แผนการนี้โจวมี่ไม่กล้าพูดว่าต้องสำเร็จอย่างแน่นอน แต่ขอแค่อิ่นกวานหนุ่มไม่ระวังก็จะต้องพ่ายแพ้ทั้งกระดาน
และในช่วงเวลาระหว่างนี้ อันที่จริงบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นได้ทำเรื่องพังไปมากมาย เดิมทีควรเป็นฝีมือเทพเซียนที่ชุยฉานและโจวมี่ต่างคนต่างร่ายวิชาอภินิหารร่วมกัน ตอนนั้นการที่โจวมี่สั่งให้หลีเจินมอบหนังสือเล่มนี้ออกไป ให้เฉินผิงอันที่เบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุดได้ยืมอ่าน ก็เพราะโจวมี่รู้สึกว่านี่คือโอกาสที่จะทำลายสถานการณ์ที่ชะงักค้างลง อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้จิตใจของเฉินผิงอันเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม คิดไม่ถึงว่ากลับทำให้จิตแห่งมรรคาของเฉินผิงอันยิ่งมั่นคงแข็งแกร่งมากกว่าเดิม ราวกับว่าแค่อ่านตำรารอบเดียวก็เข้าใจเจตนาของซิ่วหู่ชุยฉานแล้ว
บัณฑิตหนีพ้นกรงขังของคำว่าผลประโยชน์ไปได้ แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะหนีพ้นฟ้าดินของอักษรคำว่า ‘ชื่อ’ ไปได้
ดังนั้นตอนที่หลีเจินมอบบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นออกไป อันที่จริงโจวมี่ก็ได้หลอมตัวอักษรหกตัวแล้วเอาแสงศักดิ์สิทธิ์สี่ดวงไปซุกซ่อนในบันทึกก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะเอาไปอ่านแล้ว ซึ่งแยกไปซ่อนไว้ในตัวอักษรสี่ตัวคำว่า ‘นกขมิ้น’ ‘ปลามังกร’ ของบทที่สี่ ก็เพื่อป้องกันชุยฉาน นอกจากนี้ยังมีคำว่า ‘หนิง’ และ ‘เหยา’ สองคำที่ยิ่งซุกซ่อนดวงจิตเสี้ยวหนึ่งที่โจวมี่ดึงออกมา ก็เพื่อเล่นงานจิตใจของอิ่นกวานหนุ่ม นึกไม่ถึงว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันกลับไม่เคยเอาตัวอักษรไปไว้ในทะเลสาบหัวใจ เพียงแต่ใช้วิชาอภินิหารของหยกดิบปลอมมาเก็บมันไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อเท่านั้น
ตอนนั้น ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ ที่ได้ผสานมรรคากลายเป็นจิตหยินของโจวมี่ไปแล้วยอมแหกกฎปรากฏตัว ไปคุยเล่นกับเฉินผิงอันบนหัวกำแพงเมือง เป้าหมายหนึ่งในนั้นก็เพื่อทำลายแสงศักดิ์สิทธิ์และจิตวิญญาณเหล่านั้นให้สิ้นซาก จากนั้นค่อยยืมใช้การไหลทวนกระแสของแม่น้ำแห่งกาลเวลาทำให้เฉินผิงอันไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าซิ่วหู่ไม่เห็นชีวิตของศิษย์น้องเล็กคนนี้อยู่ในสายตาเลยจริงๆ เพราะขอแค่มีจุดเชื่อมต่อใดเกิดช่องโหว่ขึ้นมา เฉินผิงอันก็จะไม่ใช่เฉินผิงอันอีกต่อไป
หรือควรจะบอกว่าสถานการณ์ถามใจของ ‘เฉินผิงอัน’ และ ‘ทะเลสาบชิ่งจู๋’ ในบันทึกเล่มนั้นก็ถือเป็นการปกป้องมรรคาอย่างน่าเหลือเชื่อของชุยฉานอย่างหนึ่งด้วย? ปล่อยให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ห้อมล้อมไปด้วยอันตรายของจิตใจคนอันชั่วร้าย และจิตแห่งมรรคาของตัวข้าเองก็อาจแหลกสลายได้ทุกเมื่อเร็วขนาดนั้นเลยหรือ?
