูจมูกและหูทั้งสองข้างเหมือนมีงูขาวสี่ตัวห้อยย้อยลงมา

อวี๋เจินอี้ลืมตาถามว่า “สหายเข้ามาในภูเขาด้วยเรื่องอันใด?”

ทุกวันนี้ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในอาณาเขตของลัทธิเต๋า แต่บุรุษเบื้องหน้ากลับกล้าสวมชุดลัทธิขงจื้อเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสี่ทิศเพียงลำพัง นี่ไม่สมเหตุสมผลมากแล้ว มองดูเหมือนว่ามีภาพปรากฏการณ์ของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร แต่กลับสามารถฝ่าทะลุตราผนึกขุนเขาสายน้ำหลายชั้นมาได้ตลอดทางจนกระทั่งหาตนพบ แน่นอนว่ายิ่งไม่สมเหตุสมผลมากกว่า

คนผู้นั้นยิ้มเอ่ย “เรียกข้าว่าเจิ้งห่วนก็พอแล้ว อันที่จริงเจ้าและข้าเป็นคนบ้านเดียวกัน ดังนั้นสามารถเรียกชื่อกันตรงๆ ได้ ไม่ต้องเกรงใจ”

อวี๋เจินอี้พูดด้วยสีหน้าเฉยชา “รีบกลับไปซะ”

ปัญญาชนที่เรียกตัวเองว่าเจิ้งห่วนยิ้มถาม “ถ้าข้าไม่ไปแล้วจะทำไม จะฆ่าแกงกันหรือ ไม่กลัวหรือว่าเลือดจะไหลนองเต็มพื้น ทำให้สถานที่อันเงียบสงบแห่งนี้สกปรก”

อวี๋เจินอี้ไม่เอ่ยคำใด เพียงมองประเมินคนแปลกหน้าที่มีความกล้าหาญเต็มเปี่ยมผู้นี้อย่างละเอียด

ตอนนั้นอยู่ในพื้นที่มงคล เพราะเจ๋อเซียนหนุ่มคนหนึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ติงอิงตาย อวี๋เจินอี้จึงได้ฉวยโอกาสลุกผงาดขึ้นมา สุดท้ายกลายมาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งอย่างสมชื่อของพื้นที่มงคลดอกบัว จากนั้นก็ไม่ต้องสนใจเรื่องราวใดๆ ของล่างภูเขาและของใต้หล้าอีกต่อไป เพียงแค่ฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงไปอย่างต่อเนื่อง มองไปทั่วใต้หล้าคนที่สามารถเป็นศัตรูกับเขาได้ก็มีเพียงแค่ลู่ไถเจ้าลัทธิมารคนใหม่คนเดียวเท่านั้น

ส่วนผู้ฝึกยุทธจ้งชิวที่พอแยกทางกับเขา ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล ก็เพียงแค่เพราะอวี๋เจินอี้ไม่มีเวลาว่างไปหาเรื่องอีกฝ่ายที่แคว้นหนันเยวี่ยนก็เท่านั้น หลังจากที่เขาสร้างโอสถทองได้หนึ่งดวง ปิดด่านสามครั้ง สองครั้งล้วนถูกลู่ไถขัดจังหวะ ครั้งสุดท้ายบินทะยานออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้สำเร็จ เพียงแต่ว่าตอนนั้นพื้นที่มงคลเกิดเหตุฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ ขุนเขาสายน้ำเปลี่ยนสีไปแล้ว อวี๋เจินอี้จึงยิ่งคร้านจะไปสนใจแคว้นหนันเยวี่ยน ส่วนถังเถี่ยอี้ เฉิงหยวนซานอะไรนั่นก็ยิ่งไม่มีค่าพอให้อวี๋เจินอี้เก็บมาใส่ใจ

ครั้งสุดท้ายที่อวี๋เจินอี้ปิดด่าน ใต้หล้าก็มีผู้ฝึกยุทธเด็กหนุ่มไม่ทราบนามไม่ทราบสัญชาติเพิ่มมาคนหนึ่ง ใช้กระบี่ แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่

