บนยอดเขาภูเขาสุ้ยซาน
ซิ่วไฉเฒ่ากับเทพเกราะทองนั่งข้างกันอยู่บนขั้นบนสุดของบันได
องค์เทพแห่งภูเขาสุ้ยซานที่ขนาดนั่งก็ยังสูงกว่าซิ่วไฉเฒ่าตอนยืนถามว่า “ไม่คิดจะหันไปมองทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปบ้างหรือ? นี่ไม่เหมือนนิสัยของเจ้าเลย”
ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่ทางฝั่งขวามือของเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซาน ราวกับว่าทำอย่างนี้ก็จะสามารถหลบบุรพแจกันสมบัติทวีปมาได้ไกลกว่าเดิม ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่มองๆ คนผู้หนึ่งต่อให้ใจแข็งแค่ไหน แต่หัวใจจะทนการแตกสลายได้สักกี่ครั้ง”
เทพเกราะทองพลันทอดสายตามองไปยังทิศไกล เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “มีแขกหายากมาเยือนภูเขาสุ้ยซาน ซิ่วไฉเฒ่าเจ้าต้องการพบหน้าเขาหรือไม่? หากเจ้าคิดว่ารำคาญ ข้าก็จะไม่เปิดประตูแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “หากเป็นต่ง หัน จูสามคนนี้ของศาลบุ๋น เจ้าก็บอกไปว่าตาเฒ่าพูดแล้วว่าห้ามมารบกวนตอนที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ของพวกเรากำลังต่อยตีกับผู้อื่น”
อาจารย์ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสามคนก็คือเจ้าลัทธิและรองเจ้าลัทธิสามท่านของใต้หล้าไพศาล คือบรมครูด้านบุ๋นตามความหมายที่แท้จริง ช่วยสืบทอดสายบุ๋นซึ่งเป็นระบบของลัทธิขงจื๊อให้ดำรงยาวนานสืบไปนับพันปี
จุดศูนย์รวมแห่งความรู้ลัทธิขงจื๊อ เจ้าลัทธิศาลบุ๋นอาจารย์ผู้เฒ่าต่ง
เป็นผู้ริเริ่มเรื่องการสนองตอบระหว่างฟ้าและคน มือของเขาเป็นผู้จัดระเบียบสายบุ๋นที่วุ่นวายซับซ้อน นอกจากเพื่อกำหนดเค้าโครงให้กับสามสถานศึกษาเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาให้กับคนรุ่นหลังแล้ว ยังจัดตั้งไท่เซวี๋ย (สถาบันการศึกษาระดับสูงสุดของจีนในสมัยโบราณ) ผลักดันโรงเรียนรัฐ (กวนเซวี๋ย โรงเรียนที่จัดตั้งโดยรัฐบาลในสมัยโบราณ) อีกทั้งยังเสนอวิชาดั้งเดิมครบชุดสำหรับการฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อในสถานศึกษาและสำนักศึกษา ทำให้ฮ่องเต้จักรพรรดิในรุ่นหลังที่ไม่ว่าใครก็ตามที่พบเจอกับเหตุการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติผิดปกติ หรือค้นพบความผิดพลาดในการปกครองบ้านเมือง ก็จะต้องแสดงความสำนึกผิดของตนแก่ใต้หล้า โองการสำนึกผิดทุกฉบับที่จักรพรรดิของแต่ละแคว้นประกาศออกมาในทุกยุคทุกสมัย ต้นฉบับร่างดั้งเดิมล้วนถูกวิญญูชนสำนักศึกษาเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋า สุดท้ายถูกเก็บไว้ในศาลบุ๋นของแผ่นดินกลาง
วีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาจารย์ผู้เฒ่าต่งก็คือเกือบจะเตะโด่งร้อยสำนัก เพียงแต่ถูกหลี่เซิ่งปฏิเสธเรื่องนี้ เจ้าลัทธิศาลบุ๋นท่านนี้จึงถอยมาเลือกในระดับรองลงมา ใช้กำลังของตัวเองคนเดียววิจารณ์ข้อดีข้อเสียของความรู้เมธีร้อยสำนัก ประเมินสูงต่ำ จักรพรรดิบุกเบิกแคว้นในโลกมนุษย์มักจะกำหนดระดับขั้นของทำเนียบตระกูลให้กับแซ่สกุลร้อยแซ่ในพื้นที่การปกครอง อาจารย์ผู้เฒ่าต่งจึงประเมินสูงต่ำให้กับ ‘ร้อยสำนักไพศาล’ ในบรรดานั้นสำนักคำนวณ สำนักการค้าที่รายชื่ออยู่ลำดับรั้งท้ายก็ได้แต่ฝืนใจยอมรับไปเท่านั้น