การหล่อหลอมโชคชะตาสามทวีปที่อยู่บนชุดคลุมอาคมบนร่างของเซียวสวิ้น จั่วโย่วปล่อยกระบี่ออกไปก็เท่ากับว่าฟันลงบนร่างของอาจารย์ แต่จั่วโย่วกลับยังฟันแล้วฟันอีก ออกกระบี่อย่างไร้ความลังเล
แล้วฉีจิ้งชุนก็ยังเป็นขอบเขตสิบสี่เช่นนี้อีก
บวกกับอิ่นกวานหนุ่มแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ซิ่วหู่ชุยฉานแห่งแจกันสมบัติทวีป
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเหวินเซิ่งไม่ต้องพูดถึงขอบเขตพูดถึงตบะกันเลย? ฝึกฝนจิตใจกันอย่างไร? มีสมองกันแบบไหน?
โจวมี่รู้สึกนับถือจากใจจริง ถอนฟ้าดินจิตธรรมสามแห่งที่ต้องกลับมามือเปล่าทิ้งไป
เขาเอาสองมือไพล่หลัง “หากไม่ใช่การปรากฏตัวของเจ้า วิธีการรับมือเบื้องหลังมากมายที่ข้าซุกซ่อนไว้ คนบนโลกล้วนไม่อาจได้รู้ แพ้ก็ต้องโทษที่ชะตากรรม ชนะเพราะอาศัยดวง ฉีจิ้งชุนแค่เบิกตามองเสียให้พอใจ”
มหาสมุทรตำรากว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดแห่งหนึ่งมองดูเหมือนเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่แท้จริงแล้วกลับตัดสลับกันวุ่นวาย อีกทั้งยังมีฟ้าดินน้อยใหญ่อีกไม่น้อยทับซ้อนกันอย่างลี้ลับมหัศจรรย์ จุดตัดจุดเชื่อมต่อมีความพิถีพิถันอย่างยิ่ง ท่ามกลางฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งนี้ แม้แต่แม่น้ำแห่งกาลเวลาก็ยังไม่ดำรงอยู่ เพียงแต่ว่าหลังจากสูญเสีย ‘เวทอำพรางตา’ สองชั้นที่เป็นทั้งตราผนึกของฟ้าดินและเป็นทั้งผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ไป ก็มีหอเรือนแห่งหนึ่งที่เดิมทีโจวมี่เก็บซ่อนเอาไว้ปรากฎขึ้นมา เชื่อมโยงฟ้าดินเข้าด้วยกัน ก็คือหนึ่งในรากฐานมหามรรคาในใจของโจวมี่ หอเรือนแบ่งออกเป็นสามชั้น มีคนสามคนเฝ้าพิทักษ์อยู่ด้านใน หนึ่งคือบัณฑิตกระดูกขาวสวมชุดเขียวที่ร่างมีแต่โครงกระดูก คือการแสดงออกของสภาพจิตใจของเจี่ยเซิงผู้ผิดหวัง หนึ่งคือผู้เฒ่ารูปร่างผอมเพรียวตรงเอวห้อยขลุ่ยไม้ไผ่ ก็คือรูปโฉมของ ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ ผู้ถ่ายทอดมรรคาของเชี่ยอวิ้น มีความหมายแฝงถึงตัวตนใหม่ของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จุดที่สูงที่สุด ดาดฟ้าชั้นบนคือบัณฑิตหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี ทว่าดวงตาของเขากลับหม่นมัว เรือนกายงองุ้ม ทั้งฮึกเหิมเปี่ยมชีวิตชีวาทั้งเอ่อท้นไปด้วยกลิ่นอายความชราภาพในเวลาเดียวกัน ภาพปรากฎการณ์สองอย่างที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงผลัดกันปรากฏตัว ประหนึ่งตะวันจันทราหมุนเวียนสับเปลี่ยน เจี่ยเซิงในอดีต โจวมี่ในวันนี้ ผสานรวมเป็นหนึ่ง
