กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 742

สรุปบท บทที่ 742.3 สหายเฉินผู้นั้นของข้า: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 742.3 สหายเฉินผู้นั้นของข้า – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 742.3 สหายเฉินผู้นั้นของข้า จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ลู่ไถเอ่ยเนิบช้า “ความงดงามยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์ ความบางเบาของฟ้าดิน สัจธรรมอันแจ่มชัดของหมื่นสรรพสิ่ง การแปรเปลี่ยนบนมหามรรคา อริยะบุคคลไม่ปกครองด้วยกฎหมายอันเข้มงวด สามารถพิศมองฟ้า”

ลู่เฉินลุกขึ้นยืนพลางพูดกลั้วหัวเราะดังลั่น “ในที่สุดก็เอ่ยคำพูดที่ลูกหลานสกุลลู่สมควรเอ่ยบ้างแล้ว มาเยือนครั้งนี้ไม่เสียเที่ยว”

ลู่ไถคล้ายจะกระจ่างแจ้ง เหมือนมีแสงสว่างเปล่งวาบขึ้นในหัว เขาเองก็หัวเราะเสียงก้องเช่นกัน “คนโกหก! จงใจแสร้งทำเป็นเร้นลับซับซ้อนกับข้า! หากท่านตัดใจจากจิตธรรมเจ็ดวัตถุไม่ลงแล้วละเมิดจิตแห่งมรรคาของตน ไม่แน่ว่าอาจต้องขอบเขตถดถอยเพราะเหตุนี้! และนี่ยิ่งแสดงให้เห็นว่าท่านยังไม่อาจมองทะลุความฝันทั้งห้าได้เข้าใจอย่างปรุโปร่ง เห็นชัดๆ ว่ท่านต้องการใช้เจ็ดวัตถุในจิตธรรมมาช่วยไขความฝันของตัวเองไปทีละอย่าง! โดยเฉพาะฝันที่กลายเป็นผีเสื้อ อาจารย์ข้าบอกว่าฝันนี้ทำให้ท่านปวดหัวเป็นที่สุด เพราะตัวท่านเองตัดใจตื่นจากฝันนี้ไม่ลง…ดังนั้นปีนั้นฉีจิ้งชุนจึงไม่จำเป็นต้องกังวลกับแผนการที่ซ่อนเร้นอำพราง แผนการที่มองดูเหมือนลี้ลับเกินกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบนี้ของท่านแม้แต่น้อย!”

ลู่ไถส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่คิดว่าท่านจะสามารถทำลายสภาพจิตใจเขาได้จริงๆ”

“ลูกหลานสกุลลู่ของข้า ในที่สุดก็มีคนที่มีสมองเหมือนบรรพบุรุษบ้างแล้ว”

ลู่เฉินปรบมือเบาๆ หรี่ตาพยักหน้ายิ้ม “หวนนึกถึงวิธีการของเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว แล้วหวนนึกถึงสรรพชีวิตในพื้นที่มงคลของใต้หล้า แล้วก็นึกไปถึงพื้นที่มงคลกระดาษขาว สุดท้าย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ฝันกันได้ทั้งนั้น ฝันของตัวเอง ฝันของคนอื่น ฝันของหมื่นสรรพสิ่ง หากแท้จริงแล้วเจ้าและข้าในเวลานี้ล้วนอยู่ในฝันที่ไม่รู้ว่าเป็นฝันของใครล่ะ?”