ฝึกกระบี่อยู่ในภูเขามาหลายปี ตอนที่อวี๋เจินอี้ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นก่อกำเนิด ก็คือช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มพกกระบี่ลงจากภูเขา ศึกแรกหลังจากเด็กหนุ่มเจอออกไปเผชิญโลกกว้าง เรียกได้ว่าเป็นพวกไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถึงขั้นไปถามกระบี่ต่อพรรคหูซานโดยตรง

เพียงแต่ว่าคลื่นลมมรสุมเหล่านี้ล้วนถือเป็นเรื่องที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอวี๋เจินอี้เเล้ว เขาไม่สนใจเกียรติยศอัปยศความรุ่งเรืองความตกต่ำของพรรคหูซานแม้แต่น้อย

อวี๋เจินอี้ลุกขึ้นยืน ถึงขั้นคิดจะขี่กระบี่จากไปโดยตรง “ในเมื่อสหายมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าไปเองก็ได้”

เจิ้งห่วนผู้นั้นยิ้มบางๆ พูดด้วยท่าทางราวกับว่าหากคำพูดไม่ทำให้คนตกใจตายจะไม่ยอมเลิกรา “ไปอะไรกัน เจ้าจะไปที่ไหนได้ ข้าแค่ถือโอกาสแวะมาดูหนึ่งในวิธีการของเจ้าอารามผู้เฒ่าเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเล่นงานเจ้าอวี๋เจินอี้ เป้าหมายที่แท้จริงในการมาเยือนครั้งนี้คือมาดูศิษย์ลูกศิษย์หลานคนหนึ่ง เจ้าก็รู้จักเขา คือหนึ่งในเจ๋อเซียนของพื้นที่มงคลพวกเจ้า ชื่อว่าลู่ไถ (台หอสูง) หรือจะเรียกว่าลู่ไถ (抬 ยกขึ้น) ก็ได้ ไม่ได้ดิบได้ดีสักเท่าไร แต่กลับพูดจาวางโตไม่เบา ข้ากังวลว่าถึงเวลานั้นได้เจอกับเจ้าลูกหลานเนรคุณผู้นั้นแล้วจะไม่มีเรื่องให้พูดคุย ดังนั้นก็เลยมาเรียกเจ้าไปพูดคุยเรื่องวันวานกับเขาด้วย ช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ให้หน่อย”

อวี๋เจินอี้พลิ้วกายลงบนพื้นแล้วประสานมือคารวะ ก้มหัวค้อมเอวเนิ่นนานก็ยังไม่ยืดตัวขึ้นมา ถึงขั้นไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

ปัญญาชนเจิ้งห่วน

หนึ่งในการแสดงออกของห้าความฝันของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง

ไม่เหมือนกับจิตหยินออกจากช่องโพรงหรือจิตหยางกายนอกกายของผู้ฝึกตน ลี้ลับมหัศจรรย์มากยิ่งกว่าจนไม่อาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายได้

ทุกวันนี้เจิ้งห่วนผู้นี้น่าจะถือว่าเป็นบุคคลที่ไร้ขอบเขตคนหนึ่ง

ลู่เฉินส่ายหน้า สีหน้าเวทนา “ยิ่งเป็นคนที่วิ่งออกไปข้างนอกไกลเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใจเหตุผลน้อยลงเท่านั้น”

อวี้เจินอี๋เอ่ยอย่างจริงใจ “ได้รับการสั่งสอนแล้ว”

ไม่ออกจากบ้านก็รู้หลักการเหตุผลของใต้หล้า ไม่มองไปนอกหน้าต่างก็รู้การโคจรของวิถีฟ้า

