กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 742

ลู่ไถเอ่ยเนิบช้า “ความงดงามยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์ ความบางเบาของฟ้าดิน สัจธรรมอันแจ่มชัดของหมื่นสรรพสิ่ง การแปรเปลี่ยนบนมหามรรคา อริยะบุคคลไม่ปกครองด้วยกฎหมายอันเข้มงวด สามารถพิศมองฟ้า”

ลู่เฉินลุกขึ้นยืนพลางพูดกลั้วหัวเราะดังลั่น “ในที่สุดก็เอ่ยคำพูดที่ลูกหลานสกุลลู่สมควรเอ่ยบ้างแล้ว มาเยือนครั้งนี้ไม่เสียเที่ยว”

ลู่ไถคล้ายจะกระจ่างแจ้ง เหมือนมีแสงสว่างเปล่งวาบขึ้นในหัว เขาเองก็หัวเราะเสียงก้องเช่นกัน “คนโกหก! จงใจแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อนกับข้า! หากท่านตัดใจจากจิตธรรมเจ็ดวัตถุไม่ลงแล้วละเมิดจิตแห่งมรรคาของตน ไม่แน่ว่าอาจต้องขอบเขตถดถอยเพราะเหตุนี้! และนี่ยิ่งแสดงให้เห็นว่าท่านยังไม่อาจมองทะลุความฝันทั้งห้าได้เข้าใจอย่างปรุโปร่ง เห็นชัดๆ ว่ท่านต้องการใช้เจ็ดวัตถุในจิตธรรมมาช่วยไขความฝันของตัวเองไปทีละอย่าง! โดยเฉพาะฝันที่กลายเป็นผีเสื้อ อาจารย์ข้าบอกว่าฝันนี้ทำให้ท่านปวดหัวเป็นที่สุด เพราะตัวท่านเองตัดใจตื่นจากฝันนี้ไม่ลง…ดังนั้นปีนั้นฉีจิ้งชุนจึงไม่จำเป็นต้องกังวลกับแผนการที่ซ่อนเร้นอำพราง แผนการที่มองดูเหมือนลี้ลับเกินกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบนี้ของท่านแม้แต่น้อย!”

ลู่ไถส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่คิดว่าท่านจะสามารถทำลายสภาพจิตใจเขาได้จริงๆ”

“ลูกหลานสกุลลู่ของข้า ในที่สุดก็มีคนที่มีสมองเหมือนบรรพบุรุษบ้างแล้ว”

ลู่เฉินปรบมือเบาๆ หรี่ตาพยักหน้ายิ้ม “หวนนึกถึงวิธีการของเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว แล้วหวนนึกถึงสรรพชีวิตในพื้นที่มงคลของใต้หล้า แล้วก็นึกไปถึงพื้นที่มงคลกระดาษขาว สุดท้าย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ฝันกันได้ทั้งนั้น ฝันของตัวเอง ฝันของคนอื่น ฝันของหมื่นสรรพสิ่ง หากแท้จริงแล้วเจ้าและข้าในเวลานี้ล้วนอยู่ในฝันที่ไม่รู้ว่าเป็นฝันของใครล่ะ?”

ลู่ไถส่ายหน้า ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

ลู่เฉินเก็บฝ่ามือกลับมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จำไว้นะ คราวหน้าต้องพูดจาดีๆ โดยเฉพาะเวลาที่พูดคุยกับบัณฑิตต้องหัดเกรงใจกันสักหน่อย หัดเรียนรู้เอาอย่างเฉินผิงอันที่เจ้าคิดถึงอยู่ตลอดเสียบ้าง เจ้าดูวาสนากับผู้อาวุโสของเขาสิ ดีกว่าเจ้ามากมายนัก ปีนั้นข้าก็เห็นดีในตัวเขาอย่างมากแล้ว ยังสอนให้เขารู้จักตัวอักษรด้วย เขาไม่ยอมรับอาจารย์อย่างข้า แต่ข้ายอมรับลูกศิษย์อย่างเขานะ วันหน้ารอให้เขาไปถึงใต้หล้ามืดสลัวจะต้องน่าสนใจมากแน่ๆ น่าสนใจอย่างถึงที่สุดเลยล่ะ”

