ในศาลาของภูเขาไฉ่จือ ชุยตงซานดื่มเหล้าของแม่นางฉุนชิงไปสองกาแล้วก็ให้รู้สึกเกรงใจ เขาโยกไหล่ขยับก้นไถลไปยังปลายอีกด้านหนึ่งของราวรั้วที่ฉุนชิงนั่งอยู่ กล่องอาหารหุ้มด้วยไม้ไผ่สานกล่องหนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นมือไปปาดหนึ่งครั้ง กอบวักไอน้ำในภูเขามารวมตัวเป็นโต๊ะเมฆขาว เปิดกล่องอาหารสามชั้นออกแล้วหยิบจัดเรียงไว้เบื้องหน้าคนทั้งคู่ มีทั้งขนมหลากหลายชนิดในร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง แล้วก็มีทั้งของกินเล่นของพื้นที่ต่างๆ ฉุนชิงเลือกขนมซิ่งฮวาขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มือหนึ่งคีบไว้ อีกมือหนึ่งรองประคองด้านใต้ กินเข้าไปก็ยิ้มตาหยี อารมณ์ดีอย่างมาก
ชุยตงซานที่อยู่ด้านข้างใช้สองมือจับอาหาร เอียงหัวแทะกินคล้ายกำลังแทะอ้อยท่อนเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น เคี้ยวอาหารดังกร้วมๆ หยดน้ำสีเหลืองทองไหลย้อย ท่าทางกินอาหารของชุยตงซานมูมมามไม่น้อย
ฉุนชิงถาม “คือส่านจือทอด (ของทอดทำจากแป้งสาลีหรือแป้งหมี่ผสมแป้งข้าวเหนียว ใส่เกลือเล็กน้อย นวดให้ได้ที่แล้วคลึงยืดเป็นเส้น หนาบางแล้วแต่จะทำ นำมาขดเป็นวงกลม เรียงเป็นแพ หรือพันเป็นเกลียวแล้วจึงนำไปทอด) ที่ในตำราบอกว่า ‘เข้าปากกรอบเปราะเหมือนแท่งหิมะ (หมายถึงหิมะที่ตกลงมาตามชายคาแล้วย้อยห้อยจับตัวเป็นแท่งน้ำแข็ง) หรือ?’
ชุยตงซานชี้ไปยังกล่องอาหารเบื้องหน้าตน พูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดว่า “ประวัติความเป็นมาเหมือนกัน ก็วันที่สองเดือนสองต้องกัดหางแมงป่องนี่นะ (เป็นเรื่องเล่าลือในอดีตบอกว่าสมัยโบราณมีแมงป่องพิษอยู่มากมาย ผู้คนเกลียดแมงป่องพิษเหล่านั้นมาก ดังนั้นเพื่อสาปแช่งพวกมัน ในวันที่สองเดือนสองตามปฏิทินจันทรคติ ชาวบ้านจะเอาแป้งมานวดทำเป็นเส้นยาวรูปร่างคล้ายหางแมงป่อง เอาไปทอดแล้วกินให้หมด ภายหลังหางแมงป่องนี้ก็กลายมาเป็นขนมหมาฮวา หรือขนมแป้งทอดที่บิดเป็นเกลียว) แต่ว่าแตกต่างจากส่านจือที่เจ้าพูดถึงอยู่บ้างเล็กน้อย ที่แจกันสมบัติทวีปของพวกเราเรียกมันว่าหมาฮวา หากโรยผงรากบัวจะถูกหน่อย แต่ถ้ามีไส้จะแพงที่สุด ข้าไปซื้อมาจากสถานที่ที่ชื่อว่าถนนกุ้ยฮวาภูเขาหวงหลีมาโดยเฉพาะ ตอนที่อาจารย์ของข้าอยู่คนเดียวบนภูเขาจะชอบกินเจ้านี่มาก ข้าก็เลยชอบตามไปด้วย”
จินตนาการไม่ออกเลยว่า เด็กคนหนึ่งที่ฟังคนเฒ่าคนแก่เล่าเรื่อง วันหนึ่งจะกลายมาเป็นคนแก่ที่เล่าเรื่องให้เด็กๆ ฟัง
ปีนั้นใต้ต้นไหวโบราณก็มีเด็กชายคนหนึ่งที่ผู้คนรังเกียจนั่งขยับออกห่างมาไกลอย่างโดดเดี่ยว เงี่ยหูตั้งใจฟังเรื่องเล่าเหล่านั้น แต่กลับได้ยินไม่ชัดนัก เดินกระโดดโลดเต้นคนเดียวบนเส้นทางกลับบ้าน แต่ฝีเท้ากลับทั้งเบาและเร็ว เด็กชายที่ไม่เคยกลัวยามต้องเดินตอนกลางคืน ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรคือความโดดเดี่ยว แค่รู้สึกว่ามีแต่ตัวเองคนเดียว มีเพื่อนน้อยหน่อยเท่านั้น แต่กลับไม่รู้เลยว่านั่นก็คือความโดดเดี่ยว ไม่ใช่อยู่ตัวคนเดียว
ไม่เพียงอาจารย์ตอนเป็นเด็กหนุ่มที่เป็นเช่นนี้ อันที่จริงชีวิตของคนส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่สมใจปรารถนา ชีวิตในแต่ละวันกว่าจะผ่านมาได้ต้องอาศัยการอดทนกับความยากลำบาก
