เกี่ยวกับเรื่องนี้ชุยตงซานรู้ดีอยู่แก่ใจ และไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม
ในความเป็นจริงแล้ว ชุยตงซานเชื่อว่าภูเขาลูกหนึ่ง เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนี้ ตามหลักแล้วก็ควรเป็นเช่นนี้
หากทุกคนล้วนเป็นคนดี เป็นอริยะปราชญ์ผู้มีคุณธรรมเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น หรือทุกคนล้วนเป็นคนถ่อยที่เห็นแก่ผลประโยชน์ กลอุบายในใจล้ำลึกยิ่งกว่าจวนเซียน แบบนั้นล้วนไม่เหมาะสม
ชุยตงซานมองไปยังขุนเขาสายน้ำนอกศาลา พึมพำเบาๆ ว่า “ลมเกิดมาจากไหน หิมะหล่นลงตรงที่ใด?”
จูเหลี่ยนยิ้มตอบอย่างขอไปที “กลางภูเขาฝูหรง?”
ในพื้นที่มงคลรากบัวมีภูเขาฝูหรงอยู่แห่งหนึ่ง ถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในสถานที่มองเมฆชมหิมะสี่แห่งใหญ่ในใต้หล้าคู่กับยอดเขาเหนี่ยวคั่น ตำหนักคลื่นวสันต์และพรรคหูซาน
ชุยตงซานเอ่ยอย่างจนใจ “ก่อนหน้านี้ข้าจับตามองที่นั่นนานเป็นครึ่งๆ วัน น่าเสียดายไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด พ่อครัวเฒ่าเจ้าว่ามันน่ากลัดกลุ้มหรือไม่เล่า”
……
ใต้หล้าแห้งที่ห้า ท่ามกลางขุนเขาสายน้ำห่างไกลอันเงียบสงบซึ่งเชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตของพรรคเซียนจั้งและกองกำลังภูเขาปิงเจี่ย ผู้ฝึกตนอิสระของใต้หล้ามืดสลัวคนหนึ่งที่ไม่มีสถานะเป็นนักพรตเต๋าได้ไปเจอกับคนบนเส้นทางเดียวกันอีกคนหนึ่งที่ยังไม่ได้อยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูล
คนหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดลัทธิขงจื้อ ท่าทางเหมือนปัญญาชน
อีกคนหนึ่งมีนามว่าอวี๋เจินอี้ รูปร่างเป็นเด็ก เป็นขอบเขตหยกดิบที่เพิ่งเลื่อนขั้นอย่างเงียบเชียบอยู่ในใต้หล้าใหม่เอี่ยม แต่กลับมาจากใต้หล้าไพศาล ตอนแรกไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว จากนั้นก็มาที่นี่
ปัญญาชนหนุ่มหาตัวอวี๋เจินอี้พบ ฝ่ายหลังกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ลอยตัวอยู่ สูดลมหายใจเข้าออกเนิบช้า รูจมูกและหูทั้งสองข้างเหมือนมีงูขาวสี่ตัวห้อยย้อยลงมา
อวี๋เจินอี้ลืมตาถามว่า “สหายเข้ามาในภูเขาด้วยเรื่องอันใด?”
ทุกวันนี้ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในอาณาเขตของลัทธิเต๋า แต่บุรุษเบื้องหน้ากลับกล้าสวมชุดลัทธิขงจื้อเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสี่ทิศเพียงลำพัง นี่ไม่สมเหตุสมผลมากแล้ว มองดูเหมือนว่ามีภาพปรากฏการณ์ของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร แต่กลับสามารถฝ่าทะลุตราผนึกขุนเขาสายน้ำหลายชั้นมาได้ตลอดทางจนกระทั่งหาตนพบ แน่นอนว่ายิ่งไม่สมเหตุสมผลมากกว่า
คนผู้นั้นยิ้มเอ่ย “เรียกข้าว่าเจิ้งห่วนก็พอแล้ว อันที่จริงเจ้าและข้าเป็นคนบ้านเดียวกัน ดังนั้นสามารถเรียกชื่อกันตรงๆ ได้ ไม่ต้องเกรงใจ”
อวี๋เจินอี้พูดด้วยสีหน้าเฉยชา “รีบกลับไปซะ”
ปัญญาชนที่เรียกตัวเองว่าเจิ้งห่วนยิ้มถาม “ถ้าข้าไม่ไปแล้วจะทำไม จะฆ่าแกงกันหรือ ไม่กลัวหรือว่าเลือดจะไหลนองเต็มพื้น ทำให้สถานที่อันเงียบสงบแห่งนี้สกปรก”
อวี๋เจินอี้ไม่เอ่ยคำใด เพียงมองประเมินคนแปลกหน้าที่มีความกล้าหาญเต็มเปี่ยมผู้นี้อย่างละเอียด