ลู่เฉินพลันตั้งท่าไก่ทองยืนขาเดียวซึ่งน่าขันยิ่ง ยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้ไปยังม่านฟ้า ตะโกนดังลั่นว่า “หนึ่งฝันพันปี กระบี่บินหมื่นลี้ อากาศแห้งแล้ง ระวังไฟไหม้!”

ลู่ไถขมวดคิ้ว “เล่นอะไรของท่าน?”

ลู่เฉินเก็บมือกลับมา ปล่อยกระบวนท่าของชาวยุทธในหมู่ชาวบ้าน แล้วทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน “ค่ำคืนลมหิมะที่ไม่ได้พบเจอมานานมักทำให้จิตใจคนปลอดโปร่งโล่งสบายเช่นนี้แล”

สภาพจิตใจของลู่ไถกลับคืนมาสมบูรณ์ดังเดิมแล้ว ถามพร้อมหัวเราะคิกคัก “ท่านบรรพบุรุษยังไม่พาอวี๋เจินอี้ไสหัวไปด้วยกันอีกหรือ? ไม่สู้พาลู่เฉินตัวนั้นไปด้วยกันเลย ถือเสียว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่ลูกหลานอกตัญญูมอบให้ท่านบรรพบุรุษเพื่อแสดงความเคารพก็แล้วกัน”

ลู่เฉินคลี่ยิ้มมีเลศนัย “ชุดเขียวเข็มขัดเหลือง อันที่จริงเข้าคู่กันดีมาก”

ลู่ไถสีหน้ามืดทะมึน

ลู่เฉินถอนหายใจ “ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าวันหน้าเจ้าต้องอ่านหนังสือให้มาก ทุกวันนี้เฉินผิงอันพูดมากกว่าเจ้าแล้ว หากเอาไปใส่ไว้ในลำดับรายชื่อของยอดฝีมือในถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต เขาก็สามารถเบียดอันดับรายชื่อกับหม่าหลันฮวาแห่งตรอกซิ่งฮวา สตรีหม้ายแห่งตรอกหนีผิง และยังมีแม่ของหลี่ไหวได้แล้ว ขนบธรรมเนียมของเมืองเล็กเรียบง่ายซื่อสัตย์ สมกับคำเล่าลือจริงๆ ปีนั้นข้าเคยได้เรียนรู้กับตัวเองมาก่อน”

……

ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ถือไม้เท้าไม้ไผ่สวมรองเท้าสาน ข้างกายมีเด็กรับใช้สะพายหีบหนังสือคนหนึ่ง กับสาวใช้สะพายห่อสัมภาระอีกคนหนึ่ง ตอนที่นางเดินมีเสียงกระทบกันของขวดไหมากมาย

คนสามคนมาถึงอารามเสวียนตูใหญ่ ผู้เฒ่าชำเลืองตามองเด็กรับใช้และสาวใช้ที่ทำท่าหมายมั่นปั้นมือด้วยความรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เขาผงกศีรษะเบาๆ สาวใช้ก็หยิบเอาเทียบขอเข้าพบที่เตรียมมานานแล้วออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้กับคนเฝ้าประตูของอาราม วัสดุของเทียบเชิญทำจากไผ่เขียวทั่วไป เขียนด้วยหมึกทั่วไป แต่กลับไม่เขียนชื่อบอกเอาไว้ แค่ใช้หมึกเข้มลงน้ำหนักเขียนประโยคหนึ่งว่า ‘ตัวอักษรที่ข้าเขียนเน้นอารมณ์ไม่มีวิธีการที่ตายตัว’

