ดูเหมือนว่าโจวมี่จะวางแผนมาไว้นานแล้ว นอกจากตำแหน่งหัวเรือที่คนทั้งสองยืนอยู่ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ฟ้าดินทั้งหมดนอกจากนั้น แม้แต่ท่าเรือใบท้อที่เป็นท่าเรือเดียวกัน ราชวงศ์ต้าเฉวียนอันเป็นที่ตั้งของท่าเรือใบท้อ ใบถงทวีป ใต้หล้าไพศาล กลับเหมือนกลายมาเป็นพื้นที่ว่างเปล่าเวิ้งว้างในห้วงจักรวาล มีเพียงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศดั่งตะเกียงสองดวง สาดแสงส่องลงมาเบื้องล่าง ประหนึ่งมีเรือกลวงลำหนึ่งกับเซียนสองคนที่พร้อมใจกันมาก้าวเดินอยู่บนความว่างเปล่า ย่างเท้าก้าวเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ดำรงอยู่มายาวนานพร้อมกัน
ภาพโคมม้าวิ่งแต่ละภาพแปรเปลี่ยนไปบนท่าเรือไม่หยุดนิ่ง สาดประกายแสงแก้วใสเจ็ดสีที่มีเฉพาะบนม้วนภาพแห่งกาลเวลาเท่านั้น ส่องลงบนร่างของบัณฑิตสองคนที่ยืนคุมเชิงกัน จนร่างพวกเขาเกิดประกายเรืองรอง มองดูคล้ายเทพบรรพกาลสองตนที่เงียบงันไร้ความรู้สึก
ฉีจิ้งชุนยืนอยู่บนหัวเรือด้านหนึ่งของเรือที่ลอยตัวอยู่ กวาดตามองไปรอบด้าน มองม้วนภาพแห่งกาลเวลามากมายที่ปรากฎวูบขึ้นแล้วพลันจางหายไป ปัญญาชนชุดเขียวท่านนี้ อันที่จริงตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ออกเดินทางไกลไม่บ่อยนัก ถือว่าเป็นคนที่เคยเดินผ่านขุนเขาสายน้ำมาน้อยที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวินเซิ่ง ตอนยังเยาว์มาขอเล่าเรียน ตอนเป็นเด็กหนุ่มศึกษาหาความรู้ ภายหลังก็แค่ออกไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนศิษย์พี่จั่วโย่วที่คิดอยากจะหันไปฝึกกระบี่ จึงได้ไปเที่ยวที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมารอบหนึ่ง แต่ก็แค่เวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี อันที่จริงยังไม่เคยไปสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงสักเท่าไรด้วยซ้ำ หลังจากนั้นสายบุ๋นก็เจอกับหายนะครั้งใหญ่ สุดท้ายชุยฉานซิ่วหู่ที่ทรยศออกจากสายเหวินเซิ่งได้เลือกแจกันสมบัติทวีป กลายไปเป็นราชครูของต้าหลี ส่วนฉีจิ้งชุนที่ดูเหมือนว่าพอกลายเป็นศัตรูกับชุยฉานแล้วก็ใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน พาลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อสองคนของสายบุ๋นอย่างเหมาเสี่ยวตงและหม่าจานเดินทางไปแจกันสมบัติทวีปด้วยกันสามคน ก่อตั้งสำนักศึกษาซานหยาที่ติดหนึ่งในอันดับเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อขึ้นในเมืองหลวงราชวงศ์ต้าหลี คอยงัดข้อปัดแข้งปัดขาชุยฉานทุกเรื่อง ต่อจากนั้นฉีจิ้งชุนก็ได้รับหน้าที่เป็นอริยะผู้เฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจูเป็นเวลาหกสิบปี
