หลังจากเข้าสู่ช่วงราตรี ภูเขาฝูหรงก็มีลมหิมะพัดตก
อวี๋เจินอี้สู้ไม่ถอยอยู่นานมาก ไม่ว่าจะเป็นปราณวิญญาณ เรือนกายหรือจิตวิญญาณล้วนเป็นม้าตีนปลายทั้งหมดแล้ว ได้แต่เรียกใช้วิชาก้นกรุ เป็นเหตุให้พวกเถาเสียหยางสามคนตกอยู่ในฟ้าดินเล็กสระบัวแห่งหนึ่งอย่างไม่มีลางบอกเหตุ
อวี๋เจินอี้ที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดขี่กระบี่โงนเงน ร่างทั้งร่างพลัดตกไปจากหน้าผาเกือบจะหมดสติหัวทิ่มอยู่ในกองหิมะ กวานเต๋าเอียงกะเท่เร่ ฟ้าดินเล็กไม่อาจประคับประคองตัวได้อีกต่อไป ตราผนึกจึงคลายออกโดยอัตโนมัติ ด้านหลังคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนของลู่ไถที่ไล่ตามมาฆ่าถึงที่นี่ บ้างก็เป็นผู้ฝึกยุทธที่ ‘พลิกแผ่นดิน’ บ้างก็เป็นผู้ฝึกตนที่ทะยานลม
ลู่ไถหรี่ดวงตาดอกท้อคู่นั้นลง โบกไม้ปัดฝุ่นหางกวางบอกเป็นนัยแก่พวกหวนอินสามคนว่าอย่างได้โรมรันอวี๋เจินอี้ไม่เลิกไม่ราอีก ให้หยุดมือแต่เพียงเท่านี้
ลู่ไถชำเลืองตามองเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ที่ราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง หันหน้ามายิ้มเอ่ยกับลูกศิษย์ทั้งสามว่า “ไม่เลวๆ ตามหลักแล้วควรต้องให้รางวัล ต่างคนต่างกลับไปรอที่บ้านของตัวเองเถอะ”
คนทั้งสามคารวะกลับคืน ก่อนจะพากันไปจากภูเขาฝูหรง
ลู่ไถที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะเอนตัวนอนอยู่บนเตียงหยกขาวที่เขาตั้งชื่อเองว่าป๋ายอวี้จิง เอามือเท้าคางมองไกลไปพันลี้
สำหรับภัยพิบัติที่มาเยือนอย่างไม่คาดฝันในวันนี้ ดูเหมือนว่าอวี๋เจินอี้จะไม่มีถ้อยคำแสดงความไม่พอใจใดๆ เทพเซียนผู้เฒ่าที่มีรูปโฉมเป็นเด็กชายเพียงแค่ลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้านิ่งสงบ เอากระบี่วางพาดไว้บนหัวเข่าก่อน แล้วค่อยประคองกวานเต๋าให้ตั้งตรง เริ่มสูดลมหายใจเข้าฌานรักษาบาดแผล
ลู่ไถเห็นอวี๋เจินอี้ที่นั่งนิ่งเหมือนโครงกระดูกก็อดไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมา “ในนี้มีความหมายของชีวิตที่แท้จริง อยากจะอธิบาย แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร (ประโยคภาษาจีนคือ 此中有真意,俞辨已忘言 ซึ่งมีอักษรที่เป็นชื่อของอวี๋เจินอี้ซ่อนอยู่ในประโยค) ที่แท้ก็ทึ่มทื่อเหมือนไก่ไม้”
ลู่เฉินเดินขึ้นเขามาช้าๆ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวที่ทำขึ้นอย่างลวกๆ พอมาถึงบนยอดเขาก็ยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องนี้ก็ถูกเจ้าค้นพบด้วยหรือ?”
มองดูเหมือนเป็นคำชม แต่แท้จริงแล้วกลับไปเป็นการเหยียดหยาม
อารมณ์ของลู่ไถเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ในทันใด ตนอยากเจอลู่เฉินผู้เป็นบรรพบุรุษมาโดยตลอด แต่ผลล่ะเป็นอย่างไร? ตนได้พบเจอมานานแล้ว อยู่ตรงข้ามแต่ดันไม่รู้จัก
ส่วนเจิ้งห่วนบัณฑิตที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ก็คือหนึ่งในการจำแลงบนมหามรรคาของลู่เฉิน
ลู่ไถถาม “ห้าความฝันเจ็ดจิตธรรม หนึ่งในนั้นที่ใต้หล้ามืดสลัวมีเจินเหรินกระดูกขาวของลัทธิเต๋าคนหนึ่งที่คาดเดาได้ง่ายมาก ถ้าอย่างนั้นเยวียนฉูล่ะ? คืออันไหน? ถูกเจ้าพาไปที่ใต้หล้ามืดสลัวหรือว่ายังอยู่ในใต้หล้าไพศาลมาโดยตลอด? หรืออยู่ในใบถงทวีปที่ข้าเคยเดินทางผ่าน?”