ฉีจิ้งชุนไม่จำเป็นต้องเพ่งตามอง ภาพในหอเรือนหลังนั้นก็ปรากฎแจ่มชัดทุกเส้นสาย ชั้นหนึ่งวางตำรากองซ้อนกันเป็นภูเขา การจัดวางนั้นมีความพิถีพิถันตั้งใจอย่างยิ่ง ภูเขาตำราลูกหนึ่งเป็นลักษณะของภูเขาสุ้ยซาน นอกจากจะวางตำราภูเขาห้าลูกที่มาจากฝีมือของอาจารย์ซานซานจิ่วโหวแล้ว ยังถือว่าเป็นภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงซึ่งเก่าแก่ที่สุดอีกด้วย จากนั้นโจวมี่ยังจินตนาการบรรเจิดหลอมตัวอักษรไว้นับไม่ถ้วน มีจำนวนนับพันนับหมื่น อยู่ในชั้นหนึ่งของหอเรือน ตั้งตระหง่านกลายเป็นหอพิทักษ์เมืองเก้าแห่ง หอสยบกระบี่และหอสยบป๋ายเจ๋อมีการเรียงซ้อนอย่างตั้งใจมากที่สุด หนังสือที่เลือกมาต้องใช้ความรู้อย่างสูง
ชั้นที่สองของหอเรือนมีพิณจื่อเวยวางอยู่ กระดานหมากที่เล่นไว้ไม่สมบูรณ์ เทียบอักษรส่วนหนึ่ง ตำรารวมกลอนห้าพยางค์สี่บรรทัดโดยฉพาะ กลอนคู่ในห้องหนังสือของปัญญาชนลอยตัวอยู่ ด้านข้างกลอนคู่มีกระบี่ยาวอีกเล่มหนึ่งห้อยเอียงๆ
ฉีจิ้งชุนไม่สนใจโจวมี่ เพียงแค่ปล่อยจิตใจล่องลอยไปพลิกเปิดตำราสามล้ามเล่มพวกนั้นอย่างสบายอารมณ์
ใช้อักษรจิ้งรวบรวมเป็นสมาธิ ใช้ลมวสันต์พลิกเปิดหน้าหนังสือ
ฟ้าดินน้อยใหญ่สามร้อยแห่งที่สูงต่ำตัดสลับทับซ้อนกัน ตำราอริยะปราชญ์ผู้ล่วงลับเล่มเล็กเล่มใหญ่ที่วางเอนเอียงกองซ้อนกันไว้ มีหนังสือโบราณหายากที่ตอนยังมีชีวิตอยู่ฉีจิ้งชุนก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้เปิดอ่านอยู่ไม่น้อย
โจวมี่ยิ้มบางๆ “กลอนห้าพยางค์สี่บรรทัดที่ชื่นชอบที่สุดในชีวิต อักษรยี่สิบคำ ประหนึ่งเซียนยี่สิบท่าน หากหลิวชาเอาแต่สนใจความรู้สึกของตัวเอง ไม่ยินดีจะเชื่อฟังคำสั่งไม่ยอมออกกระบี่แม้แต่ครั้งเดียว ก็ได้แต่ให้ข้าใช้ร่างของเชี่ยอวิ้นมาช่วยเขาถามกระบี่ต่อผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีปแล้ว ในใจข้ามีเซียนกระบี่จำแลงออกมายี่สิบคน ครบผสมรวมกันได้กลอนห้าพยางค์สี่บรรทัดที่บทหนึ่ง ตั้งชื่อกลอนเป็น ‘เซียนกระบี่’ ได้พอดี”
“ยุคบรรพกาลมีคนทั้งสิ้นสิบคน สามคนในนั้นอย่างเฉินชิงตู กวนจ้าว หลงจวินคือคนที่มีชีวิตอยู่ยาวนานมากที่สุด ข้าล้วนโชคดีเคยเห็นพวกเขาออกกระบี่ มือกระบี่ผู้ฝึกกระบี่สิบคนในยุคหลังยังคงไม่อาจแบ่งสูงต่ำได้ ต่างคนต่างมีความบริสุทธิ์และลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไป อวี๋โต้วแห่งป๋ายอวี้จิง ป๋ายเหย่ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุด จ้าวเสวียนซู่บรรพจารย์ภูเขามังกรพยัคฆ์ที่กล้าไปนอกฟ้าและยิ่งกล้าตาย จ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่คนปัจจุบันที่กล้ามาเยือนใบถงทวีป ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ที่ตัดใจมอบกระบี่ให้คนอื่นยืมได้ลง ต่งซานกงตอนเป็นหนุ่มที่ออกเดินทางท่องใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงลำพัง เฉินซีที่เกือบจะถามกระบี่แบ่งเป็นตายกับเฒ่าตาบอด หลิวชาจอมยุทธใหญ่เคราดก อาเหลียงที่ไม่เหมือนบัณฑิตของสายหย่าเซิ่งมากที่สุด และยังมีจั่วโย่วที่มาจากสายเหวินเซิ่งของพวกเจ้า”
“นอกจากนี้ก็มีเซียวสวิ้นที่ไร้ความดีไร้ความเลว จิตใจอิสระเสรี หนิงเหยาแห่งนครบินทะยานที่มีความหวังบนมหามรรคา หลิวไฉในอนาคต รวมไปถึงเฉินผิงอันที่เจ้าฉีจิ้งชุนฝากความหวังไว้สูง ล้วนสามารถถือเป็นตัวสำรองได้”
ดูเหมือนว่าฉีจิ้งชุนจะกำลังรับฟังถ้อยคำของโจวมี่อย่างที่หาได้ยาก เพียงแต่ว่ายังคงแบ่งสมาธิไปเปิดตำราไม่หยุด
โจวมี่มองตัวเองที่เป็นเจี่ยเซิงยามหนุ่มซึ่งอยู่บนหอเรือนชั้นบนสุด
ในห้องชั้นบนสุด มีกระถางธูปใบหนึ่งวางอยู่บนตำราเล่มหนึ่ง และตำราก็วางอยู่เหนือเบาะรองนั่งสานอีกที
โจวมี่พูดเหมือนคุยกับตัวเอง “เรือที่ไม่ถูกผูกบนโลกมนุษย์ ความคิดกำราบผีสังหารโจรข้าก็เคยมี ผู้ที่ฟ้าดินพันธนาการไว้ไม่อยู่ ใจที่อยากฝึกตนเป็นโอสถทองข้ากลับไม่เคยมี”
ฉีจิ้งชุนมองหอเรือนแวบหนึ่ง “เจ้าเลือกจะใช้ตำราเป็นศัตรูกับโลก เป็นสหายกับความเก่าแก่โบราณ เป็นมิตรกับฟ้า แค่มองดูแล้วเหมือนจิตใจอิระเสรีก็เท่านั้น อย่าได้รู้สึกว่าศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางรับสิบสองกลยุทธแห่งความผาสุกไปแล้ว โลกก็จะสงบสุขยาวนานหมื่นปีจริงๆ ไม่มีทางทำได้หรอก”
ตอนที่ชุยฉานยังเป็นหนุ่มแล้วต้องถ่ายทอดความรู้แทนอาจารย์ เคยมีคำพูดประโยคหนึ่ง เขาบอกว่าแคว้นที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงก็คือในยุคสันติสุขรุ่งเรือง มีศักยภาพพอที่จะรุกรานแคว้นอื่น แต่กลับเลือกที่จะอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ภายในหนึ่งแคว้น สอนให้คนทำมาหากินอบรมให้คนรู้จักวางตัว จิตใจคนรวมเป็นหนึ่ง คือความซื่อสัตย์จริงใจระหว่างคนกับคนด้วยกัน คือคนเดินทางไกลทุกคนที่ใจไม่เคยออกห่างคนของบ้านเกิด ทำให้คนมากกว่าที่ไม่เคยอ่านตำราของอริยะปราชญ์ทำในเรื่องที่ต่อให้ไม่รู้หนังสือก็รู้จักมีเหตุผลมีคุณธรรม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!