กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 735

ลู่เฉินโบกสะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรงจนเกิดเป็นเสียงใสดังกังวาน

ทัศนียภาพเช่นนี้ในเวลานี้ของพื้นที่มงคล คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่หิมะตกลงมาเล็กน้อย พื้นเย็นแต่หิมะยังไม่จับตัวเป็นชั้นหนา

อวี๋เจินอี้เอ่ยอย่างระมัดระวัง “เจ้าลัทธิลู่ พวกเราจะไปที่ภูเขาฝูหรงกันหรือ?”

เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ที่มีรูปโฉมเป็นเด็กชาย เพราะไม่กล้าขี่กระบี่ จึงได้แต่สะพายกระบี่ ตัวเล็กเตี้ย แต่กระบี่กลับยาว มองดูแล้วน่าตลกอย่างเห็นได้ชัด

หากสะพายกระบี่ยาวไว้บนหลังเอียงๆ ยังดีหน่อย เพียงแต่ว่าเจ้าลัทธิสามที่ใช้นามแฝงว่า ‘เจิ้งห่วน’ ผู้นั้นกลับดึงดันจะช่วยให้เขาสะพายกระบี่ตั้งตรงบนหลัง บอกว่าขนาดกระบี่เล่มหนึ่งยังสะพายให้ตรงไม่ได้ จิตใจจะเที่ยงตรงได้อย่างไร จิตใจไม่ตรงมรรคาก็ไม่แจ่มชัด ยังจะฝึกกระบี่ ยังจะฝึกตนบนมหามรรคาไปไย

ก่อนหน้านี้ลู่เฉินโยนกวานดอกบัวให้กับอวี๋เจินอี้อย่างไม่ใส่ใจ บอกว่าให้ช่วยใส่แทนไว้ก่อน ลู่เฉินบอกว่าตัวเองต้องการเอาเมฆมาทำเป็นกวาน แบบนั้นค่อนข้างจะโดดเด่นผ่อนคลาย

กวานดอกบัวชิ้นนี้คือของแทนตัวของเจ้าลัทธิป๋ายอวี้จิง อวี๋เจินอี้ย่อมไม่มีทางเอาไปสวมอย่างโง่งมจริงๆ เพียงแค่ถือประคองไว้ด้วยสองมือ

ลู่เฉินกล่าว “ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”

อวี๋เจินอี้พยักหน้ารับ หลังจากฝึกตนเป็นเซียน อวี๋เจินอี้ก็อยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ขี่กระบี่เดินทางไกลไปทั่วทิศ ดังนั้นพื้นที่ฮวงจุ้ยวิเศษที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในใต้หล้านี้ล้วนเคยปรากฎอยู่ล่างกระบี่ใต้ฝ่าเท้าของเขามาหมดแล้ว

คาดว่าเจ้าลัทธิลู่คงต้องมีความหมายที่ลึกล้ำอย่างแน่นอน

ลู่เฉินถาม “พวกเราสองคนเดินไปผิดทางหรือเปล่า?”

อวี๋เจินอี้อึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับ

ลู่เฉินหันตัวมาสะบัดชายแขนเสื้อตบลงบนหัวของอวี๋เจินอี้ ตวาดสั่งสอนว่า “แล้วทำไมเจ้าไม่พูดแต่แรกเล่า?”

ลู่เฉินเริ่มทะยานลมขึ้นกลางอากาศ บอกให้อวี๋เจินอี้นำทาง มุ่งหน้าไปยังภูเขาฝูหรงที่อยู่ห่างไปหลายพันลี้

เพียงแต่อวี๋เจินอี้กลับไม่รู้ว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ในเมื่อไม่ใช่ลู่เฉินตัวจริง กวานดอกบัวที่อวี๋เจินอี้กอดไว้ในอ้อมอกก็ย่อมต้องไม่ใช่ของจริงตามไปด้วย

ลู่เฉินทิ้ง ‘ฝันบัณฑิตเจิ้ง’ ไว้ในใต้หล้าแห่งที่ห้า เพราะต้องทำตามกฎของศาลบุ๋นไม่ต่างจากคนอื่น จึงต้องกดขอบเขตให้ต่ำกว่าหยกดิบ ก็เหมือนอย่างตอนนั้นที่ไปถ้ำสวรรค์หลีจูที่เขาจำเป็นต้องกดขอบเขตให้อยู่ที่บินทะยานขั้นสูงสุด

ลู่เฉินเริ่มคิดถึงตาเฒ่าของร้านยาตระกูลหยางคนนั้นบ้างแล้ว อดไม่ไหวเอ่ยว่า “ธารน้ำเอนเอียงทั้งยังถูกภูเขาบดบัง บุปผาผลิบานแล้วร่วงโรย ทะเลเมฆบดบังตะวันจันทรา ทุกอย่างนี้ล้วนมีตงจวินเป็นผู้ตัดสิน”