โจวมี่เองก็มองประเมินรอบด้านอยู่เช่นกัน คอยจับสังเกตการแสดงออกของมหามรรคาและการเผยความลับสวรรค์ที่เล็กน้อยทั้งหลาย เพียงไม่นานโจวมี่ก็ค้นพบเบาะแส ในช่องว่างของม้วนภาพแห่งกาลเวลาเหล่านั้นมีภาพเหตุการณ์ประหลาดเล็กๆ เหมือนแสงดาว ดุจเปลวเทียนที่ส่ายไหว ต่อให้เปลวเทียนจะจากไปไกลแล้วแต่ก็ยังมีเศษเสี้ยวแสงสว่างน้อยนิดหลงเหลืออยู่ที่เดิม สุดท้ายเชื่อมโยงต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นเส้นทางที่ชัดเจนเส้นหนึ่ง เหมือนกับท้องน้ำที่รองรับกระแสน้ำแห่งกาลเวลาเอาไว้ หากเอาไปไว้ในภูเขาสายน้ำที่แท้จริงของใบถงทวีป เส้นทางสายนี้ก็จะมีจุดเริ่มต้นที่สำนักฝูจี ถนนเรียกสวรรค์ ป้อมอินทรีบินตระกูลหวน ยาวจากตะวันตกจรดตะวันออก จุดเชื่อมโยงระหว่างแคว้นเป่ยจิ้นกับต้าเฉวียน ศาลเทพวารีลำคลองม่ายเหอ ท่าเรือใบท้อ ยอดเขาจ้าวผิง ท่าเรือยอดเขาเทียนแจว๋ของทางเหนือ จากใต้ไปเหนือ ระหว่างนั้นยังมีที่ตั้งเดิมของอารามกวานเต๋าที่เป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนถ่ายที่สำคัญที่สุด
แม้โจวมี่จะสงสัยว่าเหตุใดฉีจิ้งชุนถึงไม่ปิดบังแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงพูดโพล่งเผยความลับไปโดยตรง “เส้นทางไปใบถงทวีปที่เฉินผิงอันเคยเดินทางผ่านเส้นนี้ก็คือไฟ ‘สมอเรือ’ ที่ศิษย์พี่ชุยฉานช่วยเลือกให้เจ้า? ดังนั้นจึงไม่กลัววิธีบังคับแม่น้ำกาลเวลาที่ข้าใช้เล่นงานป๋ายเหย่ขอบเขตสิบสี่ตอนอยู่ที่ฝูเหยาทวีปก่อนหน้านี้เลยสักนิด? ซึ่งก็หมายความว่าทุกวันนี้ในใจของเจ้าฉีจิ้งชุนมีความคิดอยู่มากมาย ความคิดใหญ่อย่างหนึ่งก็คือเฉินผิงอันศิษย์น้องของเจ้า? ดูท่าศิษย์น้องสองคนอย่างพวกเจ้าก็คงไม่เคยทำให้ศิษย์พี่สองคนผิดหวังเลยสินะ ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวความคิดจิตใจถึงได้หมกมุ่นคล้ายไม่ตั้งใจแต่ก็คล้ายจะเจตนา ราวกับว่ากำลังร่วมท่องภูเขาสายน้ำกับใครบางคนอยู่ บัณฑิตที่สุดท้ายแล้วกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งพวกเจ้าคนนี้ คาดว่าตัวเขาเองก็คงตระหนักไม่ได้ว่า ตำราที่ตัวเองเขียนขึ้นมาเป็นเล่มแรกในชีวิตก็คือบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนี้ บังเอิญยิ่งนัก มันกลับขานรับอยู่กับการเดินทางไกลมาเยือนใบถงทวีปของเจ้าฉีจิ้งชุนในวันนี้พอดี”
ฉีจิ้งชุนไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ยังคงเอาแต่มองม้วนภาพแห่งกาลเวลาอยู่ทางฝั่งนั้น
โจวมี่ไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของฉีจิ้งชุน เกินครึ่งน่าจะเป็นแผนการของซิ่วหู่ผู้นั้นมากกว่า เพราะชุยฉานทำอะไรคาดหวังในผลประโยชน์มากกว่า
มิน่าเล่าพอฉีจิ้งชุนผู้นี้ปรากฎตัวก็กล้าเลือกสนามรบเป็นใบถงทวีปทันที หนึ่งคือคิดคำนวณได้ถึงฟ้าดินใหญ่ซึ่งเป็นของในกระเป๋าของเขาโจวมี่ได้ก่อนแล้ว เพราะทางถอยล้วนมีศิษย์พี่อย่างชุยฉานและศิษย์น้องอย่างเฉินผิงอันร่วมแรงกันปูไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ทางถอยเส้นนี้ทั้งเหมือนเด็กๆ เล่นสนุกกันแล้ววางกิ่งไม้สองกิ่งไว้บนพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ คนจากไปไกลแล้วแต่กิ่งไม้กลับยังอยู่