เยวียนฉู (นกประเภทหงส์ในตำนาน) ถือกำเนิดที่มหาสมุทรทักษิณ และบินอยู่ที่มหาสมุทรอุดร ไม่ใช่อู๋ถงไม่หยุดพัก ไม่ใช่ผลเลี่ยนสือไม่กิน ไม่ใช่น้ำพุหลี่เฉวียนไม่ดื่ม อริยะปราชญ์ยุคโบราณได้ให้คำอธิบายไว้ว่า ‘สิ่งนี้คือเผ่าพันธ์ของหงส์’
และใบถงทวีป ตามหลักแล้วแน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดและดีเยี่ยมที่สุดให้ลู่เฉินเอาสถานะบนมหามรรคานี้มาเก็บไว้
หลี่ ในอดีตชุดคลุมที่เฉินผิงอันสวมใส่คือชุดคลุมจินหลี่
และชุดคลุมจินหลี่ตัวนั้นเฉินผิงอันก็ได้มาจากร่องเจียวหลง ส่วนเจียวหลงก่อกำเนิดตัวนั้นก็ได้มันมาจากถ้ำตระกูลเซียนแห่งหนึ่งบนทะเลบ้านของตัวเอง เล่าลือกันว่าเป็นของตกทอดของผู้สูงศักดิ์หวงจื่อแห่งจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์
เซียนจากจวนเทียนซือคนหนึ่ง เหตุใดตระกูลถึงแตกแยก สุดท้ายกายดับลาจากโลกนี้ไปบนมหาสมุทรได้? ถึงขั้นที่ว่าจะตายแล้วก็ไม่ยินดีหวนกลับไปยังภูเขามังกรพยัคฆ์?
น่ารำคาญหรือไม่? พอคิดถึงเส้นสายพวกนี้อย่างลึกซึ้ง ลู่ไถก็จะต้องหงุดหงิดสุดขีด ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเส้นสายที่ลู่เฉินฝังกลบไว้ไกลพันลี้ แต่ใครเล่าไม่กลัวหนึ่งในหมื่น? เมื่อก่อนเป็นเฉินผิงอันที่กลัว ลู่ไถไม่กลัวแม้แต่น้อย กระทั่งลู่ไถได้เจอกับลู่เฉิน ก็กลายเป็นว่าเขาไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป เริ่มเปลี่ยนมาเป็นกลัวเสียแล้ว
“เด็กหนุ่มหน้าตางดงามชุดเขียว เทพเซียนน้อยเข็มขัดเหลือง สีดอกท้อดุจดั่งอาชา ผลต้นอวี๋ดุจเหรียญเงิน เจ้าลองดู เจ้าลองฟัง เงินอวี๋เฉียนของถนนเรียกสวรรค์สำนักฝูจี เทพเซียนน้อยมอบให้เด็กหนุ่มไปเป็นขุนนาง นี่ก็ไปเป็นอิ่นกวานอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่หรือ?”
ลู่เฉินตอบไม่ตรงคำถาม เขาพูดเองเออเองพลางโบกไม้เท้าเดินป่าสีเขียวในมือปัดลมหิมะรอบด้านอุตลุดไปด้วย “เด็กหนุ่มใกล้ปราณกระบี่ จอมยุทธผู้กล้าต้านหมื่นศัตรู ร้องคำรามเดือดดาล ทหารม้านับหมื่นล้วนสะพรึงหนี”
เมื่อมหามรรคามิอาจดำเนินไปในใต้หล้า ก็นั่งเรือพายล่องไปยังมหาสมุทร
ในอดีตตอนอยู่ใต้หล้าไพศาลอันเป็นบ้านเกิด ลู่เฉินให้คนพายเรือลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อช่วยพายเรือให้ คนทั้งสองล่องเรือออกทะเลเดินทางไกล แน่นอนว่าลู่เฉินย่อมต้องเคยขึ้นฝั่งไปเที่ยวชมอารามกวานเต๋าแห่งนั้นมาก่อน
ส่วนแจกันสมบัติทวีป ลู่เฉินก็ย่อมต้องเคยไป เจียวหลงของแคว้นสู่โบราณ แคว้นเสินสุ่ย สายของผีสาวสือโหรว เมล็ดพันธ์ดอกบัวม่วงทองที่เว่ยป้อเก็บรักษาไว้ ล้วนเป็นโชควาสนาที่ลู่เฉินมอบให้ตามโอกาสทั้งสิ้น ปล่อยให้เรื่องราวและบุคคลถือกำเนิดขึ้นมาด้วยตัวเอง ในความเป็นจริงแล้วเก้าทวีปของไพศาล ลู่เฉินล้วนเคยไปเยือนมาหมดแล้ว แต่ก็เป็นแค่การเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ ล่องเรือเดินทางอย่างเสรี ไม่มีร่องรอยบนภูเขาหรือเรื่องเล่าลือของตระกูลเซียนใดแพร่ต่อมาก็เท่านั้น