ลู่เฉินพาอวี๋เจินอี้เดินเข้าไปในพื้นที่มงคลที่ยังไม่มีคน ‘บินทะยาน’ แห่งนี้ แล้วจู่ๆ ก็พลันฟาดแขนออกมาในแนวขวาง หลังมือตบเข้าที่ใบหน้าของอวี๋เจินอี้ บนใบหน้าของฝ่ายหลังมียันต์ใสแวววาวส่องประกายสะดุดตาโผล่ออกมาทันที แต่เพียงวูบเดียวก็จางหาย เป็นเหตุให้ลมหายใจของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งไม่รื่นไหล คล้ายกับว่าขอบเขตถดถอยไปยังถ้ำสถิตโดยตรง ร่างของอวี๋เจินอี้เซวูบ กว่าจะหยัดยืนให้มั่นคงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ประตูใหญ่ของช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตหลายช่องปิดแน่น ไม่เพียงเท่านี้ อวี๋เจินอี้ลองปล่อยจิตไปสำรวจภายในก็ให้ตะลึงพรึงเพริด ปราณวิญญาณในช่องโพรงหลายแห่งของฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ อันดับแรกได้หยุดชะงักเหมือนน้ำนิ่งก่อน จากนั้นก็ก่อตัวกันเหมือนหยกทองแล้วพากันร่วงหล่นลงบนพื้น ดังนั้นถึงได้ทำให้ฝีเท้าของอวี๋เจินอี้หนักอึ้งเหมือนเด็กเล็กร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งที่ต้องแบกไม้ท่อนยักษ์เดินขึ้นเขา

ประตูใหญ่ด้านหลังคนทั้งสองปิดลงเองโดยอัตโนมัติ ลู่เฉินเดินเนิบช้าไปเบื้องหน้าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “สุดท้ายแล้วเจ้าอารามผู้เฒ่าก็ลำเอียงเข้าข้างคนของตัวเองอยู่ดี พื้นที่มงคลที่มอบให้ศิษย์ลูกศิษย์หลานของข้าคนนั้นเป็นแค่ระดับกลาง ขอบเขตหยกดิบอย่างเจ้าก็เหมือนวัตถุใหญ่โตมโหฬารก้าวลุยผ่านน้ำ ไปกระตุ้นชักนำปรากฎการณ์ของดวงดาว นี่มิใช่คิดจะสร้างคลื่นยักษ์โหมซัดสาดหรอกหรือ พวกเรามีกันอยู่แค่สองคน เจ้าคิดจะขู่ใครกันล่ะ รีบปรับตัวให้ชินกับขอบเขตถ้ำสถิตซะ หากเปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยมาเป็นมัธยัสถ์ได้ยากเหมือนมนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขา ยังจะเป็นผู้ฝึกตนอะไรได้อีก”

อวี๋เจินอี้รีบสร้างความมั่นคงให้กับจิตแห่งมรรคาทันที เดินตามมาด้านหลังลู่เฉิน

ลู่เฉินถาม “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกอริยะที่ใกล้ชิดกับสายน้ำถึงต้องข้ามภูเขาด้วยตัวเองให้มาก?”

อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “ขอเจ้าลัทธิโปรดช่วยไขข้อข้องใจ”

ลู่เฉินเอ่ย “พระพุทธเจ้าพิศน้ำในบาตร มองเห็นแมลงสี่หมื่นแปดพันตัว อาจารย์ผู้เฒ่าเดินเข้าใกล้น้ำแล้วถอนหายใจ สายน้ำที่พุ่งตะบึงไปเบื้องหน้ายุ่งมากขนาดนี้เชียวหรือ กลางวันกลางคืนถึงไม่เคยหยุดพัก อาจารย์ของข้าเองก็บอกว่าน้ำอยู่ใกล้ทาง เส้นทางมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เพราะอะไร? เจ้าลองมองดูสิ พอพูดถึงน้ำ บรรพจารย์ของสามลัทธิต่างก็สามัคคีปรองดองกัน ไม่ทะเลาะกันแม้แต่น้อย แล้วเจ้าลองมองย้อนไปอีกที อะไรคือ ‘ผู้ที่ให้ความสำคัญกับมารยาทพิธีการ คือสาเหตุหลักของภัยพิบัติ’ การโต้วาทีของสามลัทธิ น่าตกใจหรือไม่? แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า ก่อนที่สามลัทธิจะโต้วาทีกัน อันที่จริงใต้หล้ามืดสลัวได้มีดินแดนพุทธะสุขาวดีที่ต่างคนต่างพูดถึงวิถีทางของตน ต่างคนต่างอธิบายพระธรรมคำสอนของตน? เป็นครั้งหนึ่งที่ป๋ายอวี้จิงกับสำนักสายเต๋าใหญ่เจ็ดแห่งพ่ายแพ้อนาถที่สุด เคยได้ยินมาบ้างกระมัง?”