แล้วก็เหมือนแอ่งน้ำเล็กๆ บนเส้นทางดินโคลนในตรอกเก่าโทรมที่มีคนเดินผ่านแล้วเอาหินก้อนแล้วก้อนเล่ามาวางปูไว้
ฉีจิ้งชุนในตอนนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด ทั้งไม่มีเรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสา แล้วก็ไม่มีจิตวิญญาณที่แท้จริง แม้ว่าจะเป็นคนไร้ขอบเขตที่ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งจับต้องได้จริงล้วนว่างเปล่าล่องลอย แต่กลับมีตบะขอบเขตสิบสี่
ดังนั้นฉีจิ้งชุนจึงไม่สามารถแบ่งสมาธิไปสร้างความคิดใดๆ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการทำลายขอบเขตที่ลี้ลับมหัศจรรย์นี้ลงด้วยตัวเอง พูดง่ายๆ ก็คือฉีจิ้งชุนได้วาดพื้นที่เป็นกรงขังให้กับตัวเองนานแล้ว ตอนนี้หลงเหลืออยู่เพียงแค่ความคิดไม่กี่อย่างที่จะเรียกว่าเป็นความศรัทธาก็ได้ นอกจากนี้ทุกอย่างล้วนถูกทำลายไปสิ้น กลายมาเป็นหุ่นเชิด หลายปีที่ผ่านมานี้ ฉีจิ้งชุนกักตัวเองอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาช่วงหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ความทุกข์ทรมานระหว่างนี้ จะมีสักกี่คนบนโลกที่เข้าใจ มีไม่เกินหนึ่งมือนับอย่างแน่นอน บรรพจารย์สามลัทธิ ชุยฉาน โจวมี่ ขอบเขตสิบสี่นอกจากนี้ ต่อให้ตบะเพียงพอ แต่ถึงอย่างไรความเข้าใจที่มีต่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาก็ไม่ทะลุปรุโปร่งเท่าพวกเขาห้าคน
ดังนั้นอันที่จริงจึงง่ายที่ฉีจิ้งชุนจะตอบไม่ตรงคำถาม พูดเองเออเอง ทุกอย่างล้วนมีเพียงความคิดไม่กี่อย่างที่หลงเหลืออยู่เป็นหลักในการหยัดยืน หากมีความคิดใดเพิ่มเข้ามา ตบะของฉีจิ้งชุนก็จะได้รับความเสียหาย
เป็นเหตุให้การเข่นฆ่าของทั้งสองฝ่ายต่อจากนี้จะไม่เหมือนกับของป๋ายเหย่ที่ใช้บทกวีในใจผสานมรรคา หากป๋ายเหย่ที่พกกระบี่มีบทกวีในใจให้ใช้ไม่หมดสิ้น ตบะก็จะอยู่บนยอดเขาตลอดเวลา ทว่าขอบเขตสิบสี่ของฉีจิ้งชุนที่อยู่ตรงหน้านี้กลับมีแต่ยิ่งนานก็จะยิ่ง ‘ลงจากเขา’
ขนาดฉีจิ้งชุนยังไม่รีบร้อน โจวมี่ก็ยิ่งไม่คิดจะทำอะไร
โจวมี่พลันยิ้มเอ่ยว่า “รู้ที่พึ่งของเจ้าแล้ว ถ้ำสวรรค์หลีจูที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากเจ้าฉีจิ้งชุนมาตลอดหกสิบปี เคยฟูมฟักให้กำเนิดคนจิ๋วควันธูปร่างทองที่โชคชะตาบุ๋นบู๊ผสานกลมกลืนกัน เพียงแต่การเลือกของเจ้าไม่ค่อยดีสักเท่าไร เหตุใดไม่เลือกเทวรูปดินเผาในสุสานเทพเซียนที่เหมาะสมยิ่งกว่านี้ล่ะ ดันมาเลือกองค์ที่เสียหายหนักหนายิ่งกว่าองค์นี้แทน? ผลกรรม? เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่? หรือว่าแค่ถูกชะตาเท่านั้น?”
