กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 742

ตอนนั้นลู่เฉินเป็นแขกอยู่บนภูเขาฝูหรงท่ามกลางค่ำคืนที่มีหิมะตก นั่งชมหิมะอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่นอกประตู ใต้ชายคาของกระท่อมมีหมาแก่ตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ บางครั้ง ‘ลู่เฉิน’ ที่นอนอยู่บนพื้นก็จะเงยหน้ามองลู่เฉินที่นั่งอยู่

ลู่เฉินมองหมาแก่ตัวนั้นแวบหนึ่งแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “หรือว่าโจวจื่อกำลังมองข้าอยู่อีกแล้ว?”

แขกใหญ่กว่าเจ้าบ้าน เป็นเหตุให้ลู่ไถที่เป็นเจ้าของบ้านต้องระเห็จไปยังหอชมทัศนียภาพบนยอดเขา หยิบเตียงสีขาวหิมะตัวหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ อีกมือหนึ่งถือแก้วเหล้าตระกูลเซียนที่มีชื่อว่าป๋ายหลัว ชื่อเสียงทัดเทียมกับจอกน้ำพุสุรา อีกมือหนึ่งถือไม้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะด้ามยาวสีทอง ดื่มเหล้าพลางใช้ไม้ปัดหิมะเบาๆ ไปด้วย

เอนตัวนอนตะแคงอยู่บนเตียงหยกขาว ข้อศอกยันอยู่บนหมอนกระเบื้องสีขาว เจ๋อเซียนอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเคียงข้างจอกป๋ายหลัวของข้า

ลู่ไถเมามายจนตาปรือ ใช้ไม้ปัดฝุ่นหางกวางปัดหิมะใหญ่เท่าขนห่านทิ้งไปนับไม่ถ้วน ชูจอกพูดเสียงดังกังวาน “คนตัวใหญ่เท่ายอดเขา ความสามารถสูงจึงจะทำให้หวั่นไหว”

น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวล ลู่ไถวางไม้ปัดฝุ่นหางกวางและแก้วเหล้าลง นั่งขัดสมาธิ สองมือสอดกันอยู่ในชายแขนเสื้อ พึมพำเสียงแผ่ว “ไม่มีใครเคียงข้างข้า”

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนกำลังรับรองแขกผู้มีเกียรติอยู่ในภูเขาฝูหรง บวกกับลูกศิษย์คนสุดท้ายอีกคนที่ยังออกเดินทางไกลอยู่ในยุทธภพ เด็กหนุ่มถูกลู่ไถตั้งชื่อในทำเนียบขุนเขาสายน้ำว่า ‘จิ้นจือ’ มีชื่อไร้แซ่

ลู่ไถมอบกระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งให้กับเด็กชาย ใช้ดาบแกะสลักตัวอักษรบรรจงแบบเล็กสองตัวว่า ‘เซี่ยตุย’

ตอนที่เด็กคนนั้นจับกระบี่เป็นครั้งแรก ลู่ไถก็หัวเราะเสียงดังบอกกับลูกศิษย์ว่า เจ้าจะต้องกลายเป็นเซียนกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่

นอกจากลู่ไถจะถ่ายทอดคาถาลัทธิเต๋าบทหนึ่งและกระบวนท่าหมัดสองสามอย่างให้กับลูกศิษย์คนสุดท้ายผู้นี้แล้ว อย่างอื่นก็ไม่เคยสอนอีก แค่โยนตำรากระบี่ให้เด็กชายไปรวดเดียวสามสิบสองเล่ม