พออวี๋เจินอี้ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็พยายามที่จะอ่านตำราของลัทธิเต๋าแห่งใต้หล้ามืดสลัวให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าต้องรู้เรื่องนี้ เขาเอ่ยว่า “การโต้วาทีสิบเจ็ดครั้ง ใต้หล้ามืดสลัวแพ้ทั้งหมด เจินเหรินสิบเจ็ดท่านนั้นล้วนปลดกวานโกนหัวเป็นพระ สุดท้ายกลายเป็น ‘สิบเจ็ดภิกษุอู้อู่’”

ลู่เฉินเปิดเผยความลับสวรรค์ให้อวี๋เจินอี้ฟัง “ในอดีตห้าผู้สูงศักดิ์แห่งสรวงสวรรค์ หนึ่งในนั้นคือผู้ครองแม่น้ำและทะเลสาบ นอกจากจะคอยดูแลแม่น้ำลำคลองลำน้ำใหญ่ทั้งหมดของห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรแล้ว อันที่จริงสิ่งที่ดูแลอย่างแท้จริงยังคงเป็นแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้น ทุกครั้งที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หายไป โครงกระดูกจะกลายไปเป็นดวงดาวนอกฟ้า ดวงจิตหลอมรวมเข้ากับกาลเวลา รวมตัวกันกลายเป็นลำคลอง และจิตวิญญาณของเผ่ามนุษย์พวกเรา อันที่จริงก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากในน้ำนี้ ดังนั้นระหว่างฟ้าดินถึงได้มีเพียงร่างกายของเผ่ามนุษย์ที่ใกล้เคียงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด หากฝึกตนจะเดินขึ้นสู่ที่สูงได้เร็วที่สุด ทำให้พวกเผ่าปีศาจที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์น้ำลายสออยากจะจับกิน เห็นคนเมื่อไหร่ก็จับกินเมื่อนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วกินไปกินมาก็ยังคงไม่ใช่หนึ่งนั้น ไม่เพิ่มไม่ลด จะมีความหมายที่ตรงใด ต่อให้กินหนึ่งนั้นไปครึ่งหนึ่งแล้วจะอย่างไร”

ลู่เฉินเพียงแค่ก้าวเดินเนิบช้าไปในผืนป่า ไม่ได้ทะยานลม เขาเอ่ยเนิบนาบว่า “ปีนั้นข้าไปถึงใต้หล้ามืดสลัว ไม่ได้รีบร้อนไปที่ป๋ายอวี้จิง เพียงแต่ว่าอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็เลยเก็บรวบรวมคำสวดของลัทธิพุทธไว้โดยเฉพาะ ความสามารถทางการประพันธ์โดดเด่น ทั้งยอดเยี่ยมไพเราะ ทั้งงดงามจนเกินบรรยาย ข้าเคยเห็นวัดทั้งหมดที่เหลืออยู่ไม่มากในใต้หล้ามืดสลัว แล้วก็เคยได้ยินภิกษุเฒ่ารูปหนึ่งร้องคำว่า ‘ดอกไม้หล่นสายน้ำไหลจากไป เปลี่ยวเหงาฟ้าดินว่างเปล่า’ กับหูตัวเอง จากนั้นเขาก็โยนไม้ปัดฝุ่นทิ้ง หลับตาลงแล้วจากไป เป็นตายทิวาราตรี ไม่มีมี มีไม่มี ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ลู่เฉินก็หันหน้าไปมองอวี๋เจินอี้ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กชาย หลุดหัวเราะพรืดเอ่ยว่า “แล้วลองมาดูเจ้าสิ เปรียบเทียบได้หรือ? ความต่างของจิตแห่งมรรคาระหว่างเจ้ากับข้า เป็นแค่ความต่างระหว่างขอบเขตสูงกับต่ำจริงๆ หรือ?”

อวี๋เจินอี้รับคำสั่งสอนด้วยอาการใจฝ่อ ขบคิดความนัยในถ้อยคำนี้อย่างละเอียด

จากนั้นจึงหันไปมองบัณฑิตเจิ้งห่วนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ รู้สึกเพียงว่าอีกฝ่ายที่ก้าวเดินอย่างผ่อนคลายอยู่ในผืนป่า ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเต๋าโบราณเรียบง่าย ประหนึ่งแสงจันทร์สายลม หลอมรวมขึ้นเป็นความสง่างามโดดเด่น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!