ไม่เพียงเท่านี้ อาจารย์ผู้เฒ่าต่งยังสนับสนุนให้รวมมารยาทพิธีการเป็นหนึ่ง ควบรวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน ดังนั้นความรู้ของเจ้าลัทธิศาลบุ๋นท่านนี้จึงมีอิทธิพลต่อสำนักนิติธรรมและสำนักหยินหยางซึ่งมีตำแหน่งสูงมากในบรรดาเมธีร้อยสำนักอย่างถึงที่สุด
นี่จึงเป็นเหตุให้อาจารย์ผู้เฒ่าต่งถูกขนานนามให้เป็น ‘บรมครูแห่งลัทธิขงจื๊อในใต้หล้า’
รองเจ้าลัทธิอาจารย์ผู้เฒ่าหันและอาจารย์ผู้เฒ่าจู คนหนึ่งเรียบเรียงสร้างระบบสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังแบ่งแยกขอบเขตระหว่างวิญญูชนและนักปราชญ์ให้ละเอียดมากขึ้น อาจารย์ผู้เฒ่าหันจึงใกล้ชิดสนิทสนมกับสายหย่าเซิ่งมากที่สุดอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าการลุกผงาดของตำแหน่งฐานะของหย่าเซิ่งในศาลบุ๋น อาจารย์ผู้เฒ่าหันท่านนี้มีคุณความชอบอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือการบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ สร้างยอดเขาสูงอีกแห่งหนึ่งให้กับสายบุ๋น วิวัฒนาการ ‘มารยาทพิธีการ’ ให้กลายเป็น ‘หลักการเหตุผล’
ส่วนความรู้ของสายซิ่วไฉเฒ่านั้นกลับมีความขัดแย้งน้อยใหญ่กับทั้งเจ้าลัทธิหลักและเจ้าลัทธิรองสามท่านนี้พอดี
อาจารย์ผู้เฒ่าต่งได้เสนอ ‘ยึดหลักคุณธรรมของตัวเองให้เที่ยงตรง อย่าแสวงหาผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ในปัจจุบัน ทั้งยังต้องบ่มเพาะปลูกฝังในสิ่งที่ตนเชื่อมั่น อย่ารีบร้อนเก็บเกี่ยวผลลัพธ์’ มานานแล้ว แต่สายของเหวินเซิ่งกลับเสนอทฤษฎีคุณความชอบและกิจการงานออกมาในท้ายที่สุด จึงชักนำให้เกิดศึกตรีจตุที่เปลี่ยนจากเบื้องหลังมาเป็นเดินขึ้นเวทีในครานั้น แม้จะบอกว่าทฤษฎีคุณความชอบและกิจการงานจะเป็นชุยฉานลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งที่เสนอออกมา แต่ในสายบุ๋นทั้งหลายที่อยู่ในระบบของลัทธิขงจื๊อ แน่นอนว่าย่อมมองว่าเป็นทฤษฎีความคิดหลักอย่างที่สองซึ่งเชื่อมโยงต่อมาจาก ‘สันดานเดิมนั้นเลวทราม’ ของซิ่วไฉเฒ่า ดังนั้นศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางจึงพากันมองทฤษฎีคุณความชอบและกิจการงานเป็นจุดประสงค์รากฐานความรู้ของตัวซิ่วไฉเฒ่าเอง นอกจากนี้เนื่องจากชุยฉานเสนอให้เปลี่ยนอักษรคำว่า ‘เมี่ย’ (กำจัด/ดับ/สิ้นสูญ) ให้เป็น ‘เจิ้ง’ (เที่ยงตรง/ถูกต้อง/ชอบธรรม) มาโดยตลอด เพราะรู้สึกว่าเหมาะสมถูกต้องมากกว่า นี่ก็สร้างความไม่พอใจให้กับสายบุ๋นฝ่ายของอาจารย์ผู้เฒ่าจูด้วย อีกทั้งชุยฉานยังถูกฝ่ายตรงข้ามใช้คำว่า ‘เอ้อ’ (ชั่วร้าย) มาพูดโต้แย้ง ย้อนถามกลับชุยฉาน สายบุ๋นของเจ้าและข้าสองฝ่าย ดูสิว่าใครจะพูดจาให้คนตกตะลึงได้มากกว่ากัน…
ลูกศิษย์ไม่รับอาจารย์เป็นอาจารย์แล้ว แต่มีอาจารย์ที่ไหนที่ไม่ห่วงใยลูกศิษย์
เทพเกราะทองรู้สึกนับถือในความใจกล้าของซิ่วไฉเฒ่าจริงๆ เมื่อก่อนเวลาปกติที่พวกเขาอยู่บนภูเขาสุ้ยซานจะพูดจาเหลวไหลแค่ไหนก็ช่างเถิด แต่เวลานี้ปรมาจารย์มหาปราชญ์นั่งอยู่ด้านข้างเองนะ ซิ่วไฉเฒ่าก็กล้าทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ด้วยหรือ?
คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นจะพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”
ถึงอย่างไรซิ่วไฉเฒ่าก็มีความสามารถในการพูดจาเหลวไหล จึงไม่กลัวว่าหลังจากนี้จะถูกคิดบัญชีย้อนหลัง ย่อมต้องมีความสามารถในการแบกรับคำด่าของศาลบุ๋นอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ถึงเวลาพอเถียงกันขึ้นมา ใครด่าใครก็ยังไม่แน่หรอกนะ
เทพเกราะทองเอ่ยอย่างจนใจว่า “ไม่ใช่เจ้าลัทธิศาลบุ๋นสามท่าน แต่เป็นอาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาว”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ทีแรกก็หันไปขยิบตาให้สหายรักที่อยู่ข้างกายก่อน แต่คงเพราะไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะเปิดประตูทันที ตัวเองอาจเปลืองน้ำลายไปเสียเปล่า ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าจึงยึดคอยาวออกไป พบว่าประตูใหญ่เปิดไว้แล้วจริงๆ ถึงได้แสร้งหันมาพูดกับเทพเกราะทองเสียงดังว่า “อาจารย์เจิ้ง? นี่ไม่ห่างเหินไปหน่อยหรือ หากตาเฒ่าไม่พอใจ ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง จะไม่ยอมให้พี่ใหญ่ไหวเซียนต้องลำบากใจเด็ดขาด เจ้าดูสิ เหล่าเจิ้งผู้นี้เป็นถึงผู้นำยักษ์ใหญ่ของลัทธิมารก็ยังกล้ามาพบปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่นี่ ลำพังแค่ความกล้าหาญนี้ จะไม่คู่ควรกับบุคคลอันดับหนึ่งของลัทธิมารได้อย่างไร? บุคคลอันดับหนึ่งต้องเป็นเขาแน่แล้ว หากเปลี่ยนคนอื่นมานั่งเก้าอี้ตัวนี้ ข้าคนแรกเลยที่จะไม่ยอม ปีนั้นหากไม่เป็นเพราะหย่าเซิ่งขวางเอาไว้ ป่านนี้ข้าก็คงส่งกรอบป้ายไปให้นครจักรพรรดิขาวนานแล้ว กลอนคู่แนวตั้งและกลอนแนวนอนหน้าประตูบ้านของน้องเทียนไล่ภูเขามังกรพยัคฆ์ เจ้าคงรู้จักกระมัง เขียนเป็นอย่างไร ธรรมดามาก แต่ก็ยังถูกน้องเทียนไล่เอาขึ้นแขวนอยู่ดีไม่ใช่หรือ พอไปถึงนครจักรพรรดิขาวของพี่ใหญ่เจิ้ง ข้าดื่มเหล้าแค่คำเดียว แรงบันดาลใจในการเขียนกลอนก็บังเกิดขึ้นได้แล้ว ขอแค่สำแดงศักยภาพออกมาสักแปดส่วนก็ต้องกดข่มจวนเทียนซือได้ทันทีเลย…”
หลังจากที่เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานเปิดประตูใหญ่แล้ว เจิ้งจวีจงที่สวมชุดตัวยาวสีขาวหิมะก็เดินก้าวหนึ่งจากริมขอบของอาณาเขตตรงมาที่หน้าประตูตีนภูเขาทันที แล้วหยุดเดินแต่เพียงเท่านี้ เขาประสานมือคารวะปรมาจารย์มหาปราชญ์ก่อน จากนั้นถึงเงยหน้ามองซิ่วไฉเฒ่าที่พูดจาเลื่อนเปื้อนส่งเดช ฝ่ายหลังลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม เจิ้งจวี้จงถึงได้ดีดนิ้วหนึ่งที ตราผนึกเล็กจิ๋วที่อยู่ตรงหูสองข้างของตนถึงได้แตกสลายไป
เห็นได้ชัดว่าเจ้านครจักรพรรดิขาวท่านนี้ไม่ยินดีจะรับน้ำใจของซิ่วไฉเฒ่าเอาไว้
ซิ่วไฉเฒ่าที่เปลืองแรงเปล่าอึ้งงันอยู่กับที่ มารดามันเถอะ เหตุใดเจ้าเจิ้งจวีจงผู้นี้ถึงได้หน้าไม่อายเพียงนี้ คราวหน้าจะต้องมอบสี่คำว่าเล่นหมากล้อมห่วยแตกตัวใหญ่ๆ ให้กับนครจักรพรรดิขาวของเขาแน่นอน
เทพเกราะทองถาม “จะยังพบอีกหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!