ลู่ไถส่ายหน้า ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

ลู่เฉินเก็บฝ่ามือกลับมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จำไว้นะ คราวหน้าต้องพูดจาดีๆ โดยเฉพาะเวลาที่พูดคุยกับบัณฑิตต้องหัดเกรงใจกันสักหน่อย หัดเรียนรู้เอาอย่างเฉินผิงอันที่เจ้าคิดถึงอยู่ตลอดเสียบ้าง เจ้าดูวาสนากับผู้อาวุโสของเขาสิ ดีกว่าเจ้ามากมายนัก ปีนั้นข้าก็เห็นดีในตัวเขาอย่างมากแล้ว ยังสอนให้เขารู้จักตัวอักษรด้วย เขาไม่ยอมรับอาจารย์อย่างข้า แต่ข้ายอมรับลูกศิษย์อย่างเขานะ วันหน้ารอให้เขาไปถึงใต้หล้ามืดสลัวจะต้องน่าสนใจมากแน่ๆ น่าสนใจอย่างถึงที่สุดเลยล่ะ”

ลู่เฉินพลันตั้งท่าไก่ทองยืนขาเดียวซึ่งน่าขันยิ่ง ยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้ไปยังม่านฟ้า ตะโกนดังลั่นว่า “หนึ่งฝันพันปี กระบี่บินหมื่นลี้ อากาศแห้งแล้ง ระวังไฟไหม้!”

ลู่ไถขมวดคิ้ว “เล่นอะไรของท่าน?”

ลู่เฉินเก็บมือกลับมา ปล่อยกระบวนท่าของชาวยุทธในหมู่ชาวบ้าน แล้วทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน “ค่ำคืนลมหิมะที่ไม่ได้พบเจอมานานมักทำให้จิตใจคนปลอดโปร่งโล่งสบายเช่นนี้แล”

สภาพจิตใจของลู่ไถกลับคืนมาสมบูรณ์ดังเดิมแล้ว ถามพร้อมหัวเราะคิกคัก “ท่านบรรพบุรุษยังไม่พาอวี๋เจินอี้ไสหัวไปด้วยกันอีกหรือ? ไม่สู้พาลู่เฉินตัวนั้นไปด้วยกันเลย ถือเสียว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่ลูกหลานอกตัญญูมอบให้ท่านบรรพบุรุษเพื่อแสดงความเคารพก็แล้วกัน”

ลู่เฉินคลี่ยิ้มมีเลศนัย “ชุดเขียวเข็มขัดเหลือง อันที่จริงเข้าคู่กันดีมาก”

ลู่ไถสีหน้ามืดทะมึน

ลู่เฉินถอนหายใจ “ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าวันหน้าเจ้าต้องอ่านหนังสือให้มาก ทุกวันนี้เฉินผิงอันพูดมากกว่าเจ้าแล้ว หากเอาไปใส่ไว้ในลำดับรายชื่อของยอดฝีมือในถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต เขาก็สามารถเบียดอันดับรายชื่อกับหม่าหลันฮวาแห่งตรอกซิ่งฮวา สตรีหม้ายแห่งตรอกหนีผิง และยังมีแม่ของหลี่ไหวได้แล้ว ขนบธรรมเนียมของเมืองเล็กเรียบง่ายซื่อสัตย์ สมกับคำเล่าลือจริงๆ ปีนั้นข้าเคยได้เรียนรู้กับตัวเองมาก่อน”

……

ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ถือไม้เท้าไม้ไผ่สวมรองเท้าสาน ข้างกายมีเด็กรับใช้สะพายหีบหนังสือคนหนึ่ง กับสาวใช้สะพายห่อสัมภาระอีกคนหนึ่ง ตอนที่นางเดินมีเสียงกระทบกันของขวดไหมากมาย

คนสามคนมาถึงอารามเสวียนตูใหญ่ ผู้เฒ่าชำเลืองตามองเด็กรับใช้และสาวใช้ที่ทำท่าหมายมั่นปั้นมือด้วยความรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เขาผงกศีรษะเบาๆ สาวใช้ก็หยิบเอาเทียบขอเข้าพบที่เตรียมมานานแล้วออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้กับคนเฝ้าประตูของอาราม วัสดุของเทียบเชิญทำจากไผ่เขียวทั่วไป เขียนด้วยหมึกทั่วไป แต่กลับไม่เขียนชื่อบอกเอาไว้ แค่ใช้หมึกเข้มลงน้ำหนักเขียนประโยคหนึ่งว่า ‘ตัวอักษรที่ข้าเขียนเน้นอารมณ์ไม่มีวิธีการที่ตายตัว’