เป็นดั่งคำว่าคำพูดเอ่ยจากปากคาถาติดตามของอริยะเช่นเดียวกัน หลังจากถูกโจวมี่พูดเปิดโปงความลับสวรรค์ ด้านหลังของฉีจิ้งชุนก็มีกายธรรมวิชาลับตนหนึ่งปรากฎขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ เป็นเทพสวมเสื้อเกราะห้าสีที่เทวรูปลงสีเต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่าง ร่างทองปริแตกแทบไม่เหลือสภาพดี แต่บนมวยผมกลับปักปิ่นหยก เสื้อเกราะเป็นชิ้นเหมือนเกล็ดปลาที่ร้อยเรียงต่อกัน ริมขอบของเสื้อเกราะประดับด้วยไข่มุกสองเส้น เม็ดไข่มุกที่ร้อยเรียงกันกลมเต็มแวววาว โชคชะตาขุนเขาสายน้ำที่เกิดจากการรวมตัวกันของคนจิ๋วสีทอง ฉีจิ้งชุนใช้วิชาที่บุกเบิกวิถีทางแบบใหม่ ทำให้มาถึงขอบเขตที่สามารถประกอบจิตวิญญาณให้กลับมาสมบูรณ์เต็มดังเดิมได้ชั่วคราว จากนั้นก็ใช้เทวรูปหลิงกวานของลัทธิเต๋าตนหนึ่งมาเป็นที่พักพิง ก่อนจะนำจิตแห่งพุทธมาสร้างความมั่นคงให้กับ ‘จิตวิญญาณ’ สุดท้ายผสานรวมกับภาษาธรรมประโยคที่ว่า ‘แม้แสงสว่างจะดับสิ้น แต่ตะเกียงยังคงอยู่’
นี่ก็คือฟ้าคนรวมเป็นหนึ่งที่บัณฑิตลัทธิขงจื๊อไล่ตามแสวงหาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แล้วก็เป็นการหลุดพ้นจากอุปาทาน ตัดขาดจากความคิดอันสับสน อยู่ในอรจิษมตีภูมิ (ภูมิที่สี่ของทศภูมิหรือโพธิสัตว์ทศภูมิ เป็นคติว่าด้วยลำดับการบรรลุธรรมของพระโพธิสัตว์ ในภูมินี้พระโพธิสัตว์มีปัญญาเรืองรอง หลุดพ้นจากการยึดติด ประกาศภูมิรู้ชัด อีกทั้งยังมีความเพียรในการบำเพ็ญธรรม (สมาธิ) ภูมินี้มีวิริยะบารมีเป็นใหญ่) อันเป็นภูมิที่สี่ของลัทธิพุทธ และยิ่งเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าเหยียบย่ำลงบนความว่างเปล่าเฝ้ารักษาความเงียบสงบ เรือกลวง (เรือกลวงหมายถึงเรือที่ไม่มีคน เปรียบเปรยถึงหัวใจที่กว้างขวาง ในทางลัทธิเต๋าคือให้มองตัวเองว่าไม่มีตัวตน เมื่อเราไม่มองตัวเองว่ามีตัวตน ไม่ว่าคนอื่นจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็ทำร้ายเราไม่ได้) ว่างเปล่าสว่างไสวของลัทธิเต๋า