อันที่จริงลู่ไถอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวมานานหลายปีขนาดนี้ นิสัยนับว่ายังรักอิสระ อะไรที่เรียกว่าเจ้าลัทธิมาร อะไรที่บอกว่าบุคคลอันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงกระเดื่องไปทั่วหล้า ล้วนเป็นการเล่นสนุกเท่านั้น ดังนั้นขอบเขตในทุกวันนี้ถึงได้เป็นขอบเขตก่อกำเนิด และยังเป็นขอบเขตที่ลู่ไถฝ่าทะลุไปตามโอกาสหลังจากที่พื้นที่มงคลบินทะยานมาถึงใต้หล้ามืดสลัวแล้วชักนำให้เกิดภาพปรากฎการณ์ฟ้าดินอีกด้วย ไม่อย่างนั้นหากอิงตามความยินดีของตัวลู่ไถเอง ถึงอย่างไรอวี๋เจินอี้ก็ไม่อยู่แล้ว เขาที่เป็นโอสถทองเทพเซียนพสุธาก็ยังสามารถเป็นต่อไปได้อีกหลายปี

เรื่องที่เก็บมาใส่ใจอย่างจริงจังมีแค่สองเรื่อง ร่วมมือกับอาจารย์จ้งชิวถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เฉาฉิงหล่าง ต่อมาก็คือเรื่องที่ตั้งใจคัดสรรเลือกรับลูกศิษย์คนสุดท้าย สอนให้เขาฝึกกระบี่

ลู่ไถอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงแบฝ่ามือมองขุนเขาสายน้ำ ดูสภาพการณ์ของอวี๋เจินอี้ เหตุการณ์บนภูเขาฝูหรงปรากฎอยู่ในสายตาจนหมดสิ้น ทุกครั้งที่ความคิดของลู่ไถพุ่งไปถึง ขุนเขาสายน้ำก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นอยู่ในสายตา ขอแค่ลู่ไถรวบรวมสมาธิเล็กน้อย ต่อให้ร่องรอยการทับถมของหิมะบนราวรั้วของสะพานไม้เลียบหน้าผาในบางจุดก็ยังปรากฏชัดเจนอยู่ในสายตา คนธรรมดาล่างภูเขามีอายุได้แค่ร้อยปี ใครบ้างจะไม่อิจฉาเทพเซียนบนเมฆา

ก่อกำเนิดทั่วไปร่ายวิชาอภินิหารเช่นนี้จะต้องเผาผลาญปราณวิญญาณและพลังจิตไปมากมาย อีกทั้งยังง่ายที่จะก่อให้เกิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนที่แอบลอบมองขอบเขตไม่ต่ำก็ง่ายที่จะสืบสาวเบาะแสตามมาพบตัว เพียงแต่ว่าลู่ไถมีชาติกำเนิดจากสกุลลู่สำนักหยินหยางของแผ่นดินกลาง เรียนรู้วิชามาอย่างหลากหลาย วิชาคานอกรีตต่างๆ อันที่จริงลู่ไถก็รู้เยอะมาก เพียงแต่ว่าในอดีตไม่ใคร่ยินดีเป็นฝ่ายไปเรียนรู้ก็เท่านั้น เมื่อคนคนหนึ่งความรู้สูงพอแล้ว ก็ง่ายที่จะเกิดใจเกียจคร้าน กลับกลายเป็นขยันบากบั่นสู้คนที่รู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ได้

ฝึกวรยุทธ เรียนหนังสือ ฝึกตน อวี๋เจินอี้ที่ทำทุกอย่างนี้ได้อย่างราบรื่นมาตลอดชีวิต คาดว่าคงไม่เคยทุลักทุเลเช่นนี้มาก่อน

เจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงผู้นั้นคล้ายคนขุดหลุมแล้วไม่ยอมกลบฝัง โยนอวี๋เจินอี้ไปให้กับผู้เยาว์สามคนที่ขอบเขตไม่ต่ำทั้งอย่างนั้น

ดังนั้นก่อนจะถึงค่ำคืนหิมะตกนี้ ตรงสะพานไม้ อวี๋เจินอี้ที่ขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณถูกกดไว้ที่ถ้ำสถิตจึงต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสามคนที่ความคิดแตกต่างกันไปเพียงลำพัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวนอินเด็กหนุ่มที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นั้นที่ทำให้อวี๋เจินอี้กริ่งเกรงเป็นที่สุด

เถาเสียหยางผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเพิ่งจะเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล หวงซ่างเจินเหรินผู้ปกป้องแคว้นหนันเยวี่ยน โอสถทองที่เรียกลมก็ได้ลมเรียกฝนก็ได้ฝน

หันกลับมามองอวี๋เจินอี้ ในฐานะบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีตตามหลังติงอิง ทุกวันนี้ในฐานะผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวกลับเหลือเพียงแค่เรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลเท่านั้น เพียงแต่หันไปฝึกตนเกือบสามสิบปี จึงเคยชินกับการร่ายวิชาอภินิหารของบนภูเขาแล้ว คิดจะสังหารผู้ฝึกยุทธล่างภูเขาสักคน หมัดเท้าย่อมงุ่มง่ามไปบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้

อวี๋เจินอี้ไม่มีทางยินดีเข่นฆ่าสังหารกับสามคนนั้นในเวลาเช่นนี้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นการเข่นฆ่าที่ไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อยอีกด้วย ประเด็นสำคัญคือเจ้าลัทธิสามที่เหมือนเป็นคนพันหน้าผู้นั้นย่อมไม่สนใจในความเป็นตายของเขาอวี๋เจินอี้ ส่วนเจ้าลู่ไถผู้นั้นก็ยิ่งไม่มีทางถือสาหากในเวลานี้บนภูเขาฝูหรงจะมีศพที่ไม่จำเป็นต้องฝังกลบเพิ่มขึ้นมาอีกศพหนึ่ง

เพื่อรอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปให้ได้ ก็เรียกได้ว่าอวี๋เจินอี้เค้นสมองครุ่นคิดแทบล้มประดาตาย เขายืนพิงราวรั้ว ทำจิตใจให้สงบนิ่ง อันดับแรกก็พูดคุยทักทายกับหวงซ่างก่อน ชี้แนะช่องโหว่ด้านการฝึกตนบางอย่างให้กับอีกฝ่าย

ตบะขอบเขตหยกดิบของอวี๋เจินอี้ไม่มีอยู่แล้วก็จริง แต่สายตาเขากลับยังคงอยู่ เมื่อมองลงมาจากจุดที่สูงกว่า ผลได้ผลเสียบนเส้นทางการฝึกตนของหวงซ่าง เขาจึงเห็นอย่างปรุโปร่ง

จากนั้นจึงถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของสำนักตัวเองอย่างพรรคหูซานที่อยู่ในพื้นที่มงคลทุกวันนี้ หวงซ่างที่รับหน้าที่เป็นเจินเหรินพิทักษ์แคว้นหนันเยวี่ยน เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ให้ความเคารพอวี๋เจินอี้ที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนของลู่ไถ ถามอะไรก็ตอบอย่างนั้น ดูเหมือนจะช่วยถ่วงเวลาให้ไม่น้อย

แต่ความจริงคือหวงซ่างแอบใช้เสียงในใจเอ่ยกับเถาเสียหยางและหวนอินว่า “อวี๋เจินอี้สามารถสังหารได้”

เถาเสียหยางรวมเสียงให้เป็นเส้นยิ้มเอ่ยกับศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสอง “โชคชะตาบู๊เป็นของข้า ดังนั้นอวี๋เจินอี้ต้องตายด้วยน้ำมือของข้า นอกจากนี้แล้วโชควาสนาตระกูลเซียนทุกอย่าง สำหรับข้าแล้วยังสู้ซี่โครงไก่ไม่ได้ด้วยซ้ำ พวกเจ้าไปคิดบัญชีกันเอาเองได้เลย ตกลงกันไว้ก่อนว่า ใครกล้าทำลายเรื่องดีๆ ของข้า หลังจบเรื่องออกไปจากอาณาเขตที่พักของอาจารย์เมื่อไหร่ ข้าจะต้อง…ประลองฝีมือกับศิษย์น้องหวนเป็นการส่วนตัวสักรอบ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!