ตอนนั้นอยู่ในพื้นที่มงคล เพราะเจ๋อเซียนหนุ่มคนหนึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ติงอิงตาย อวี๋เจินอี้จึงได้ฉวยโอกาสลุกผงาดขึ้นมา สุดท้ายกลายมาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งอย่างสมชื่อของพื้นที่มงคลดอกบัว จากนั้นก็ไม่ต้องสนใจเรื่องราวใดๆ ของล่างภูเขาและของใต้หล้าอีกต่อไป เพียงแค่ฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงไปอย่างต่อเนื่อง มองไปทั่วใต้หล้าคนที่สามารถเป็นศัตรูกับเขาได้ก็มีเพียงแค่ลู่ไถเจ้าลัทธิมารคนใหม่คนเดียวเท่านั้น
ส่วนผู้ฝึกยุทธจ้งชิวที่พอแยกทางกับเขา ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล ก็เพียงแค่เพราะอวี๋เจินอี้ไม่มีเวลาว่างไปหาเรื่องอีกฝ่ายที่แคว้นหนันเยวี่ยนก็เท่านั้น หลังจากที่เขาสร้างโอสถทองได้หนึ่งดวง ปิดด่านสามครั้ง สองครั้งล้วนถูกลู่ไถขัดจังหวะ ครั้งสุดท้ายบินทะยานออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้สำเร็จ เพียงแต่ว่าตอนนั้นพื้นที่มงคลเกิดเหตุฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ ขุนเขาสายน้ำเปลี่ยนสีไปแล้ว อวี๋เจินอี้จึงยิ่งคร้านจะไปสนใจแคว้นหนันเยวี่ยน ส่วนถังเถี่ยอี้ เฉิงหยวนซานอะไรนั่นก็ยิ่งไม่มีค่าพอให้อวี๋เจินอี้เก็บมาใส่ใจ
ครั้งสุดท้ายที่อวี๋เจินอี้ปิดด่าน ใต้หล้าก็มีผู้ฝึกยุทธเด็กหนุ่มไม่ทราบนามไม่ทราบสัญชาติเพิ่มมาคนหนึ่ง ใช้กระบี่ แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่
ฝึกกระบี่อยู่ในภูเขามาหลายปี ตอนที่อวี๋เจินอี้ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นก่อกำเนิด ก็คือช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มพกกระบี่ลงจากภูเขา ศึกแรกหลังจากเด็กหนุ่มเจอออกไปเผชิญโลกกว้าง เรียกได้ว่าเป็นพวกไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถึงขั้นไปถามกระบี่ต่อพรรคหูซานโดยตรง
เพียงแต่ว่าคลื่นลมมรสุมเหล่านี้ล้วนถือเป็นเรื่องที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอวี๋เจินอี้เเล้ว เขาไม่สนใจเกียรติยศอัปยศความรุ่งเรืองความตกต่ำของพรรคหูซานแม้แต่น้อย
อวี๋เจินอี้ลุกขึ้นยืน ถึงขั้นคิดจะขี่กระบี่จากไปโดยตรง “ในเมื่อสหายมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าไปเองก็ได้”
เจิ้งห่วนผู้นั้นยิ้มบางๆ พูดด้วยท่าทางราวกับว่าหากคำพูดไม่ทำให้คนตกใจตายจะไม่ยอมเลิกรา “ไปอะไรกัน เจ้าจะไปที่ไหนได้ ข้าแค่ถือโอกาสแวะมาดูหนึ่งในวิธีการของเจ้าอารามผู้เฒ่าเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเล่นงานเจ้าอวี๋เจินอี้ เป้าหมายที่แท้จริงในการมาเยือนครั้งนี้คือมาดูศิษย์ลูกศิษย์หลานคนหนึ่ง เจ้าก็รู้จักเขา คือหนึ่งในเจ๋อเซียนของพื้นที่มงคลพวกเจ้า ชื่อว่าลู่ไถ (台หอสูง) หรือจะเรียกว่าลู่ไถ (抬 ยกขึ้น) ก็ได้ ไม่ได้ดิบได้ดีสักเท่าไร แต่กลับพูดจาวางโตไม่เบา ข้ากังวลว่าถึงเวลานั้นได้เจอกับเจ้าลูกหลานเนรคุณผู้นั้นแล้วจะไม่มีเรื่องให้พูดคุย ดังนั้นก็เลยมาเรียกเจ้าไปพูดคุยเรื่องวันวานกับเขาด้วย ช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ให้หน่อย”
อวี๋เจินอี้พลิ้วกายลงบนพื้นแล้วประสานมือคารวะ ก้มหัวค้อมเอวเนิ่นนานก็ยังไม่ยืดตัวขึ้นมา ถึงขั้นไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
ปัญญาชนเจิ้งห่วน
หนึ่งในการแสดงออกของห้าความฝันของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง
ไม่เหมือนกับจิตหยินออกจากช่องโพรงหรือจิตหยางกายนอกกายของผู้ฝึกตน ลี้ลับมหัศจรรย์มากยิ่งกว่าจนไม่อาจใช้ถ้อยคำมาบรรยายได้
ทุกวันนี้เจิ้งห่วนผู้นี้น่าจะถือว่าเป็นบุคคลที่ไร้ขอบเขตคนหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!