ชุยตงซานปัดมือ วางมือสองข้างทับลงบนหัวเข่าเบาๆ เปลี่ยนเรื่องพูดอย่างว่องไว ยิ้มหน้าระรื่นเอ่ยว่า “ขนมซิ่งฮวาที่แม่นางฉุนชิงกิน เป็นกรรมวิธีทำจากบ้านเกิดของพ่อครัวเฒ่าภูเขาลั่วพั่วพวกเราเอง อร่อยใช่ไหมล่ะ ไปที่ตรอกฉีหลงจะกินมากแค่ไหนก็ได้ ไม่ต้องจ่ายเงิน สามารถคิดลงในบัญชีของข้าได้ทั้งหมด”
ชุยตงซานพลันเงียบงัน ก้มหน้าลง
ฉุนชิงเงียบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หันหน้ากลับมา พบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ปัญญาชนชุดเขียวคนหนึ่งมายืนอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง ร่มเงาใบไม้และประกายแสงสีทองจากแสงแดดที่ส่องเข้ามาในศาลาล้วนทะลุผ่านร่างของคนผู้นี้ ภาพเหตุการณ์นี้และคนผู้นี้สมกับคำกล่าวที่ว่า ‘ดั่งเข้ามาในสถานที่ไร้ผู้คน’ อย่างแท้จริง
ฉุนชิงอยากจะกระโดดลงมาจากราวรั้ว เข้ามาในศาลาเพื่อคารวะอาจารย์ท่านนี้ ฉีจิ้งชุนกลับโบกมือด้วยรอยยิ้ม บอกเป็นนัยให้แม่นางน้อยนั่งลงเหมือนเดิม
ชุยตงซานไม่ได้หันกลับมา ถามอย่างอัดอั้นว่า “ถูกพวกเจ้าปั่นหัวเช่นนี้ โจวมี่ต้องโมโหมากแน่ ชุยฉานจะหนีรอดไหม?”
ฉีจิ้งชุนพยักหน้า “เรื่องมาถึงขั้นนี้ โจวมี่มีแต่จะต้องสังเกตการณ์เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม ในเมื่อเป็นผลร้ายทั้งสองทางก็ย่อมต้องเลือกทางที่ผลเสียเบากว่า ตอนนี้ยังไม่อาจหักใจใช้วิธีปลาตายตาข่ายขาดกับชุยฉานได้ลง หากสังหารฉีจิ้งชุนอยู่ในใบถงทวีปไกลๆ ชุยฉานก็แค่ขอบเขตถดถอยเป็นขอบเขตสิบสาม กลับมายังแจกันสมบัติทวีป หนทางถอยนี้ยังพอจะเตรียมการไว้อยู่บ้าง แต่โจวมี่กลับต้องสูญเสียตบะขอบเขตสิบสี่ที่มั่นคงอย่างถึงที่สุดไป ไม่แน่เสมอไปว่าขอบเขตของเขาจะถดถอย แต่ขอบเขตสิบสี่ทั่วไปย่อมไม่อาจค้ำจุนจิตใจที่ทะเยอทะยานของโจวมี่เอาไว้ได้ การวางแผนยาวไกลนานหลายพันปี ความคิดจิตใจทั้งหมดที่ทุ่มเทไปจะสูญเปล่า โจวมี่ย่อมตัดใจไม่ลง เรื่องที่ข้ากังวลอย่างแท้จริง อันที่จริงเจ้าก็รู้ชัดเจนดี”
ชุยตงซานเอ่ย “ข้าไม่ใช่ชุยฉานอีกแล้ว เจ้ามาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าล้วนเปล่าประโยชน์ ฉีจิ้งชุน เจ้าอย่าคิดมากเลย เก็บความคิดเอาไว้หน่อย สามารถไปพบเผยเฉียนดูได้ นางคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ข้าศิษย์น้องเล็กเจ้า ตอนนี้ก็อยู่บนภูเขาไฉ่จือ เจ้ายังสามารถไปที่ศาลขุนเขาใต้ พูดคุยกับซ่งจี๋ซินที่เปลี่ยนแปลงไปมาก กลับไปยังเมืองหลวงแห่งที่สองยังสามารถชี้แนะด้านการฝึกตนให้กับหลินโส่วอีได้ มีเพียงไม่ควรมาเสียเวลาและตบะอยู่กับข้าที่นี่ ส่วนเรื่องที่ข้าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ในใจชุยตงซานย่อมรู้ดี”
ฉีจิ้งชุนยิ้มกล่าว “แต่ข้าเป็นห่วงศิษย์หลานชุยตงซานนี่นา”
ชุยตงซานที่ฝีปากด่าคนไร้พ่ายสะอึกอึ้งพูดไม่ออกเป็นครั้งแรก
ฉีจิ้งชุนยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มเด็กสาวตลอดเวลา ชุยตงซานพึมพำกับตัวเองว่า “ทัศนียภาพในโลกมนุษย์มักมองไม่พอเสมอ”
แล้วชุยตงซานก็พลันคำรามอย่างเดือดดาล “ความรู้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ฝีมือเล่นหมากล้อมสูงส่งถึงเพียงนั้น เจ้าก็หาวิธีการที่จะทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้สิ! มีปัญญาแอบเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ทำไมถึงไม่มีปัญญามีชีวิตอยู่รอดต่อไปเล่า?”
ฉีจิ้งชุนส่ายหน้าไม่พูดไม่จา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!