ชุยตงซานหันหน้ามายิ้มเอ่ย “แม่นางฉุนชิงเล่นหมากล้อมเป็นหรือไม่? จะหมากล้อมหรือหมากรุกก็ได้ทั้งนั้น”
ฉุนชิงส่ายหน้า “ไม่เป็น ไม่สนใจ เล่นได้ไม่ดี เจียงไท่กงมักจะลากสวี่ป๋ายไปเล่นหมากล้อมด้วยกันบ่อยๆ อาจารย์เว่ยบอกว่าเวลาดูหมากล้อมไม่ควรพูดสอดปาก เขาจะยืนอยู่ข้างสวี่ป๋าย หวังว่าสวี่ป๋ายจะชนะ ชอบถามว่าหมากนี้ของสวี่เซียนยอดเยี่ยมหรือไม่ หมากนั้นของสวี่เซียนสุดยอดหรือไม่ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าดีหรือไม่ดี ถ้าดีแล้วดีอย่างไร ดังนั้นเลยรู้สึกว่าน่ารำคาญ ภายหลังขอแค่อาจารย์เว่ยหันหน้ามาหา ข้าก็จะรีบพยักหน้าทันที บอกว่าถูกๆๆ ใช่ๆๆ สุดยอดๆๆ ยอดเยี่ยมๆๆ เดิมทีนึกว่าอาจารย์เว่ยเห็นข้าตอบรับอย่างขอไปทีจะเพลาลงหน่อย แต่สุดท้ายวิธีนี้ก็ยังไม่ได้ผลอยู่ดี”
ชุยตงซานทอดถอนใจ “แม่นางฉุนชิงเจ้าเสียเปรียบเพราะว่าปฏิบัติกับคนอื่นอย่างไม่จริงใจมากพอน่ะสิ ขอแค่ไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา เจ้าไปอยู่ที่ร้านตรอกฉีหลงสักสองสามวันก่อน เรียนรู้ศาสตร์การพูดจามาจากเทพเซียนผู้เฒ่าแซ่เจี่ยคนหนึ่ง ไม่เกินสิบวัน รับรองว่าต้องได้รับผลประโยชน์มหาศาล ทักษะเพิ่มพูนพรวดพราด นับแต่นี้ไปไร้ศัตรูใดทัดเทียมได้อีก”
ฉุนชิงเอ่ย “อย่าดีกว่า ข้าไม่มีความคิดเห็นอะไรกับภูเขาลั่วพั่วและภูเขาพีอวิ๋น อาจารย์น้อยชุยหากเจ้าสามารถสอนวิธีที่เห็นผลทันตาให้กับข้า ข้าก็จะพิจารณาอีกครั้งว่าจะไปหรือไม่ไปดี”
ชุยตงซานหัวเราะร่าทันที “นี่จะมีอะไรยากกัน จะสอนวิชาหนึ่งให้เจ้า รับรองว่าได้ผล ยกตัวอย่างเช่นคราวหน้าหากตาเฒ่าเว่ยทำให้เจ้ารำคาญใจอีก อันดับแรกให้เจ้าทำหน้าตาจริงจังก่อน ดวงตาสองข้างต้องแสร้งมองกระดานหมากแล้วทำท่าคิดหนัก ครู่หนึ่งค่อยเงยหน้าขึ้น พูดกับตาเฒ่าเว่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า สวี่ป๋ายถูกเรียกเป็น ‘เจียงไท่กงยามเป็นเด็กหนุ่ม’ อะไรนั่น ไม่ถูกๆ น่าจะเปลี่ยนเป็นบรรพบุรุษเจียงที่ถูกคนบนเขาขานเรียกอย่างไพเราะว่า ‘สวี่เซียนตอนแก่’ ถึงจะถูก”
ฉุนชิงกล่าวอย่างกังขา “จะสำเร็จจริงๆ หรือ?”