นักพรตหญิงสะพายกระบี่รับเทียบขอพบเอาไว้ เรื่องของการเขียนตัวอักษรไม่ใช่สิ่งที่นางถนัด เพียงแต่มองดูแล้วน่าจะใช้พลังอย่างมาก ใช้การตวัดแปรงโดยเน้นหนักตรงกลางตัวอักษรทั้งหมด ใช้น้ำหมึกชุ่ม พลิกกลับไปกลับมาอ่านอยู่สองรอบก็ยังมองอะไรไม่ออก นางอึ้งตะลึง สุดท้ายได้แต่แน่ใจว่าไม่ใช่คนสนิทคุ้นเคยอะไรของอารามบ้านตน จึงแค่เอ่ยกับผู้เฒ่าอย่างเกรงใจว่า “ตอนนี้ทางอารามปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ต้องขอโทษด้วย”

มองผู้เฒ่าที่ดูเหมือนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง นักพรตหญิงก็ให้รู้สึกสงสารเล็กน้อย “หากรู้จักเจ้าอาราม ต่อให้จะแค่เคยเห็นหน้ากันไกลๆ ข้าก็จะช่วยไปแจ้งให้สักคำ นอกจากนี้แล้วก็ไม่สามารถเข้าไปในอารามได้เลยจริงๆ”

นักพรตหญิงชุนฮุย ชื่อเดิมคือหานจ้านหราน มีตบะขอบเขตหยกดิบอย่างแท้จริง ก็คือคนที่ลู่เฉินยุแยงให้ไปเป็นแม่บุญธรรมของเจียงอวิ๋นเซิงแห่งนครชิงชุ่ย

ตามคำกล่าวของบรรพจารย์เจ้าอารามบ้านตน คนเฝ้าประตูของอารามเสวียนตูใหญ่ ไม่ใช่ว่าใครจะมาเป็นก็ได้ ต้องเป็นสตรีที่หน้าตาดี รั้งแขกเอาไว้ได้ แล้วยังต้องต่อสู้เก่ง ขวางคนไว้ได้

มองภาพบรรยากาศรอบกายผู้เฒ่าคนนี้ คือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ส่วนเด็กรับใช้และสาวใช้กลับไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนอะไรด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าก็อาจมีความเป็นไปได้ที่ผู้เฒ่าจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ เพียงแต่ว่าอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว อารามเสวียนตูใหญ่ที่แม้กระทั่งสามเจ้าลัทธิของป๋ายอวี้จิงยังไม่กล้าบุกเข้ามาโดยพลการ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นขอบเขตอะไร อยู่ที่นี่ล้วนมีใครเห็นความสำคัญนัก

เด็กหนุ่มพลันตื่นเต้นดีใจ เขากระแอมหนึ่งที หยิบม้วนภาพขนาดจิ๋วออกมาจากชายแขนเสื้อ คลี่ออกเล็กน้อย เผยให้เห็นตัวอักษรสี่ตัวว่าซีหยวนหย่าจี๋ที่อยู่บนภาพแรก เอ่ยเตือนนักพรตหญิงเสียงเบา “หนึ่งในสามการรวบรวมวรรณกรรมใหญ่ของยุคปัจจุบัน ก็คือสิ่งที่วาดอยู่บนม้วนภาพนี้ พี่หญิงเทพธิดาน่าจะรู้จักกระมัง คนที่อยู่ในภาพก็คืออาจารย์ของข้า”

เด็กสาวพึมพำ “อาจารย์ไม่ทันระวังเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน เจ้าโอ้อวดอะไรเหลวไหล”

พวกเขาสองคนเดิมพันกันว่าอารามเสวียนตูใหญ่จะเคยได้ยินชื่อแซ่ของอาจารย์บ้านตนหรือไม่ คนหนึ่งอาศัยตัวอักษรที่เขียนอยู่ในเทียบขอเข้าพบ อีกคนหนึ่งอาศัยม้วนภาพรวบรวมวรรณกรรม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!