ฉีจิ้งชุนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของโจวมี่ ก้มหน้าลงมองเส้นทางที่เมื่อเทียบกับฟ้าดินกว้างใหญ่แล้วก็ถือว่าเล็กบางอย่างมากเส้นนั้น หรือควรจะเป็นพูดว่าเป็นเส้นทางหัวใจช่วงหนึ่งจากเมื่อครั้งที่เฉินผิงอันมาท่องเที่ยวใบถงทวีปในอดีต ฉีจิ้งชุนทำการอนุมานไม่เท่าไรก็ค้นพบว่าเด็กหนุ่มที่ในอดีตสะพายกระบี่ออกเดินทางจากบ้านเกิดแล้วได้หวนกลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้งคนนั้น มีเส้นทางหัวใจที่บางครั้งก็มีความสุข เป็นการจับมือกับสหายสนิทออกเที่ยวชมขุนเขาสายน้ำยิ่งใหญ่งดงามไปด้วยกัน บางครั้งก็เสียใจ เหมือนตอนอยู่บนถนนเส้นเล็กในตรอกของป้อมอินทรีบิน แล้วต้องมองส่งเด็กๆ ส่วนหนึ่งออกเดินทางไกลกับตาตัวเอง บางครั้งก็เป็นความฮึกเหิมของเด็กหนุ่มที่หาได้ยาก ยกตัวอย่างเช่นตอนอยู่ในจวนเทพวารีลำคลองม่ายเหอที่อาจารย์น้อยพูดถึงเรื่องลำดับขั้นตอน พอพูดจบก็เมาพับไป…
ปัญญาชนชุดเขียวที่เดิมทีไม่ควรมีความคิดอย่างอื่นบังเกิดขึ้นกลับคลี่ยิ้มบางๆ “ตะเกียงในใจเมื่อถูกจุด เส้นทางกลางคืนก็เหมือนกลางวัน ฟ้าดินเยียบเย็น ต้นไม้สองข้างทางกลับเขียวขจีอยู่ตลอด ศิษย์น้องเล็กได้อ่านตำราไปไม่น้อยเลยจริงๆ”
ฉีจิ้งชุนฝืนทำลายสภาพจิตใจตอนนี้ซึ่งในบางระดับถือว่าเป็นความจริงใจอันซื่อสัตย์ของตน พึมพำว่า “อาจารย์ยุ่งเกินไป ชุยฉานอำมหิตเกินไป จั่วโย่วดื้อดึงเกินไป อายุน้อยเกินไป ภาระหนักเกินไป ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีศิษย์น้องเล็กที่ต้องเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจเช่นนี้บ้าง”
ฉีจิ้งชุนไม่คิดจะมองโจวมี่ “ทั้งดีใจและทั้งประหลาดใจใช่หรือไม่ที่ข้าทำลายตบะตัวเองเช่นนี้ สอนให้เจ้ารู้ว่าอะไรที่เรียกว่ามุ่งมั่นลึกซึ้งถึงแก่น แต่ข้ากลับเป็นฝ่ายถอยออกไปจากขอบเขตนี้เอง บัณฑิตเช่นเจ้า อย่าว่าแต่ทำได้เลย แม้แต่เข้าใจก็ยังไม่เข้าใจ รู้ว่าเจ้าไม่เชื่อ ข้อนี้เจ้าเหมือนกับชุยตงซานตอนที่เพิ่งไปถึงถ้ำสวรรค์หลีจูในปีนั้นอย่างมาก แต่เจ้าก็อย่าได้รู้สึกว่าตัวเองกับซิ่วหู่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน เจ้าไม่คู่ควร ต่อให้ชุยฉานจะหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนอย่างไรก็ยังเป็นลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่ง และก็ยังเป็นบัณฑิตของไพศาล”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!