ชุยตงซานเอ่ย “พวกเรามาเดิมพันกัน หากสำเร็จ เจ้าต้องมอบเหล้าหมักตระกูลเซียนของภูเขาชิงเสินให้ข้าร้อยไห หากไม่สำเร็จ ก็ถือว่าข้าติดเหล้าหมักที่มีชื่อเสียงที่สุดของภูเขาลั่วพั่วเจ้าร้อยไห ตกลงไหม? ถึงเวลานั้นเจ้าก็ไปเอาที่ตรอกฉีหลงเองได้เลย”
ฉุนชิงครุ่นคิด ตนมีเหล้าเก็บไว้ทั้งหมดเจ็ดร้อยกว่าไห แพ้หรือชนะก็แค่ร้อยไห จำนวนเพิ่มขึ้นหรือน้อยลง ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นปัญหาสักเท่าไร เพียงแต่ฉุนชิงล่ะไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดชุยตงซานถึงได้คอยยุให้ตนไปภูเขาลั่วพั่วอยู่ตลอด เป็นผู้ถวายงาน เป็นเค่อชิง? ภูเขาลั่วพั่วต้องการหรือ? ฉุนชิงรู้สึกว่าไม่น่าจะต้องการสักเท่าไร อีกอย่างเคยได้เห็นการกระทำแปลกประหลาดของชุยตงซานกับตาตัวเองมาก่อน แล้วก็ยังได้ยินเรื่องงานเลี้ยงท่องราตรีของภูเขาพีอวิ๋นที่ชื่อเสียงระบือไกลมาอีก ฉุนชิงจึงรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองไปที่ภูเขาลั่วพั่ว เกินครึ่งก็คงจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของที่นั่นไม่ได้
ชุยตงซานนั่งอยู่บนราวรั้ว แกว่งขาสองข้าง ครวญบทเพลง ‘ลำนำงูและมังกร’ ที่ถูกปิดบังชื่อเอาไว้ “มีมังกรอยากจะบินทะยาน ห้างูช่วยประคับประคอง มังกรบินขึ้นฟ้า ได้สมใจปรารถนา สี่งูช่วยประสาน ประทานสายฝนน้ำค้าง ต่างเข้าไปยังจักรวาล หนึ่งงูแค้นเคือง ยอมตายอยู่ในป่า”
ฉุนชิงถาม “พูดถึงมังกรที่แท้จริงของถ้ำสวรรค์หลีจูตัวนั้นหรือ?”
ชุยตงซานกลับไม่ได้อธิบาย เพียงแค่หันหน้าไปบ่นพึมพำว่า “กวีป๋ายวลีซูเคียงคู่ สาดแสงโชติช่วงหมื่นจั้ง หล่อหลอมพันหมื่นปรากฎการณ์ คือหนึ่งใจบุ๋น”
ฉุนชิงพลันถามว่า “ตอนที่อาจารย์ฉียังเป็นหนุ่ม นิสัยของเขาถือว่า…ไม่ค่อยดีใช่ไหม?”
ชุยตงซานคิดแล้วก็เอ่ยว่า “อย่าว่าแต่ตอนเป็นหนุ่มเลย นับแต่เด็กมาเขาก็ไม่เคยมีนิสัยที่ดีมาก่อน ทะเลาะกับชุยฉานอยู่บ่อยๆ พอเถียงไม่ชนะก็ไปฟ้องซิ่วไฉเฒ่า ชอบต่อยตีกับจั่วโย่วมากที่สุด ทว่าต่อยตีไม่เคยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว บางครั้งขนาดจั่วโย่วยังหักใจซ้อมเขาไม่ลงแล้วด้วยซ้ำ ทว่าเด็กหนุ่มที่หน้าเขียวจมูกบวมยังจะท้าตีท้าต่อยกับจั่วโย่วไม่เลิก จั่วโย่วถูกชุยฉานห้ามไว้ ส่วนเขาก็ถูกเจ้าโง่ใหญ่ลากตัวไป แล้วยังฉวยโอกาสถีบจั่วโย่วอีกหลายที หากเปลี่ยนข้าเป็นจั่วโย่วก็คงทนไม่ไหวเหมือนกัน”
ฉุนชิงทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง
ชุยตงซานเอาแต่พูดจาแปลกประหลาดอยู่กับตัวเอง
ยามถึงฤดูหนาวหนาวเหน็บ น้ำในสระบัวจับตัวแข็ง ใบไม้แห้งร่วงโกร๋น กิ่งก้านหักเอียง ไม่เหลือโฉมยามฝนพร่างพรำ แม้แต่ปลาที่แหวกว่ายยังแยกย้ายถอยหนี
ฟ้าร้องกลางดึก ท้องฟ้าโคจรเหมือนล้อรถ ผู้เฒ่ายากจนยากข่มตาหลับ พอดีกับเด็กร้องไห้ผวา เสียงถอนหายใจดังเคล้าเสียงร้องไห้
ทางบนโลกเล็กแคบดั่งไส้แกะ ทางของนกราบเรียบ ตำหนักมังกรไร้น้ำ เสื้อผ้าหน้าหนาวยิ่งบางเบา ฝันดอกเหมยนอกประตูร่วงโรย ชายชราผมขาวถือไม้เท้ามองจุดที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ย เกิดสงสัยว่าข้าคือบุปผา ข้าคือหิมะ หิมะและบุปผาก็คือข้า
ไม่สู้หลับครั้งใหญ่ไปด้วยกัน…
……
ราชวงศ์ต้าเฉวียนภาคกลางของใบถงทวีป ท่าเรือใบท้อ