ลู่เฉินส่ายหน้า “ท่านจมสู่หวงเหอ ท่านอย่าได้โทษฟ้า”

อวี๋เจินอี้เคยชินกับการพูดพล่ามคนเดียวของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงผู้นี้มานานแล้ว

ยกตัวอย่างเช่นลู่เฉินจะพูดว่าถ้อยคำบางอย่างของคนผู้นั้น คือการปักต้นกล้า คือการปลูกต้นไม้ คือการหว่านเมล็ดพันธ์กำใหญ่ลงไปในทุ่งหญ้ากว้าง

ลู่เฉินพลันถามว่า “เขาชอบปิดบังชื่อแซ่ ทำหน้าที่เป็นซูจื่อหลาง (ชื่อตำแหน่งขุนนางที่ทำหน้าที่ดูแลตำราโดยเฉพาะ) อยู่ในมี่ซูเสิ่ง (องค์กรส่วนกลางที่ดูแลการเก็บรักษาตำราของบ้านเมืองโดยเฉพาะในสมัยโบราณของจีน) อยู่ใต้เปลือกตาเจ้า? แล้วยังเปิดร้านขายพัดพับ ขายตราประทับด้วย?”

อวี๋เจินอี้เอ่ยตอบ “เป็นเช่นนี้จริง ลู่ไถผู้นี้ชอบความเก่าแก่โบราณ มีมาตรฐานสูง มาดสง่างามก็เป็นหนึ่งไม่เหมือนใคร จึงถูกขนานนามให้เป็นเจ๋อเซียน เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์คนที่สองนับจากจูเหลี่ยน”

ลู่เฉินนวดคลึงหว่างคิ้ว “ฟังแล้วข้าปวดกบาล”

พื้นที่มงคลดอกบัวแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนของภูเขาลั่วพั่วถูกเปลี่ยนชื่อเป็นพื้นที่มงคลรากบัว เป็นพื้นที่มงคลระดับล่าง

พื้นที่มงคลที่อวี๋เจินอี้อยู่กลับเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง ถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าเอาไปวางไว้ที่ใต้หล้ามืดสลัว

พื้นที่มงคลที่ลู่ไถอยู่ รวมไปถึงพื้นที่มงคลที่เด็กหนุ่ม วานรขาวน้อยและนักพรตหนุ่มออกท่องเที่ยวไปหาประสบการณ์ด้วยกันแห่งนั้น ทั้งสองล้วนเป็นระดับกลาง

ส่วนพื้นที่มงคลที่ลู่เฉินและอวี๋เจินอี้มาเป็นแขกในเวลานี้ถูกนักพรตน้อยเซาฮว่อที่แบกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกใหญ่ยักษ์พาไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้าในปีรัชศกชุนเจีย

คนทั้งสองทะยานผ่านขุนเขาเขียวสายน้ำใส ลอยตัวผ่านเมฆขาวกระเรียนเหลือง ในที่สุดก็มองเห็นภูเขาฝูหรงที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เมฆน้ำบนฟ้า’ รากภูเขาคล้ายดอกบัว ยอดเขาเหมือนดอกพุดตาน (ฝูหรง)

ลู่เฉินลดตัวลงนอกอาณาเขตของภูเขาฝูหรง จากนั้นก็พาอวี๋เจินอี้เดินลุยน้ำข้ามภูเขาต่อไปอีกครั้ง ทุกครั้งที่เจออากาศขมุกขมัวไปด้วยไอน้ำ ยามเดินอยู่บนสะพานเลียบหน้าผาของภูเขาฝูหรงจะทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในแดนเซียน ประหนึ่งดั่งเป็นเซียนที่อยู่ท่ามกลางเมฆขาว

ลู่ไถเจ๋อเซียนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกและได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขพรรคมารต่อจากติงอิง ใช้เวลาไม่ถึงสิบปีก็สามารถรวบรวมกองกำลังของลัทธิมารแต่ละสายให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ภูเขาฝูหรงที่ลู่ไถหมายตาแห่งนี้ ด้านบนได้สร้างคฤหาสน์หลบร้อนไว้แห่งหนึ่ง กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของพื้นที่มงคลดอกบัว วันนี้บนภูเขามีฝนตกปรอยๆ ไอน้ำขมุกขมัวแผ่อบอวล ลู่เฉินเพิ่งจะเดินขึ้นมาบนสะพาน เพิ่งจะท่องประโยคฝนเม็ดเล็กลมบางเบา แขนขาสี่ข้างข้ายืดผ่อนคลายจบ