นักพรตหญิงสะพายกระบี่รับเทียบขอพบเอาไว้ เรื่องของการเขียนตัวอักษรไม่ใช่สิ่งที่นางถนัด เพียงแต่มองดูแล้วน่าจะใช้พลังอย่างมาก ใช้การตวัดแปรงโดยเน้นหนักตรงกลางตัวอักษรทั้งหมด ใช้น้ำหมึกชุ่ม พลิกกลับไปกลับมาอ่านอยู่สองรอบก็ยังมองอะไรไม่ออก นางอึ้งตะลึง สุดท้ายได้แต่แน่ใจว่าไม่ใช่คนสนิทคุ้นเคยอะไรของอารามบ้านตน จึงแค่เอ่ยกับผู้เฒ่าอย่างเกรงใจว่า “ตอนนี้ทางอารามปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ต้องขอโทษด้วย”

มองผู้เฒ่าที่ดูเหมือนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง นักพรตหญิงก็ให้รู้สึกสงสารเล็กน้อย “หากรู้จักเจ้าอาราม ต่อให้จะแค่เคยเห็นหน้ากันไกลๆ ข้าก็จะช่วยไปแจ้งให้สักคำ นอกจากนี้แล้วก็ไม่สามารถเข้าไปในอารามได้เลยจริงๆ”

นักพรตหญิงชุนฮุย ชื่อเดิมคือหานจ้านหราน มีตบะขอบเขตหยกดิบอย่างแท้จริง ก็คือคนที่ลู่เฉินยุแยงให้ไปเป็นแม่บุญธรรมของเจียงอวิ๋นเซิงแห่งนครชิงชุ่ย

ตามคำกล่าวของบรรพจารย์เจ้าอารามบ้านตน คนเฝ้าประตูของอารามเสวียนตูใหญ่ ไม่ใช่ว่าใครจะมาเป็นก็ได้ ต้องเป็นสตรีที่หน้าตาดี รั้งแขกเอาไว้ได้ แล้วยังต้องต่อสู้เก่ง ขวางคนไว้ได้

มองภาพบรรยากาศรอบกายผู้เฒ่าคนนี้ คือผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ส่วนเด็กรับใช้และสาวใช้กลับไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนอะไรด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าก็อาจมีความเป็นไปได้ที่ผู้เฒ่าจะเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ เพียงแต่ว่าอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว อารามเสวียนตูใหญ่ที่แม้กระทั่งสามเจ้าลัทธิของป๋ายอวี้จิงยังไม่กล้าบุกเข้ามาโดยพลการ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นขอบเขตอะไร อยู่ที่นี่ล้วนมีใครเห็นความสำคัญนัก

เด็กหนุ่มพลันตื่นเต้นดีใจ เขากระแอมหนึ่งที หยิบม้วนภาพขนาดจิ๋วออกมาจากชายแขนเสื้อ คลี่ออกเล็กน้อย เผยให้เห็นตัวอักษรสี่ตัวว่าซีหยวนหย่าจี๋ที่อยู่บนภาพแรก เอ่ยเตือนนักพรตหญิงเสียงเบา “หนึ่งในสามการรวบรวมวรรณกรรมใหญ่ของยุคปัจจุบัน ก็คือสิ่งที่วาดอยู่บนม้วนภาพนี้ พี่หญิงเทพธิดาน่าจะรู้จักกระมัง คนที่อยู่ในภาพก็คืออาจารย์ของข้า”

เด็กสาวพึมพำ “อาจารย์ไม่ทันระวังเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน เจ้าโอ้อวดอะไรเหลวไหล”

พวกเขาสองคนเดิมพันกันว่าอารามเสวียนตูใหญ่จะเคยได้ยินชื่อแซ่ของอาจารย์บ้านตนหรือไม่ คนหนึ่งอาศัยตัวอักษรที่เขียนอยู่ในเทียบขอเข้าพบ อีกคนหนึ่งอาศัยม้วนภาพรวบรวมวรรณกรรม

ชุนฮุยตื่นตกใจอย่างหนัก

ซูจื่อท่านนั้นของใต้หล้าไพศาล?! คนผู้นี้มาเยือนใต้หล้ามืดสลัวตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเหตุใดถึงได้ไม่มีข่าวแพร่ออกมาแม้แต่นิด?