ก็เหมือนกับร้านของตรอกฉีหลงที่ในอดีตมีเถ้าแก่น้อยอยู่คนหนึ่งชื่อว่าสือชุนเจีย มัดผมแกละ อายุน้อยๆ ก็เชี่ยวชาญเรื่องการทำการค้า ยืนอยู่บนมานั่งหลังโต๊ะคิดเงิน ดีดลูกคิดรางเล็กเสียงดังป้อกๆ แป้กๆ จนคนมองตาลาย แล้วก็มักจะพกลูกคิดสีทองอันจิ๋วไว้ในชายแขนเสื้อข้างหนึ่งอยู่เสมอ เป็นของที่นางได้มาตอนพิธีเสี่ยงทายจับของในยามเยาว์ ในความเป็นจริงแล้วลูกคิดเล็กอันนั้นก็เป็นลู่เฉินที่แอบมอบให้แก่ตระกูลสือ
เพียงแต่ว่าการกระทำที่เป็นไปตามแต่ใจเหล่านี้ไม่ได้มีแค่ลู่เฉินคนเดียวที่ทำ ยกตัวอย่างเช่นภายหลังเมื่อเซียวสวิ้นเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ก็ได้นำชุดคลุมอาคมที่โจวมี่หลอมโชคชะตาที่เหลืออยู่ของสามทวีปแห่งไพศาลโยนทิ้งไปในมหาสมุทรใหญ่ แล้วมันก็จมลงสู่ใต้มหาสมุทรไปทั้งอย่างนี้ รอคอยให้คนมีวาสนามาเก็บเอาไป ไม่รู้ว่าอีกกี่ร้อยกี่พันปีถึงจะปรากฏตัวบนโลกอีกครั้ง ส่วนเฝ่ยหรานที่อยู่ท่าเรือใบท้อ หลังจากชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้วก็ไม่ได้เก็บตราประทับหนังสือที่โจวมี่มอบให้เอาไว้ แต่โยนลงไปในน้ำของท่าเรือใบท้อราชวงศ์ต้าเฉวียน แต่จุดที่ลู่เฉินไม่เหมือนกับพวกเขาก็คือลู่เฉินสามารถปล่อยไปได้ก็สามารถเก็บกลับมาได้เช่นกัน
ลู่เฉินยืนอยู่ริมหน้าผา ทิ้งไม้เท้าเดินป่าสีเขียวอันนั้นออกไป พอมันหล่นลงบนพื้นก็กลายร่างเป็นเส้นทางมังกรสีเขียวเส้นหนึ่ง สันหลังเขาเอนเอียงเข้าหาริมอาณาเขตของภูเขาฝูหรง ราวกับว่าดำรงอยู่มานานนับพันนับหมื่นปีแล้ว ลู่เฉินหันหน้ามายิ้มเอ่ยกับลู่ไถว่า “อย่าดูถูกบรรพบุรุษบ้านเจ้า ข้าไม่คิดจะจงใจเล่นงานใคร ครั้งเดียวที่ยอมแหกกฎก็เพื่อศิษย์พี่ใหญ่จึงจำต้องไปทำตัวเป็นคนชั่วที่ถ้ำสวรรค์หลีจู นอกจากนี้โชคและเคราะห์ไร้ประตูมีแต่คนที่ไปเรียกหามันมาเอง แค่นี้เท่านั้น ตอนนั้นที่ข้าตั้งแผงดูดวงอยู่ในเมืองเล็ก อาศัยลูกค้าคนหนึ่งให้พลิกฝ่ามือกลับไปกลับมา เก็บและปล่อยโชควาสนาเล็กๆ อย่างหนึ่งมา ดังนั้นจึงเป็นการเผยเส้นทางความคิดให้แก่ฉีจิ้งชุน แน่นอนว่าฉีจิ้งชุนต้องมองเห็น แล้วก็ต้องเข้าใจ”
ลู่เฉินเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “แต่เมื่อถึงคราวที่เจ้าต้องการวางแผนรับมือกับเรื่องเรื่องหนึ่ง ก็จะต้องเล่นงานคนหลายคนไปพร้อมๆ กันด้วย”
“ข้าไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ชอบถูกมัดมือมัดเท้าเสียด้วย ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ข้ามาเยือนโลกมนุษย์รอบหนึ่งก็เพื่อสามารถยืดแขนบิดขี้เกียจอยู่บนเรือที่เดินทางยามค่ำลำนั้นได้อย่างสบายใจ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!