ก็มีคนสามคนมาขวางทาง

ผู้ฝึกยุทธเถาเสียหยาง นักพรตหวงซ่าง หวนอินที่ฝึกควบทั้งเวทคาถาและวรยุทธ

ทุกคนล้วนเป็นวีรบุรุษผู้กล้าลำดับต้นๆ ของพื้นที่มงคลแห่งนี้อย่างสมชื่อ

พวกเขาคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ลู่ไถรับมาตอนอยู่ป้อมอินทรีบิน จากนั้นก็พาเข้ามาในพื้นที่มงคลแห่งนี้ กลายเป็นผู้นำยักษ์ใหญ่ของลัทธิมารที่ยึดครองพื้นที่หนึ่งไว้อย่างเผด็จการ ไม่เพียงแต่ดูแคลนอ๋องและโหวล่างภูเขา แม้แต่เทพเซียนที่ขึ้นเขาฝึกตน ในเวลายี่สิบกว่าปีมานี้ก็ถูกพวกเขาสังหารไปมากมาย อีกทั้งสิบคนในใต้หล้าที่เป็นคนรุ่นก่อนซึ่งได้รับโชควาสนาตระกูลเซียน ยกตัวอย่างเช่นโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ คนลับมีดหลิวจง ฯลฯ ต้องไปยังใบถงทวีปซึ่งเป็นบ้านเกิดของคนทั้งสาม นอกจากนี้ต่อให้อยู่ในพื้นที่มงคล คนที่ถือเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงก็แปลกประหลาดยิ่งนัก อันดับแรกก็เป็นจ้งชิวที่จู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมาก็เป็นอวี๋เจินอี้บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าที่ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นก่อกำเนิด ได้บินทะยานจากไป สุดท้ายเป็นเหตุให้พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งไม่เหลือใครที่สามารถงัดข้อถ่วงดุลกับลัทธิมารได้อีก พรรคต่างๆ ในยุทธภพทำไม่ได้ จวนเซียนบนภูเขาทำไม่ได้ จักรพรรดิล่างภูเขาก็ทำไม่ได้

ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนนี้ของลู่ไถ นักพรตหวงซ่างค่อนข้างจะเก็บออมฝีมือ ทุกวันนี้ได้เป็นราชครูของเมืองเหลืองแคว้นหนันเยวี่ยน ได้รับการแต่งตั้งเป็นชงซวีเจินเหรินแล้ว

ในความเป็นจริงแล้วเพราะลู่ไถเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ จึงเสนอให้ลัทธิเต๋าของใต้หล้าแต่งตั้งตำแหน่งสี่เจินเหรินใหญ่ ฉายาเต๋าแบ่งออกเป็นทงเสวียน ชงซวี หนันหัว ต้งหลิง

นอกจากหวงซ่างแล้ว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดพรรคหูซานคนหนึ่งของอวี๋เจินอี้ก็ได้รับตำแหน่งหนึ่งในนั้นไป

ใต้หล้าไม่มีอวี๋เจินอี้ ลู่ไถผู้เป็นอาจารย์ก็ไร้คู่ต่อสู้อย่างแท้จริง จึงไปซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาอย่างสันโดษ ประหนึ่งกระเรียนป่าที่โบยบินลอดก้อนเมฆอย่างอิสระเสรี ไม่มีความสนใจใดๆ ต่อพื้นที่มงคล มอบหมายใต้หล้าให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามคนจัดการดูแลอย่างเต็มที่ มีเพียงบางครั้งที่จะไปเยือนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเพราะชอบไปชมบรรยากาศวันที่หิมะหรือไม่ก็ฝนตก เขามักจะกางร่มเดินเล่นอยู่ในตรอกเพียงลำพัง ต่อให้เป็นลูกศิษย์อย่างหวงซ่างที่เป็นเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นก็ยังไม่อาจเข้าใกล้ได้ และเขาเองก็ไม่คิดจะไปรบกวนการผ่อนคลายอารมณ์ของอาจารย์อย่างเด็ดขาด เพียงแค่ได้ยินมาว่าอาจารย์รับลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาอีกคน ทว่าภูเขาฝูหรงถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามของทุกคน ใครเหยียบย่างเข้าไปล้วนต้องตาย พวกเถาเสียหยางสามคนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้พวกเขาก็ยังไม่เคยได้พบหน้าศิษย์น้องเล็กคนนั้น ทุกวันนี้มีข่าวลือเล็กๆ อย่างหนึ่งบอกว่าเด็กหนุ่มที่ไปถามกระบี่ต่อพรรคหูซานเพียงลำพังคนนั้นก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าลัทธิลู่ไถ

เถาเสียหยางสามคนต่างก็อยู่กันคนละแคว้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ อาจารย์เจ้าลัทธิถึงได้ส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าว บอกให้พวกเขามารับรองแขกที่ภูเขาฝูหรง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!