อันที่จริงใต้หล้ามืดสลัวไม่ค่อยคุ้นเคยกับความรู้ของเมธีร้อยสำนักในใต้หล้าไพศาลเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็มีมรรคกถาเป็นหลัก เตะโด่งสองลัทธิและร้อยสำนักไปไกล ยกตัวอย่างซูจื่อผู้นี้ ชุนฮุยก็รู้แค่ว่าเขามีความรู้มาก คือสำนักแห่งวลีของใต้หล้าแห่งนั้น มีการช่วงชิงบนมหามรรคาอย่างที่มองไม่เห็นกับป๋ายเหย่และหลิ่วชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งป๋ายเหย่กับซูจื่อที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลเหมือนกันที่การช่วงชิงบนมหามรรคายิ่งชัดเจนมากกว่า แต่สรุปแล้วซูจื่อเขียนกวีบทใดบ้างกันแน่ ชุนฮุยกลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย ในใต้หล้ามืดสลัวทั้งไม่มีคำเล่าลือถึง และนางเองก็ไม่ถือว่าให้ความสนใจสักเท่าไร

นักพรตซุนลูบหนวดยิ้ม “เหมยซาน (คิ้วภูเขา) ซูจื่อ เทียนสุ่ย (น้ำสวรรค์) ป๋ายเหย่ ต่างก็อยู่ต่างบ้านต่างเมือง พอภูเขามาน้ำก็ตามมาด้วย ซูจื่อมาพบป๋ายเซียน! อารามเต๋าขนาดเท่าแค่ฝ่ามือของข้าแห่งนี้ ช่างเป็นบ้านเก่าโทรมที่โชคดี รู้สึกมีเกียรติจริงๆ”

ซูจื่อเอ่ยอย่างจนใจ “นักพรตซุนกล่าวหนักไปแล้ว”

นักพรตซุนมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันใด “ซูจื่อสำรวมตนเกินไป เห็นเป็นคนอื่นคนไกลกันใช่ไหม? ไป พวกเราสองพี่น้องไปกอดคอร่ำสุราพูดคุยกันให้เบิกบานเถอะ ลากป๋ายเหย่ไปด้วย ทุกวันนี้เจ้าหมอนี่ดื่มเหล้าคอแข็งนัก…”

ซูจื่อถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าลากแขนกระชากพาเดินเข้าไปในประตูใหญ่ ด้วยกลัวว่ากระดาษเซวียนจื่อสามมีด แท่นฝนหมึกพักมังกร และพู่กันเกิดบุปผาจะไม่ได้นำมาใช้

นักพรตซุนบุคคลอันดับห้าของใต้หล้ามืดสลัวที่ไม่ว่าอะไรก็มาสะเทือนตำแหน่งไม่ได้ ผู้นำสายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋าผู้นี้ เมื่อเทียบกับที่เขียนในรายงานขุนเขาสายน้ำว่า ‘มรรคกถาลึกล้ำ บรรพยากาศรอบกายเคร่งขรึม’ หรือ ‘เงียบขรึมพูดน้อย ถนอมคำพูดดุจทองคำ’ อะไรนั่น ก็ราวกับเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น