บนเรือที่จอดเทียบท่า เซอเยว่ยังคงต้มชารับรองแขก เพียงแต่ว่าคนดื่มชามีผู้ฝึกกระบี่เฝ่ยหรานผู้นำร้อยเซียนกระบี่แห่งภูเขาทัวเยว่เพิ่มมาอีกคน
แต่ไหนแต่ไรมาเซอเยว่ไม่เคยสนใจเรื่องการรบราฆ่าฟัน การต่อสู้สองครั้งก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นการต่อสู้แบบไม่มีต้นสายปลายเหตุ ไร้เหตุผล อีกทั้งล้วนเป็นอีกฝ่ายที่เอาแต่ตอแยอย่างป่าเถื่อน เจ้าตะพาบสองตัว คนหนึ่งแซ่เจียง คนหนึ่งแซ่เฉิน แล้วยังชอบพูดจาเหน็บแนมเสียดแทงใจคน มิน่าเล่าถึงเป็นพี่น้องคนสนิทกันได้ เจียงซ่างเจินคือเสือหน้ายิ้มที่ในท้องมีแต่ความคิดชั่วร้ายจริงๆ ส่วนเฉินผิงอันก็เป็นคนประเภทที่ชั่วชีวิตนี้เซอเยว่ไม่อยากจะพบเจออีก อายุไม่มากแต่กลอุบายกลับเยอะนัก หากขอบเขตเท่ากับเจียงซ่างเจิน เกรงว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นมีแต่จะลงมืออำมหิตมากกว่าเดิม
แต่เฝ่ยหรานกลับเป็นเพียงคนเดียวในบรรดากระโจมทัพมากมายที่ลงมือทำอะไรใกล้เคียงกับเซอเยว่มากที่สุด บนเกาะหลูฮวาและในถ้ำแห่งโชควาสนาบนทะเล พอไปถึงใบถงทวีป เฝ่ยหรานก็แค่เก็บเอานครเซิ่นจิ่งเข้ามาไว้ในกระเป๋าตัวเอง นับตั้งแต่ข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่มา ดูเหมือนว่าตั้งแต่ต้นจนจบเฝ่ยหรานจะยังไม่เคยฆ่าคนหรือทำสงครามสักเท่าไรมาก่อน นางจึงรู้สึกว่าพอจะนับเฝ่ยหรานเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันได้ แล้วก็เพราะสาเหตุนี้ แม่นางหน้ากลมถึงได้คีบใบชากำใหญ่จากโถชาคอยาวที่ทำจากดีบุกมาเพิ่มให้กับเขา
ครู่หนึ่งต่อมา เห็นว่าใบชาน่าจะต้มสุกได้พอประมาณแล้ว เซอเยว่จึงยื่นชาถ้วยหนึ่งให้เฝ่ยหราน เฝ่ยหรานรับมาไว้ในมือ จิบน้ำชาเบาๆ หนึ่งคำก็อดไม่ไหวหันไปมองแม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้าย นางกะพริบตาปริบๆ ถามอย่างคาดหวังว่า “รสชาติของน้ำชาดีขึ้นกว่าเดิมแล้วใช่ไหม?”
เฝ่ยหรานเอ่ยอย่างจนใจ “นับว่าใช่กระมัง ดื่มชาหากไม่ขมก็ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรจริงๆ”
เซอเยว่รู้สึกดีใจเล็กน้อย จึงพูดอย่างกระตือรือร้นพร้อมลงมือว่า “ฝีมือการต้มชาของข้า อันที่จริงถือว่าค่อนข้างธรรมดา แต่ฝีมือทำอาหารกลับไม่เลว สามารถหาวัตถุดิบจากท่าเรือใบท้อแห่งนี้ได้ ข้าจะจับปลากุ้ยตัวอ้วนๆ มาสักสองสามตัว จะเอามาต้มน้ำใส นึ่ง หรือตุ๋นน้ำแดงก็ได้หมด ห้องครัวบนเรือก็มีอุปกรณ์ครบถ้วน เจ้ากับอาจารย์โจวอยากลองชิมดูไหม? ต้องการข้าวด้วยไหม? ในวัตถุจื่อชื่อของข้ามีข้าวตระกูลเซียนอยู่หลายร้อยจิน กำลังกลุ้มอยู่ทีเดียวว่าจะกินไม่หมด”
โจวมี่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าดื่มน้ำเปล่ากินใบชานั่นแหละ”
เซอเยว่ขุ่นเคืองเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้อาจารย์โจวจับข้ามาขังไว้ในชายแขนเสื้อ ขอยืมแสงจันทร์วิญญาณดวงจันทร์ไปจากข้าเพื่อแสร้งทำเป็นว่าไปเยือนตำหนักดวงจันทร์มาแล้ว แค่นั้นก็ช่างเถิด เป็นเพราะฝีมือข้าสู้ท่านไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูด แต่เรื่องต้มชาดื่มชานี่เป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว อาจารย์โจวต้องคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้ด้วยหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!