นักพรตซุนบ่นพึมพำ “ป๋ายเหย่คอแข็ง น่าเสียดายที่มาดใหญ่โตไปหน่อย บอกว่าคนบนโลกที่ยุให้เขาดื่มเหล้าได้มีแค่ฝ่ามือเดียวเท่านั้น แต่เขาไม่ได้บอกว่าเป็นห้าคนไหนบ้าง หากในบรรดานั้นมีซูจื่อด้วยย่อมดีที่สุด พวกเราสามพี่น้องจะได้ดื่มเหล้าด้วยกัน แต่หากไม่มีก็เกินไปหน่อยแล้ว ยิ่งควรต้องดื่ม…”

แน่นอนว่าซูจื่อรู้ดีว่าป๋ายเหย่ไม่มีทางพูดอะไรแบบนี้แน่นอน

นักประพันธ์ในโลกยุคหลังของใต้หล้าไพศาล เกี่ยวกับการถกเถียงเรื่องกวีและวลี อันที่จริงอย่างน้อยก็ต้องมีครึ่งหนึ่งที่โต้เถียงกันว่าชอบป๋ายเซียนหรือซูเซียนมากกว่ากัน

กระทั่งซูจื่อเขียน ‘เทียบกวีป๋ายเซียน’ ที่มากพอจะทิ้งชื่ออันโด่งดังไว้ยาวนานเป็นพันปีกับมือตัวเอง แสดงความเลื่อมใสนับถือที่ตัวเองมีต่อป๋ายเหย่อย่างตรงไปตรงมา สถานการณ์ถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะยังมีพวกคนบางส่วนที่เลื่อมใสซูจื่อที่ในเมือซูจื่อพูดเองแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมัวมาโต้เถียงถึงความสูงต่ำระหว่างกวีและวลีของทั้งสองฝ่ายแล้ว หันไปชื่นชมการเขียนตัวอักษรพู่กันจีนของซูจื่อแทน บอกว่าการที่ป๋ายเหย่ไม่มีเทียบตัวอักษรลายมือจริงที่ถ่ายทอดสืบต่อไปอย่างเป็นระบบระเบียบ ต้องเป็นเพราะเขียนตัวอักษรไม่ได้เรื่อง และพวกคนที่เลื่อมใสป๋ายเหย่อย่างถึงที่สุดก็ยากที่จะหาผลงานลายมือของป๋ายเซียนได้จริงๆ ช่วยไม่ได้ จึงเริ่มหันมาพูดว่าตัวอักษรจีนของซูจื่อพวกเจ้าเหมือนคางคกโดนหินทับที่ลมหายใจรวยริน ไม่อย่างนั้นก็เป็นหมีดำขวางทาง ตัวเบ้อเริ่มเทิ่มน่าสะพรึงกลัว…ถึงอย่างไรป๋ายเหย่ก็มีเพื่อนน้อย อีกทั้งยังปิดด่านอ่านตำราอยู่บนเกาะนอกมหาสมุทรอันโดดเดี่ยวห่างไกล จึงไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ได้เลย ลำบากก็แต่ซูจื่อที่มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมืองที่ต้องทนความรำคาญ บนภูเขาเล่าลือกันว่าซูจื่อถือโอกาสนี้พาเด็กรับใช้ ‘จั๋วอวี้หลาง’ และสาวใช้ ‘เตี่ยนซูเหนียง’ สองคนที่เกิดจากการจำแลงของโชคชะตาบุ๋นออกเดินทางไกลไปด้วยกัน ไปปลีกวิเวกหาความสงบอยู่ที่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล

เพียงแต่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าการเดินทางไกลครั้งนี้ของซูจื่อจะบินทะยานมาถึงใต้หล้ามืดสลัวโดยตรง สุดท้ายไปหาหลิ่วชีและเฉาจู่สองคนที่จับมือกันบินทะยานเดินทางไกลมาก่อนหน้าในพื้นที่มงคลซืออวี๋ หรืออีกชื่อหนึ่งคือพื้นที่มงคลสือไผที่ไม่ได้ติดอันดับเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคล

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!